แม่หนูเป็นเจ้าของ บริษัท(ลูกหนี้ที่ ๑)ที่ธนาคารฟ้องล้มละลาย แม่หนูเป็นกรรมการบริษัท(ลูกหนี้ที่ ๒)(พวก) เพราะว่าแม่หนูได้ใช้ชื่อบริษัทไปกู้ยืมเงิน sme ธนาคารมาลงทุนเป็นจำนวนเงิน ๑๐ ล้านบาทโดยใช้เงินสดค้ำ ๕ ล้านบาท แม่ไว้ใจให้คนอื่นช่วยบริหารเงินและธุระกิจทุกอย่าง แม่แต่งงานจดทะเบียนสมรสกับชาวต่างชาติ แม่ต้องบินไปกลับอยู่ต่างประเทศเพื่อช่วยธุรกิจสามีที่ต่างประเทศ ปีละ ๒-๓ ครั้งๆ ๒-๓ เดือน ธุรกิจแม่ก็ดำเนินไปเรื่อยๆ แม่ก็เช็นสั่งจ่ายเช็คจากยอด sme เพื่อซื้อบ้านแบบเป็นออฟฟิตได้ด้วยอยู่อาศัยได้ด้วยซื้อขาดแบบไม่ผ่อน แม่ซื้อบ้านหลังนี้คู่สมรสต้องมาเซ็นด้วย แต่สามีแม่เค้าก็มาเซ็นไม่ได้ติดงาน แม่เลยชื้อบ้านหลังนี้โดยเป็นชื่อหนูซึ่งตอนนั้นหนูกำลังเรียนอยู่และมีอายุ ๒๐-๒๑ ปี (ตอนนั้นชื่อหนูอยู่ทะเบียนบ้านปู่และใช้นามสกุลพ่อตอนนี้ย้ายมาเป็นเจ้าบ้านหลังที่ซื้อแล้วค่ะ) ทุกครั้งที่แม่ไปต่างประเทศ แม่ได้แต่เซ็นเช็คทิ้งไว้ให้คนอื่นบริหารและดูแล แม่ประสบปัณหาหนักขาดทุนทุกอย่าง ทั่งๆที่กิจการดีมาตลอด ด้วยเหตุผลหลายๆอย่างรวมกันและ ด้วยจุดหักเหทางการเมืองเข้ามาจนทำให้แม่หมดตัวแม่ไม่สามารถหาเงินใช้คืนธนาคารได้แต่แม่ไม่เคยเอาเงินที่กู้มาไปใช้ในต่างประเทศเลย ตอนนี้ศาลล้มละลายกลางได้ออกหนังสือมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้ทั้งสองไว้เด็ดขาดแล้ว หนูอยากถามและขอคำแนะนำกับทนายท่านผู้รู้ทุกท่านว่า
๑. ถ้าช่วงนี้แม่อยู่ต่างประเทศกลับมาจะมีปัญหาที่สนามบินไหมค่ะ
๒.ถ้าแม่อยู่ในประเทศไทยในฐานะบุคคลล้มละลายสามีแม่จะบินมาเยี่ยมได้ไหม และจะมีปัญหาที่สนามบินไหมค่ะเพราะสามีแม่มาเซ็นกู้เงินให้แม่ในฐานะคู่สมรส แต่สามีแม่ไม่เคยใช้เงินที่กู้มาเลยแม้แต่บาทเดียวมีแต่ส่งมาให้แม่ใช้หนี้
๓.หนูอยากทราบว่าศาลจะตรวจยึดบ้านหลังใหม่ที่หนูเป็นเจ้าของไดัไหมค่ะ เพราะแม่สั่งจ่ายเป็นเช็คจากยอดเงินกู้smeโดยระบุชื่อนามสกุลผู้รับด้วยในเช็คตอนซื้อบ้านหลังนี้ (หนูไม่อยากให้ศาลยึดบ้านหลังนี้เพราะว่าเราไม่มีที่อยู่แล้วบ้านหลังเก่าแม่ได้ถูกญาติๆฉ้อโกงไป)
รบกวนขอความรู้และข้อแก้ใขเกี่ยวกับบ้านด้วยคะ เพราะทรัพย์ตัวอื่นๆแม่ได้ขายใช้หนี้ไปหมดแล้วแต่ยังไม่พออยู่ดี ถึงขายบ้านหลังนี้ใช้หนี้ก็ไม่พอจ่ายเจ้าหนี้เลยค่ะ
ขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ