"สาขาสังคมศึกษาแห่งนี้ ได้เปลี่ยนให้คนขี้เกียจเดินทางอย่างเรา กลายเป็นมนุษย์เสพติดการเดินทางไปแล้วววววว"
ชีวิตการออกภาคสนามของนักศึกษาครูสังคม ในมหาวิทยาลัยราชภัฎเล็กๆในจังหวัดเล็กๆของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
"มหากาพย์ภาคสนาม"
........................................................................................................................................................................................
ก่อนจะตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เราพยายามคิดตัดสินใจอยู่นานพอสมควรว่าจะตั้งดีมั้ย? จะมีใครว่าเราเพ้อเจ้อมั้ยเนี่ย! เราแค่อย่าเเชร์ประสบการณ์และบันทึกเรื่องราวต่างๆที่ได้ออกภาคสนามมาในระหว่างเรียนในรั่วมหาลัย จะไปโพสในเฟซบุ๊กก็กล้วรกหน้าฟีดข่าวเพื่อน ด้วยความที่ชอบอ่านพันทิปอยู่เเล้วเลยตัดสินใจบันทึกลงนี้ดีกว่า"
เข้าเรื่องเลยละกันเพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลา ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความคิดอยากเป็นครูเลย แต่แม่กับยายอยากให้เรียน แม่บอกว่าเป็นข้าราชการถึงเงินเดือนน้อยแต่มั่นคงนะลูก สังคมของคนอิสาน ส่วนมากอยากให้ลูกเป็นข้าราชการ แม่เราก็คือหนึ่งในจำนวนของคนอิสานกลุ่มนั้นด้วย แม่บอกอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ถ้าหนูเป็นครูหนูจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ไง ครอบครัวเราเป็นครอบครัวเกษตรกร ทำนาเป็นหลัก ไม่ได้มีเงินเดือนเข้าทุกเดือน แต่แม่ก็อยากส่งให้เราเรียนสูงๆ แม่ไม่อยากให้เราลำบากเหมือนแม่อันนี้เข้าใจเลย เพราะถ้าเราไปทำนาเหมือนแม่คงทำไม่ได้หรอกยอมรับสภาพตัวเอง (แต่บางคนที่เก่งๆและขยันเขาก็ไม่จำเป็นต้องจบปริญญา) เมื่อคุยกับแม่เรียบร้อยเราเลยขอต่อรองว่าถ้าเรียนครูขอเป็นครูสังคมได้มั้ย ตอนนั้นเราอยากเรียนโบราณคดีมากไงโบราณคดีไม่ได้เรียนสังคมก็ได้วะ เเล้วก็คิดเองว่า สังคมกับโบราณคดีคงใกล้เคียงกันมั้ง ความจริงแล้วต่างกันคนละโลกเลย 555 พอตกลงกับแม่เรียบร้อยเราก็สมัครสอบแต่ปีที่เราสอบคือกระแสการสอบครูบูมมาก คัดเกรดนั้นโน้นนี้เยอะเว่อร์ และเกรดเราน้อยมาก บวกกับเรียนสายวิทย์ - คณิต มาด้วย -,.- แต่ในที่สุดเราก็สอบติด ติดรอบเก็บตกคนสมัคร 500 กว่าคน รับแค่ 10 สุดท้าย โชคเข้าข้างเราเลยทำให้สอบติด555 พอมาเรียนมาดูสิ่งที่เราต้องเรียนนั้นโน้นแบบอะไรเยอะไปหมด ตกใจกับสิ่งที่ต้องเรียน แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ทำให้เรารักการเป็นครูมากขึ้น จากการหล่อหลอมของรุ่นพี่และอาจารย์ทำให้เรารู้สึกรักและภูมิใจในสาขาในคณะและมหาลัย ตอนนี้รู้สึกโอเคกับสิ่งแม่เลือกให้และสิ่งที่ตัวเองพยายามมา เวลาเจออะไรที่ยากๆก็จะคิดแค่ว่าแม่ทำนาลำบากกว่าเราตั้งเยอะต้องทำได้สิต้องผ่านมันไปให้ได้ มันก็ไม่ได้เลวขนาดนั้นหรอกน๊า ในเมื่อเรารักการเป็นครู รักในสิ่งที่เรียนอะไรที่ยากๆก็ผ่านไปได้เราเชื่ออย่างนี้ และแล้วช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นในการเรียนมหาลัยก็เริ่มขึ้น ช่วง ปี 1 เทอม2 อาจารย์ที่สอนวิชาภูมิศาสตร์กายภาพ บอกเราว่านี่ๆ!!วิชานี้ต้องออกภาคสนามนะ ภาคเหนือนะ ด้วยความที่เป็นคนขี้เกียจนั่งรถขี้เกียจเดินก็แบบห๊ะ! ภาคเหนือ ฉันจะนั่งรถไหวมั้ยเนี่ย? ตอนนั้นเพิ่งเริ่มภาคสนามใหม่ๆตกใจช็อคมากที่ได้ออกภาคสนาคไกลขนาดนั้น หลังจากพร่ามมากนาน เราไปดูสถานที่ต่างๆที่อาจารย์ที่น่ารักพาเราและเพื่อนไปกันดีกว่า ไปๆไปเหมารถ ไม่ใช่ละ -...-
## ในเเต่ละทริปที่เราไปเราไม่สามารถจำค่าใช้จ่ายได้เพราะเราจ่ายแบบเหมารวมให้อาจารย์เป็นคนจัดการ ค่าใช้จ่ายบางส่วนอาจารย์ออกให้บ้าง เป็นอะไรที่เล่อค่ามาก อาจารย์เคยบอกเราว่าสาขาเราเป็นสาขาที่ได้รับงบน้อยที่สุดแต่อาจารย์สามารถพาเราออกภาคสนามได้ทุกปี เพราะเงินสนับสนุนบางส่วนอาจารย์ในสาขาอาจารย์หาเองจากการจัดอบรมพอมีเงินเก็บก็จัดเเบ่งให้ทำประโยชน์แก่นักศึกษา ^^
ประสบการณ์ออกภาคสนาม ของนักศึกษาครูสังคมศึกษา จากปี 1 ถึงปี 4
ชีวิตการออกภาคสนามของนักศึกษาครูสังคม ในมหาวิทยาลัยราชภัฎเล็กๆในจังหวัดเล็กๆของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
"มหากาพย์ภาคสนาม"
........................................................................................................................................................................................
ก่อนจะตั้งกระทู้นี้ขึ้นมา เราพยายามคิดตัดสินใจอยู่นานพอสมควรว่าจะตั้งดีมั้ย? จะมีใครว่าเราเพ้อเจ้อมั้ยเนี่ย! เราแค่อย่าเเชร์ประสบการณ์และบันทึกเรื่องราวต่างๆที่ได้ออกภาคสนามมาในระหว่างเรียนในรั่วมหาลัย จะไปโพสในเฟซบุ๊กก็กล้วรกหน้าฟีดข่าวเพื่อน ด้วยความที่ชอบอ่านพันทิปอยู่เเล้วเลยตัดสินใจบันทึกลงนี้ดีกว่า"
เข้าเรื่องเลยละกันเพื่อจะได้ไม่เป็นการเสียเวลา ก่อนหน้านี้ไม่เคยมีความคิดอยากเป็นครูเลย แต่แม่กับยายอยากให้เรียน แม่บอกว่าเป็นข้าราชการถึงเงินเดือนน้อยแต่มั่นคงนะลูก สังคมของคนอิสาน ส่วนมากอยากให้ลูกเป็นข้าราชการ แม่เราก็คือหนึ่งในจำนวนของคนอิสานกลุ่มนั้นด้วย แม่บอกอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ถ้าหนูเป็นครูหนูจะได้ไม่ต้องลำบากเหมือนแม่ไง ครอบครัวเราเป็นครอบครัวเกษตรกร ทำนาเป็นหลัก ไม่ได้มีเงินเดือนเข้าทุกเดือน แต่แม่ก็อยากส่งให้เราเรียนสูงๆ แม่ไม่อยากให้เราลำบากเหมือนแม่อันนี้เข้าใจเลย เพราะถ้าเราไปทำนาเหมือนแม่คงทำไม่ได้หรอกยอมรับสภาพตัวเอง (แต่บางคนที่เก่งๆและขยันเขาก็ไม่จำเป็นต้องจบปริญญา) เมื่อคุยกับแม่เรียบร้อยเราเลยขอต่อรองว่าถ้าเรียนครูขอเป็นครูสังคมได้มั้ย ตอนนั้นเราอยากเรียนโบราณคดีมากไงโบราณคดีไม่ได้เรียนสังคมก็ได้วะ เเล้วก็คิดเองว่า สังคมกับโบราณคดีคงใกล้เคียงกันมั้ง ความจริงแล้วต่างกันคนละโลกเลย 555 พอตกลงกับแม่เรียบร้อยเราก็สมัครสอบแต่ปีที่เราสอบคือกระแสการสอบครูบูมมาก คัดเกรดนั้นโน้นนี้เยอะเว่อร์ และเกรดเราน้อยมาก บวกกับเรียนสายวิทย์ - คณิต มาด้วย -,.- แต่ในที่สุดเราก็สอบติด ติดรอบเก็บตกคนสมัคร 500 กว่าคน รับแค่ 10 สุดท้าย โชคเข้าข้างเราเลยทำให้สอบติด555 พอมาเรียนมาดูสิ่งที่เราต้องเรียนนั้นโน้นแบบอะไรเยอะไปหมด ตกใจกับสิ่งที่ต้องเรียน แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันก็ทำให้เรารักการเป็นครูมากขึ้น จากการหล่อหลอมของรุ่นพี่และอาจารย์ทำให้เรารู้สึกรักและภูมิใจในสาขาในคณะและมหาลัย ตอนนี้รู้สึกโอเคกับสิ่งแม่เลือกให้และสิ่งที่ตัวเองพยายามมา เวลาเจออะไรที่ยากๆก็จะคิดแค่ว่าแม่ทำนาลำบากกว่าเราตั้งเยอะต้องทำได้สิต้องผ่านมันไปให้ได้ มันก็ไม่ได้เลวขนาดนั้นหรอกน๊า ในเมื่อเรารักการเป็นครู รักในสิ่งที่เรียนอะไรที่ยากๆก็ผ่านไปได้เราเชื่ออย่างนี้ และแล้วช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นในการเรียนมหาลัยก็เริ่มขึ้น ช่วง ปี 1 เทอม2 อาจารย์ที่สอนวิชาภูมิศาสตร์กายภาพ บอกเราว่านี่ๆ!!วิชานี้ต้องออกภาคสนามนะ ภาคเหนือนะ ด้วยความที่เป็นคนขี้เกียจนั่งรถขี้เกียจเดินก็แบบห๊ะ! ภาคเหนือ ฉันจะนั่งรถไหวมั้ยเนี่ย? ตอนนั้นเพิ่งเริ่มภาคสนามใหม่ๆตกใจช็อคมากที่ได้ออกภาคสนาคไกลขนาดนั้น หลังจากพร่ามมากนาน เราไปดูสถานที่ต่างๆที่อาจารย์ที่น่ารักพาเราและเพื่อนไปกันดีกว่า ไปๆไปเหมารถ ไม่ใช่ละ -...-
## ในเเต่ละทริปที่เราไปเราไม่สามารถจำค่าใช้จ่ายได้เพราะเราจ่ายแบบเหมารวมให้อาจารย์เป็นคนจัดการ ค่าใช้จ่ายบางส่วนอาจารย์ออกให้บ้าง เป็นอะไรที่เล่อค่ามาก อาจารย์เคยบอกเราว่าสาขาเราเป็นสาขาที่ได้รับงบน้อยที่สุดแต่อาจารย์สามารถพาเราออกภาคสนามได้ทุกปี เพราะเงินสนับสนุนบางส่วนอาจารย์ในสาขาอาจารย์หาเองจากการจัดอบรมพอมีเงินเก็บก็จัดเเบ่งให้ทำประโยชน์แก่นักศึกษา ^^