อยู่ห้องการเมือง
แต่เขียนเรื่องการเมืองแทบจะไม่ได้เลย
เดี๋ยวโดนเตือน เดี๋ยวโดนยึด จนจำไม่ได้แล้วว่าโดนไปกี่ล็อคอิน
เขียนเรื่อง รธน.ก็โดนเตือน
เขียนเรื่องประยุทธ์ก็โดนยึด
เขียนเรื่องเศรษฐกิจก็บอกว่าขัดต่อศีลธรรม
ดังนั้น........
จึงไม่แปลกเลย
ที่หลายๆคนหันมาเขียนกระทู้บ้าบอคอแตก
เขียนกระทู้เวิ่นเว้อ , เพลง , ประวัติศาสตร์ , กีฬา, อาหาร ฯลฯ
จนกลายเป็น "ตลกร้าย" ที่ห้องการเมือง แต่ดันห้ามเขียนประเด็นการเมืองแบบ hard issue !!!!
เขียนอะไรก็ไม่ค่อยจะได้
งั้นจ่าขอเขียนเรื่องเพลงก็แล้วกันว่ะ
ไหนๆ Bon Jovi กำลังจะมาทัวร์เอเชียอีกไม่กี่วันนี้แล้ว
เพราะนี่คือวงดนตรีที่ประกาศตัวเองว่าพวกเขาคือชนชั้นล่างสุดของสังคมครับ
เผลอแป๊บเดียว Bon Jovi ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 30 กว่าปีแล้ว
น้าๆเหล่านี้แหละ
ที่คือต้นตำรับของ "แฮร์ แบนด์" ของแท้เลย
แฮร์ แบนด์ คือคำดูถูกเสียดสี
ในเวลาที่นักวิจารณ์ฝรั่งมันจะกระแนะกระแหนวงดนตรีซักวง
ด้วยความหมายที่สื่อประมาณว่า "ดีแต่หล่อ ผมยาวสลวย แต่ฝีมือไม่ได้เรื่อง"
คือถ้าผมไม่ยาว ก็อาจไม่ดัง....ว่างั้นเหอะ...!!!!
แต่พอเวลาผ่านไป
Bon Jovi กลับทำให้คนที่ค่อนแคะหุบปากสนิท
เพราะพวกเขากลายเป็นวงร็อคระดับโลก ที่มียอดขายถล่มทลาย
วัยรุ่นในยุคจ่า
โตมากับเสียงร้องของน้าจอน
และ เสียงกีต้าร์แผดๆ หวานๆ ของ น้าริชชี่ แซมโบร่า
Bon Jovi มีงานที่เป็น บัลลาด ร็อค เพราะๆมากมาย
เพลงอย่าง Never say goodbye , Bed of roses, Stick to you guns,
I'll be there for you , This ain't a love song ฯลฯ ล้วนเป็นเพลงสร้างชื่อทั้งนั้น
อันนี้ Never say goodbye
Bed of roses แสดงสดในปี 2000
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเพลงร็อคแบบ ตึบ ตึบ
ไอ้เพลงประเภท Livin on a prayer ,
You give love a bad name , Bad medicine ,
ที่แทบจะเป็น "ของตาย" ในการตัดโปรโมทอัลบั้มของพวกเขาเลยก็ว่าได้
ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 30 กว่าปี
Bon Jovi ไม่ใช่ประเภท "แก่แล้วแก่เลย"
เพราะพวกเขาปรับตัวเข้ากับยุคสมัยชนิดวงรุ่นหลังกินน้าๆแกไม่ลงก็แล้วกัน
นอกจากเพลงร็อคแล้ว
น้าๆแกยังเคยลองทำเพลงแบบคันทรี่
ที่ฟีเจอริ่งกับนักร้องคันทรี่ แถมยังทะลึ่งคว้ารางวัลแกรมมี่มาครองในสาขาคันทรี่อีกต่างหาก
เพลง Pop ธรรมดาๆก็เอา
แถมยังกวาดแฟนเพลงใหม่ๆ
ที่ชอบเสพอะไรง่ายๆ สบายๆ ไปเป็น "ติ่ง" ได้อีกเพียบ
หรือ เปลี่ยนทางไปเล่นแบบอคุสติคก็เคยทำมาแล้ว
เล่น Here comes the sun เพลงของ The Beatles ในแบบอคุสติค
ตัวน้า Jon Bon Jovi ก็เคยมีอาการ "คัน"
โดดเข้ามาสู่โลกเซลลูลอยด์เล่นหนังอีกต่างหาก
น้าแกเล่นเป็น "นักล่าแวมไพร์" แสดงได้แบบมี inner เลยแหละ
พอแก่ตัวลง ก็ตัดผมตัดเผ้า เปลี่ยนลุ๊ดใหม่
ปล่อยวางหมดสิ้นความเป็น แฮร์ แบนด์ อย่างไม่อาลัยอาวรณ์
ไปๆมาๆผมสั้นตอนแก่ ดันหล่อกว่าผมยาวตอนเป็นหนุ่มซะอีก (ฮา...)
แต่ที่จ่าว่าสุดยอด
และ เป็นความมหัศจรรย์
ก็คือปรากฏการณ์ "แมว 9 ชีวิต"
ของเพลง Livin on a prayer ที่เคยขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ทปี 1987
และ จู่ๆดัน "รี เอ็นทรี่" หรือ กลับมาติดชาร์ทอีกครั้งในปี 2013
พระเจ้าจ๊อดดดดดดดดด.......
กลับมาขึ้นชาร์ทอีกครั้งหลังผ่านไป 26 ปี
(นี่มัน 1 ใน 3 ของอายุเฉลี่ยของมนุษย์เลยนะเนี่ย...!!!!!)
http://www.billboard.com/articles/news/5793372/bon-jovi-livin-on-a-prayer-hot-100-jeremy-fry-celtics
Livin on a prayer
คือเพลงที่ Bon Jovi ใช้ประกาศความเป็น "ชนชั้น" ของพวกเขาว่าเป็น "รากหญ้า"
มันคือเพลงโปรโมท ที่อยู่ในอัลบั้ม Slippery when wet ที่ขายชนิดถล่มทลายในปลายทศวรรษที่ 80
Livin on a prayer แสดงสดในปี 2012
เนื้อเพลงบอกเล่าเรื่องราวของชนชั้นรากหญ้า
ที่พอมีความรัก ก็ต้องดิ้นรนแบบชาวรากหญ้าทั้งหลาย
ฝ่ายชายก็ออกแนวแว๊นๆในแบบใช้แรงงาน ส่วนฝ่ายหญิงก็ประมาณว่าเป็นเด็กเสิร์ฟ...อะไรแบบนั้น
รักกันไป
ดิ้นรนกันไป
ใช้ชีวิตกันไปแบบอยู่กันไปวันๆ
เงินทองขาดมือก็ต้องเอาของไปเข้าโรงจำนำ (โอววว...ทั้งฝรั่งทั้งไทยใช้วิธีเดียวกันเลยว่ะ)
เป็นการเล่าเรื่องแบบ "โรแมนติครันทด"
ที่โดนใจคนหนุ่มสาวในยุค 80 ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว
ทั้ง "จอน บอน โจวี่"
และ "ริชชี่ แซมโบร่า"
ยืนยันในตัวตนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนอายุปาเข้าไปค่อนคนแล้วว่า
พวกเขาคือ "ชนชั้นล่าง" ที่เคยขาดโอกาสทางสังคม แต่ดันบังเอิญได้ดิบได้ดีเพราะดนตรี
หากไม่ได้เล่นดนตรีแล้ว
ก็ไม่แน่ว่าทั้งคู่อาจจะต้องขับแท็กซี่ในนิวยอร์ค ,
เป็นลูกเรือหาปลาในอลาสก้า หรือ เป็นคนงานในเหมืองที่ไหนซักแห่งก็เป็นได้
เพราะพ่อของ ริชชี่ แซมโบร่า ทำงานในโรงงาน
ส่วนพ่อของ จอน บอน โจวี่ ก็เป็นกรรมกรก่อสร้าง
ดังนั้น Bon Jovi จึง "เข้าใจ" ในเรื่องของการแบ่งชนชั้นในสังคมเป็นอย่างดี
Bon Jovi ตอบโต้คำกระแนะกระแหนเรื่อง แฮร์ แบนด์ ว่า....
"พวกไอไม่เคยคิดว่ารูปร่างหน้าตา หรือ ทรงผมมันจะทำให้ดังได้หรอก
หากว่าไม่มีฝีมือแล้ว ต่อให้หล่อให้ตายห่ะก็ไม่มีใครเขาซื้อแผ่นมาฟังหรอก
พวกไอไม่แคร์ปากนักวิจารณ์หรอก เพราะมั่นใจว่าหน้าตาก็พอได้ และ ฝีมือก็มีว่ะ"
30 กว่าปีที่ผ่านมา
คงพิสูจน์ได้ว่า Bon Jovi ยิ่งใหญ่ "สมราคา" จริงๆ
อย่างน้อยที่สุดการกลับมารีเอ็นทรี่ในบิลบอร์ดชาร์ทอีกครั้ง
ของเพลงที่ประกาศความเป็นชนชั้นอย่าง Livin on a prayer
ทั้งๆที่ผ่านการเดินทางของกาลเวลามาถึง 26 ปี (1987 - 2013) แล้วนั้น
มันคงไม่มีคำจำกัดความอะไรที่มาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้นอกจากคำว่า "มหัศจรรย์"
"มหัศจรรย์แห่งเพลงรากหญ้า" ของแท้ชนิดสุดติ่งกระดิ่งแมวจริงๆว่ะ...!!!!!!
ขอบคุณพี่ผุยแห่งห้องย่อยบีเทิ่ลส์ ที่สละล็อคอินมาให้จ่าลุยต่อครับ
จ่าพิเชษฐ์
@@@@@---------- เฮ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ .... นี่ แ ห ล ะ "ร า ก ห ญ้ า" ข อ ง แ ท้ เ ล ย ....!!!!!!!!!!!!!!-----@@@@@
แต่เขียนเรื่องการเมืองแทบจะไม่ได้เลย
เดี๋ยวโดนเตือน เดี๋ยวโดนยึด จนจำไม่ได้แล้วว่าโดนไปกี่ล็อคอิน
เขียนเรื่อง รธน.ก็โดนเตือน
เขียนเรื่องประยุทธ์ก็โดนยึด
เขียนเรื่องเศรษฐกิจก็บอกว่าขัดต่อศีลธรรม
ดังนั้น........
จึงไม่แปลกเลย
ที่หลายๆคนหันมาเขียนกระทู้บ้าบอคอแตก
เขียนกระทู้เวิ่นเว้อ , เพลง , ประวัติศาสตร์ , กีฬา, อาหาร ฯลฯ
จนกลายเป็น "ตลกร้าย" ที่ห้องการเมือง แต่ดันห้ามเขียนประเด็นการเมืองแบบ hard issue !!!!
เขียนอะไรก็ไม่ค่อยจะได้
งั้นจ่าขอเขียนเรื่องเพลงก็แล้วกันว่ะ
ไหนๆ Bon Jovi กำลังจะมาทัวร์เอเชียอีกไม่กี่วันนี้แล้ว
เพราะนี่คือวงดนตรีที่ประกาศตัวเองว่าพวกเขาคือชนชั้นล่างสุดของสังคมครับ
เผลอแป๊บเดียว Bon Jovi ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 30 กว่าปีแล้ว
น้าๆเหล่านี้แหละ
ที่คือต้นตำรับของ "แฮร์ แบนด์" ของแท้เลย
แฮร์ แบนด์ คือคำดูถูกเสียดสี
ในเวลาที่นักวิจารณ์ฝรั่งมันจะกระแนะกระแหนวงดนตรีซักวง
ด้วยความหมายที่สื่อประมาณว่า "ดีแต่หล่อ ผมยาวสลวย แต่ฝีมือไม่ได้เรื่อง"
คือถ้าผมไม่ยาว ก็อาจไม่ดัง....ว่างั้นเหอะ...!!!!
แต่พอเวลาผ่านไป
Bon Jovi กลับทำให้คนที่ค่อนแคะหุบปากสนิท
เพราะพวกเขากลายเป็นวงร็อคระดับโลก ที่มียอดขายถล่มทลาย
วัยรุ่นในยุคจ่า
โตมากับเสียงร้องของน้าจอน
และ เสียงกีต้าร์แผดๆ หวานๆ ของ น้าริชชี่ แซมโบร่า
Bon Jovi มีงานที่เป็น บัลลาด ร็อค เพราะๆมากมาย
เพลงอย่าง Never say goodbye , Bed of roses, Stick to you guns,
I'll be there for you , This ain't a love song ฯลฯ ล้วนเป็นเพลงสร้างชื่อทั้งนั้น
อันนี้ Never say goodbye
Bed of roses แสดงสดในปี 2000
นี่ยังไม่ต้องพูดถึงเพลงร็อคแบบ ตึบ ตึบ
ไอ้เพลงประเภท Livin on a prayer ,
You give love a bad name , Bad medicine ,
ที่แทบจะเป็น "ของตาย" ในการตัดโปรโมทอัลบั้มของพวกเขาเลยก็ว่าได้
ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 30 กว่าปี
Bon Jovi ไม่ใช่ประเภท "แก่แล้วแก่เลย"
เพราะพวกเขาปรับตัวเข้ากับยุคสมัยชนิดวงรุ่นหลังกินน้าๆแกไม่ลงก็แล้วกัน
นอกจากเพลงร็อคแล้ว
น้าๆแกยังเคยลองทำเพลงแบบคันทรี่
ที่ฟีเจอริ่งกับนักร้องคันทรี่ แถมยังทะลึ่งคว้ารางวัลแกรมมี่มาครองในสาขาคันทรี่อีกต่างหาก
เพลง Pop ธรรมดาๆก็เอา
แถมยังกวาดแฟนเพลงใหม่ๆ
ที่ชอบเสพอะไรง่ายๆ สบายๆ ไปเป็น "ติ่ง" ได้อีกเพียบ
หรือ เปลี่ยนทางไปเล่นแบบอคุสติคก็เคยทำมาแล้ว
เล่น Here comes the sun เพลงของ The Beatles ในแบบอคุสติค
ตัวน้า Jon Bon Jovi ก็เคยมีอาการ "คัน"
โดดเข้ามาสู่โลกเซลลูลอยด์เล่นหนังอีกต่างหาก
น้าแกเล่นเป็น "นักล่าแวมไพร์" แสดงได้แบบมี inner เลยแหละ
พอแก่ตัวลง ก็ตัดผมตัดเผ้า เปลี่ยนลุ๊ดใหม่
ปล่อยวางหมดสิ้นความเป็น แฮร์ แบนด์ อย่างไม่อาลัยอาวรณ์
ไปๆมาๆผมสั้นตอนแก่ ดันหล่อกว่าผมยาวตอนเป็นหนุ่มซะอีก (ฮา...)
แต่ที่จ่าว่าสุดยอด
และ เป็นความมหัศจรรย์
ก็คือปรากฏการณ์ "แมว 9 ชีวิต"
ของเพลง Livin on a prayer ที่เคยขึ้นอันดับ 1 ในบิลบอร์ดชาร์ทปี 1987
และ จู่ๆดัน "รี เอ็นทรี่" หรือ กลับมาติดชาร์ทอีกครั้งในปี 2013
พระเจ้าจ๊อดดดดดดดดด.......
กลับมาขึ้นชาร์ทอีกครั้งหลังผ่านไป 26 ปี
(นี่มัน 1 ใน 3 ของอายุเฉลี่ยของมนุษย์เลยนะเนี่ย...!!!!!)
http://www.billboard.com/articles/news/5793372/bon-jovi-livin-on-a-prayer-hot-100-jeremy-fry-celtics
Livin on a prayer
คือเพลงที่ Bon Jovi ใช้ประกาศความเป็น "ชนชั้น" ของพวกเขาว่าเป็น "รากหญ้า"
มันคือเพลงโปรโมท ที่อยู่ในอัลบั้ม Slippery when wet ที่ขายชนิดถล่มทลายในปลายทศวรรษที่ 80
Livin on a prayer แสดงสดในปี 2012
เนื้อเพลงบอกเล่าเรื่องราวของชนชั้นรากหญ้า
ที่พอมีความรัก ก็ต้องดิ้นรนแบบชาวรากหญ้าทั้งหลาย
ฝ่ายชายก็ออกแนวแว๊นๆในแบบใช้แรงงาน ส่วนฝ่ายหญิงก็ประมาณว่าเป็นเด็กเสิร์ฟ...อะไรแบบนั้น
รักกันไป
ดิ้นรนกันไป
ใช้ชีวิตกันไปแบบอยู่กันไปวันๆ
เงินทองขาดมือก็ต้องเอาของไปเข้าโรงจำนำ (โอววว...ทั้งฝรั่งทั้งไทยใช้วิธีเดียวกันเลยว่ะ)
เป็นการเล่าเรื่องแบบ "โรแมนติครันทด"
ที่โดนใจคนหนุ่มสาวในยุค 80 ที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัว
ทั้ง "จอน บอน โจวี่"
และ "ริชชี่ แซมโบร่า"
ยืนยันในตัวตนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนอายุปาเข้าไปค่อนคนแล้วว่า
พวกเขาคือ "ชนชั้นล่าง" ที่เคยขาดโอกาสทางสังคม แต่ดันบังเอิญได้ดิบได้ดีเพราะดนตรี
หากไม่ได้เล่นดนตรีแล้ว
ก็ไม่แน่ว่าทั้งคู่อาจจะต้องขับแท็กซี่ในนิวยอร์ค ,
เป็นลูกเรือหาปลาในอลาสก้า หรือ เป็นคนงานในเหมืองที่ไหนซักแห่งก็เป็นได้
เพราะพ่อของ ริชชี่ แซมโบร่า ทำงานในโรงงาน
ส่วนพ่อของ จอน บอน โจวี่ ก็เป็นกรรมกรก่อสร้าง
ดังนั้น Bon Jovi จึง "เข้าใจ" ในเรื่องของการแบ่งชนชั้นในสังคมเป็นอย่างดี
Bon Jovi ตอบโต้คำกระแนะกระแหนเรื่อง แฮร์ แบนด์ ว่า....
"พวกไอไม่เคยคิดว่ารูปร่างหน้าตา หรือ ทรงผมมันจะทำให้ดังได้หรอก
หากว่าไม่มีฝีมือแล้ว ต่อให้หล่อให้ตายห่ะก็ไม่มีใครเขาซื้อแผ่นมาฟังหรอก
พวกไอไม่แคร์ปากนักวิจารณ์หรอก เพราะมั่นใจว่าหน้าตาก็พอได้ และ ฝีมือก็มีว่ะ"
30 กว่าปีที่ผ่านมา
คงพิสูจน์ได้ว่า Bon Jovi ยิ่งใหญ่ "สมราคา" จริงๆ
อย่างน้อยที่สุดการกลับมารีเอ็นทรี่ในบิลบอร์ดชาร์ทอีกครั้ง
ของเพลงที่ประกาศความเป็นชนชั้นอย่าง Livin on a prayer
ทั้งๆที่ผ่านการเดินทางของกาลเวลามาถึง 26 ปี (1987 - 2013) แล้วนั้น
มันคงไม่มีคำจำกัดความอะไรที่มาอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้นอกจากคำว่า "มหัศจรรย์"
"มหัศจรรย์แห่งเพลงรากหญ้า" ของแท้ชนิดสุดติ่งกระดิ่งแมวจริงๆว่ะ...!!!!!!
ขอบคุณพี่ผุยแห่งห้องย่อยบีเทิ่ลส์ ที่สละล็อคอินมาให้จ่าลุยต่อครับ
จ่าพิเชษฐ์