Downton Abbey Season 1 (2010) : ดาวน์ตันแอ๊บบี้ , Creator : Julian Fellowes
.
" ส ว ย ง า ม ห ม ด จ ด ทุ ก ร ะ เ บี ย บ นิ้ ว ตั้ ง แ ต่ เริ่ ม ต้ นจ น จ บ "
.
เป็นเรื่องราวของชนชั้นสูงชาวอังกฤษ Robert Crawley (Lord of Grantham) ผู้เป็นเจ้าของปราสาท Downton Abbey อันใหญ่โต ทั้งยังเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีภรรยากับลูกสาวอีก 3 คน . . ในเช้าวันหนึ่งเขาได้รับโทรเลขแจ้งข่าวการจมลงของเรือ Titanic (ปี 1912) ซึ่งได้คร่าชีวิต 2 ทายาทผู้หมายหมั้นกับบุตรสาวและสืบทอดปราสาท Downton Abbey ของเขาไป และในยุคสมัยของอังกฤษ บุตรสาวจึงไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งและมรดกได้ถูกต้องตามกฎหมาย ทรัพย์สมบัติต่างๆจะต้องตกทอดให้แก่ทายาทผู้เป็นชายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ Lord of Grantham จึงติดต่อ Matthew Crawley ทนายหนุ่มชนชั้นกลางจาก Manchester (แมนเชสเตอร์) ญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูล เพื่อให้มารับโอกาสที่จะได้เป็นทายาทคนต่อไปของปราสาท Downton Abbey . . Cora Crawley (Lady Grantham) จึงต้องคิดหาหนทางกับแม่สามี ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ทรัพย์สมบัติและปราสาทต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัว แต่ถึงกระนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับ Lady Mary บุตรสาวคนโตผู้หมายหมั้นงานแต่งครั้งนี้ด้วยว่า เธอตัดสินใจที่จะรับรักผู้ชายที่เธอไม่เคยรู้จักด้วยหรือเปล่า . . ซึ่งในขณะเดียวกันเมื่อต้นห้องคนใหม่ของ Lord Grantham มาถึง เพื่อรับตำแหน่งที่เพิ่งว่างได้ไม่นาน จึงทำให้คนรับใช้ก่อนหน้าที่หมายปองตำแหน่งนี้ ก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา!!
.
ภาพยนตร์ซีรี่ย์ Downton Abbey ประสบความสำเร็จจนเป็นที่โด่งดังมาฮิตติดใจไกลถึงอเมริกา ด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงและกวาดรางวัลมามากมายหลายสถาบัน ทั้งสถาบันศิลปะภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งอังกฤษ (BAFTA) , Golden Globe Award (ลูกโลกทองคำ) , Emmy Award (รางวัลเอมมี่) ในสาขาภาพยนตร์โทรทัศน์ยอดเยี่ยม , ทีมนักแสดงจากละครโทรทัศน์แนวชีวิตยอดเยี่ยม , นักแสดงนำหญิงซีรีส์ดราม่าทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม , นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม , ประพันธ์ดนตรีซีรี่ย์ยอดเยี่ยม , เสื้อผ้าหน้าผม Costume Designers ยอดเยี่ยม , รางวัลโปรดิวเซอร์แด่ผู้อำนวยการสร้างยอดเยี่ยม และอื่นๆอีกมากมาย . . ด้วยบอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวขุนนางชาวอังกฤษ ในต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ ความหรูหรา ขนบธรรมเนียม ชนชั้นการแบ่งแยก ไปตลอดจนแนวคิดสมัยใหม่ ซึ่งไม่เพียงแต่นำเสนอผ่านความสัมพันธ์ของตัวละครหลากหลายรูปแบบ แต่ยังรวมไปถึงความใส่ใจในทุกอนู ทั้งแนวคิด ปรัชญา การดำรงชีวิต สถานที่ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ได้อย่างละเมียดละไมและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
.
เราจะได้เห็นถึงมุมมองและแนวคิดของตัวละครในยุคนั้น ผ่านหน้าหนังประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาที่เรือไททานิคล่ม จนถึงช่วงเริ่มสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ความตื่นตระหนกตกใจที่ไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นสูง การแสดงออกต่อสถานการณ์ และวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันของผู้คน เราเห็นถึงกระบวนการตัดสินใจของชนชั้นสูงผู้เป็นเจ้านาย กับชนชั้นล่างผู้เป็นบ่าวรับใช้ ว่าอะไรคือความสำคัญและเป้าหมายในชีวิต การเมืองและเหตุการณ์ต่างๆของโลกที่เกิดขึ้น มีผลกระทบต่อพวกเขามากน้อยแค่ไหน สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกรวบรวมอยู่ใน Downton Abbey ภายในระยะเวลา 60 นาทีต่อตอน ด้วยการดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว กระชับฉับไว แต่ได้ใจความสมบูรณ์ครบถ้วน เป็นเรื่องที่ทำให้เราเห็นถึงความหมายของคำว่า "ทุกนาทีมีค่า" ได้อย่างตรงตัว นั้นเพราะไม่มีแม้แต่เพียงเสี้ยววินาที ที่หนังจะเสียเวลาและไม่ทำประโยชน์ใดๆเลย ทั้งบทสนทนา เส้นเรื่องหลัก-เส้นเรื่องรอง ไปตลอดจนภาพนิ่งบรรยายความรู้สึก เป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถพลาดได้อยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีสติที่แน่วแน่ในการรับชม เพราะเราจะไม่มีทางรู้เลยว่า ตัวละครกำลังพูดหรือสื่อถึงเรื่องอะไร และความรู้สึกต่อเรื่องนั้นๆ หรือความสัมพันธ์ต่อบุคคลนั้นเป็นอย่างไร ส่วนหนึ่งมาจากการที่ตัวละครในหนัง มักจะใช้คำพูดที่แฝงด้วยความนัยและปรัชญา สำนวนโบราณที่แปลกหูบางคำ ไม่เว้นแม้แต่ตอนหยอกล้อหรือเล่นมุขตลก ที่น้อยครั้งจะเลือกใช้การเจาะจงกันตรงๆจนเห็นได้ชัด แต่ส่วนใหญ่เป็นมุขที่เข้ากับสถานการณ์ ที่สามารถทำประโยชน์ได้ทั้งสองช่องทาง นั้นคืออารมณ์ขันและการดำเนินเรื่อง โดยไม่จำเป็นต้องเฉพาะเทคนิคหรืออีเว้นใหญ่ๆเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งการเดินสวนทางของตัวละคร โดยพูดกันแค่สองสามประโยค เราก็จะเห็นถึงความน่ารัก และอารมณ์ขันเล็กๆน้อยๆแล้ว
.
ตัวหนังสามารถหาเวลาเล่าเรื่องของแต่ละคนได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว เราจะเห็นได้ว่าด้วยการที่หนังเล่าเรื่องกระชับ เพราะมีหลากหลายประเด็นในตอนเดียวที่ต้องเล่า ไม่ว่าจะเป็นเส้นเรื่องหลักหรือเส้นเรื่องรอง ล้วนได้รับความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น สิ่งหนึ่งก็คือทีมงานต้องวางแผนเรียบร้อยมาเป็นอย่างดีแล้วว่า ภายในระยะ 7 ตอนจบของซีรี่ย์(เฉพาะซีซั่น 1) หรือ 9 ตอนจบ(ในซีซั่นอื่นๆ) เส้นเรื่องหลักเหล่านี้ต้องจบครบสมบูรณ์เรียบร้อย โดยในตอนอื่นๆทั่วไปนั้น ตัวหนังก็เสริมเส้นเรื่องรองมา ให้มีสิ่งที่ต้องเล่าและน่าติดตามในตอนนั้นๆ ซึ่งทุกอย่างล้วนส่งผลต่อเส้นเรื่องหลักด้วยกันอีกที ตรงนี้ถือเป็นความซับซ้อนที่น่าชื่นชมของตัวซีรี่ย์และทีมงาน กับการเชื่อมโยงประเด็นต่างๆของแต่ละบุคคล ให้นำมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวครบถ้วน นึกภาพแล้วก็เหมือนกับใยแมงมุม ที่ไม่ว่าเส้นจะเยอะและยุ่งเหยิงแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วทุกเส้นก็มีทางเชือมโยงถึงกันได้โดยไม่หลงทาง ความรู้สึกของการดูต่อตอนจบ จึงเปรียบเสมือนการจบในตอน ที่เรื่องราวนั้นๆมีอะไรต่อมิอะไรมากมายให้เซอร์ไพรส์และคาดไม่ถึง กับในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงที่เปรียบได้กับกำลังดูหนังเรื่องยาวเรื่องหนึ่ง ความเพลิดเพลินระยะยาวนี้ที่ทำให้เราลืมไปเลยว่า นี้เป็นซีรี่ย์และแค่ตอนเดียวเท่านั้น หนังก็ใช้การปิดบทสรุปทุกประเด็นของเส้นเรื่องรองได้อย่างลงตัวและหายข้องใจ ต่างกับซีรี่ย์ในเรื่องอื่นๆที่มักเจาะจงกับเส้นเรื่องหลัก และตัดจบตอนสำคัญให้เราลุ้นอยากดูตอนถัดไปแทน ในส่วนนี้จึงถือเป็นเสน่ห์และเทคนิคอีกแบบที่ ซีรี่ย์ Downton Abbey เลือกใช้
.
แม้จะเป็นเรื่องราวความเป็นอยู่ของชนชั้นสูงในอังกฤษ ที่ไม่ต่างจากนวนิยายอมตะในวงการวรรณกรรมไทยบ้านเราอย่างบ้านทรายทอง อันมีทั้งความรันทดในหมู่คนรับใช้ พี่น้องอิจฉาหักเหลี่ยมโหด(กันเบาๆ) ความรักโรแมนติกทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ รวมถึงคุณย่าจอมหัวโบราณ ซึ่งความแตกต่างของละครพีเรียดบ้านเรา และความน่าสนใจของซีรี่ย์ Downton Abbey คือการไม่เจาะจงความเป็นเมโลดราม่า(ละครน้ำเน่า)หนักๆเพียงอย่างเดียว ไม่มีพี่น้องจิกหัวกันแย่งผัว อีกทั้งตัวละครทุกตัวในเรื่อง ก็ล้วนมีทั้งด้านดีและร้าย ทุกคนล้วนมีความเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ในทางเดียวกัน นี้ก็ไม่ใช่เรื่องราวที่เน้นความดาร์กอะไรมากมาย ส่วนใหญ่มักจะเบนเข็มเน้นไปทางบวกของจิตใจมนุษย์มากกว่า
.
สรุปแล้ว Downton Abbey (Season 1) ก็ถือว่าเป็นซีรี่ย์ที่สวยงามหมดจดในด้านองค์ประกอบ โดยไม่เลือกใช้การขับเน้นอารมณ์รุนแรง แต่ค่อยๆเป็นค่อยๆไปอย่างนิ่งเรียบ ได้ทั้งความรู้และความบันเทิง และชวนเพลิดเพลินจนอิ่มเอมเป็นอย่างมาก เหมาะกับผู้นิยมชมชอบงานสมบูรณ์แบบทุกประการครับ
ผู้เขียน C. Non
Movie Insurgent & เด็กรักหนัง
[CR] [Review ภาพยนตร์ทีวีซีรี่ย์] : Downton Abbey Season 1 (United Kingdom , 2010) ดาวน์ตันแอ๊บบี้
Downton Abbey Season 1 (2010) : ดาวน์ตันแอ๊บบี้ , Creator : Julian Fellowes
.
" ส ว ย ง า ม ห ม ด จ ด ทุ ก ร ะ เ บี ย บ นิ้ ว ตั้ ง แ ต่ เริ่ ม ต้ นจ น จ บ "
.
เป็นเรื่องราวของชนชั้นสูงชาวอังกฤษ Robert Crawley (Lord of Grantham) ผู้เป็นเจ้าของปราสาท Downton Abbey อันใหญ่โต ทั้งยังเป็นหัวหน้าครอบครัวและมีภรรยากับลูกสาวอีก 3 คน . . ในเช้าวันหนึ่งเขาได้รับโทรเลขแจ้งข่าวการจมลงของเรือ Titanic (ปี 1912) ซึ่งได้คร่าชีวิต 2 ทายาทผู้หมายหมั้นกับบุตรสาวและสืบทอดปราสาท Downton Abbey ของเขาไป และในยุคสมัยของอังกฤษ บุตรสาวจึงไม่สามารถสืบทอดตำแหน่งและมรดกได้ถูกต้องตามกฎหมาย ทรัพย์สมบัติต่างๆจะต้องตกทอดให้แก่ทายาทผู้เป็นชายเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ Lord of Grantham จึงติดต่อ Matthew Crawley ทนายหนุ่มชนชั้นกลางจาก Manchester (แมนเชสเตอร์) ญาติคนเดียวที่เหลืออยู่ของตระกูล เพื่อให้มารับโอกาสที่จะได้เป็นทายาทคนต่อไปของปราสาท Downton Abbey . . Cora Crawley (Lady Grantham) จึงต้องคิดหาหนทางกับแม่สามี ว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ทรัพย์สมบัติและปราสาทต้องตกไปอยู่ในมือคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัว แต่ถึงกระนั้นก็ต้องขึ้นอยู่กับ Lady Mary บุตรสาวคนโตผู้หมายหมั้นงานแต่งครั้งนี้ด้วยว่า เธอตัดสินใจที่จะรับรักผู้ชายที่เธอไม่เคยรู้จักด้วยหรือเปล่า . . ซึ่งในขณะเดียวกันเมื่อต้นห้องคนใหม่ของ Lord Grantham มาถึง เพื่อรับตำแหน่งที่เพิ่งว่างได้ไม่นาน จึงทำให้คนรับใช้ก่อนหน้าที่หมายปองตำแหน่งนี้ ก็เกิดความไม่พอใจขึ้นมา!!
.
ภาพยนตร์ซีรี่ย์ Downton Abbey ประสบความสำเร็จจนเป็นที่โด่งดังมาฮิตติดใจไกลถึงอเมริกา ด้วยการได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงและกวาดรางวัลมามากมายหลายสถาบัน ทั้งสถาบันศิลปะภาพยนตร์และโทรทัศน์แห่งอังกฤษ (BAFTA) , Golden Globe Award (ลูกโลกทองคำ) , Emmy Award (รางวัลเอมมี่) ในสาขาภาพยนตร์โทรทัศน์ยอดเยี่ยม , ทีมนักแสดงจากละครโทรทัศน์แนวชีวิตยอดเยี่ยม , นักแสดงนำหญิงซีรีส์ดราม่าทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม , นักแสดงสมทบหญิงยอดเยี่ยม , ประพันธ์ดนตรีซีรี่ย์ยอดเยี่ยม , เสื้อผ้าหน้าผม Costume Designers ยอดเยี่ยม , รางวัลโปรดิวเซอร์แด่ผู้อำนวยการสร้างยอดเยี่ยม และอื่นๆอีกมากมาย . . ด้วยบอกเล่าเรื่องราวของครอบครัวขุนนางชาวอังกฤษ ในต้นศตวรรษที่ 20 ซึ่งเป็นรอยต่อระหว่างยุคเก่าและยุคใหม่ ความหรูหรา ขนบธรรมเนียม ชนชั้นการแบ่งแยก ไปตลอดจนแนวคิดสมัยใหม่ ซึ่งไม่เพียงแต่นำเสนอผ่านความสัมพันธ์ของตัวละครหลากหลายรูปแบบ แต่ยังรวมไปถึงความใส่ใจในทุกอนู ทั้งแนวคิด ปรัชญา การดำรงชีวิต สถานที่ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ได้อย่างละเมียดละไมและละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง
.
เราจะได้เห็นถึงมุมมองและแนวคิดของตัวละครในยุคนั้น ผ่านหน้าหนังประวัติศาสตร์ที่เกิดขึ้น เริ่มตั้งแต่ช่วงเวลาที่เรือไททานิคล่ม จนถึงช่วงเริ่มสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ความตื่นตระหนกตกใจที่ไม่เว้นแม้แต่ชนชั้นสูง การแสดงออกต่อสถานการณ์ และวิถีการดำเนินชีวิตที่เป็นอยู่ทุกวันของผู้คน เราเห็นถึงกระบวนการตัดสินใจของชนชั้นสูงผู้เป็นเจ้านาย กับชนชั้นล่างผู้เป็นบ่าวรับใช้ ว่าอะไรคือความสำคัญและเป้าหมายในชีวิต การเมืองและเหตุการณ์ต่างๆของโลกที่เกิดขึ้น มีผลกระทบต่อพวกเขามากน้อยแค่ไหน สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกรวบรวมอยู่ใน Downton Abbey ภายในระยะเวลา 60 นาทีต่อตอน ด้วยการดำเนินเรื่องที่รวดเร็ว กระชับฉับไว แต่ได้ใจความสมบูรณ์ครบถ้วน เป็นเรื่องที่ทำให้เราเห็นถึงความหมายของคำว่า "ทุกนาทีมีค่า" ได้อย่างตรงตัว นั้นเพราะไม่มีแม้แต่เพียงเสี้ยววินาที ที่หนังจะเสียเวลาและไม่ทำประโยชน์ใดๆเลย ทั้งบทสนทนา เส้นเรื่องหลัก-เส้นเรื่องรอง ไปตลอดจนภาพนิ่งบรรยายความรู้สึก เป็นสิ่งสำคัญที่เราสามารถพลาดได้อยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่มีสติที่แน่วแน่ในการรับชม เพราะเราจะไม่มีทางรู้เลยว่า ตัวละครกำลังพูดหรือสื่อถึงเรื่องอะไร และความรู้สึกต่อเรื่องนั้นๆ หรือความสัมพันธ์ต่อบุคคลนั้นเป็นอย่างไร ส่วนหนึ่งมาจากการที่ตัวละครในหนัง มักจะใช้คำพูดที่แฝงด้วยความนัยและปรัชญา สำนวนโบราณที่แปลกหูบางคำ ไม่เว้นแม้แต่ตอนหยอกล้อหรือเล่นมุขตลก ที่น้อยครั้งจะเลือกใช้การเจาะจงกันตรงๆจนเห็นได้ชัด แต่ส่วนใหญ่เป็นมุขที่เข้ากับสถานการณ์ ที่สามารถทำประโยชน์ได้ทั้งสองช่องทาง นั้นคืออารมณ์ขันและการดำเนินเรื่อง โดยไม่จำเป็นต้องเฉพาะเทคนิคหรืออีเว้นใหญ่ๆเท่านั้น แต่มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แม้กระทั่งการเดินสวนทางของตัวละคร โดยพูดกันแค่สองสามประโยค เราก็จะเห็นถึงความน่ารัก และอารมณ์ขันเล็กๆน้อยๆแล้ว
.
ตัวหนังสามารถหาเวลาเล่าเรื่องของแต่ละคนได้อย่างเหมาะเจาะลงตัว เราจะเห็นได้ว่าด้วยการที่หนังเล่าเรื่องกระชับ เพราะมีหลากหลายประเด็นในตอนเดียวที่ต้องเล่า ไม่ว่าจะเป็นเส้นเรื่องหลักหรือเส้นเรื่องรอง ล้วนได้รับความสำคัญด้วยกันทั้งสิ้น สิ่งหนึ่งก็คือทีมงานต้องวางแผนเรียบร้อยมาเป็นอย่างดีแล้วว่า ภายในระยะ 7 ตอนจบของซีรี่ย์(เฉพาะซีซั่น 1) หรือ 9 ตอนจบ(ในซีซั่นอื่นๆ) เส้นเรื่องหลักเหล่านี้ต้องจบครบสมบูรณ์เรียบร้อย โดยในตอนอื่นๆทั่วไปนั้น ตัวหนังก็เสริมเส้นเรื่องรองมา ให้มีสิ่งที่ต้องเล่าและน่าติดตามในตอนนั้นๆ ซึ่งทุกอย่างล้วนส่งผลต่อเส้นเรื่องหลักด้วยกันอีกที ตรงนี้ถือเป็นความซับซ้อนที่น่าชื่นชมของตัวซีรี่ย์และทีมงาน กับการเชื่อมโยงประเด็นต่างๆของแต่ละบุคคล ให้นำมาผสมผสานกันได้อย่างลงตัวครบถ้วน นึกภาพแล้วก็เหมือนกับใยแมงมุม ที่ไม่ว่าเส้นจะเยอะและยุ่งเหยิงแค่ไหน แต่สุดท้ายแล้วทุกเส้นก็มีทางเชือมโยงถึงกันได้โดยไม่หลงทาง ความรู้สึกของการดูต่อตอนจบ จึงเปรียบเสมือนการจบในตอน ที่เรื่องราวนั้นๆมีอะไรต่อมิอะไรมากมายให้เซอร์ไพรส์และคาดไม่ถึง กับในระยะเวลาหนึ่งชั่วโมงที่เปรียบได้กับกำลังดูหนังเรื่องยาวเรื่องหนึ่ง ความเพลิดเพลินระยะยาวนี้ที่ทำให้เราลืมไปเลยว่า นี้เป็นซีรี่ย์และแค่ตอนเดียวเท่านั้น หนังก็ใช้การปิดบทสรุปทุกประเด็นของเส้นเรื่องรองได้อย่างลงตัวและหายข้องใจ ต่างกับซีรี่ย์ในเรื่องอื่นๆที่มักเจาะจงกับเส้นเรื่องหลัก และตัดจบตอนสำคัญให้เราลุ้นอยากดูตอนถัดไปแทน ในส่วนนี้จึงถือเป็นเสน่ห์และเทคนิคอีกแบบที่ ซีรี่ย์ Downton Abbey เลือกใช้
.
แม้จะเป็นเรื่องราวความเป็นอยู่ของชนชั้นสูงในอังกฤษ ที่ไม่ต่างจากนวนิยายอมตะในวงการวรรณกรรมไทยบ้านเราอย่างบ้านทรายทอง อันมีทั้งความรันทดในหมู่คนรับใช้ พี่น้องอิจฉาหักเหลี่ยมโหด(กันเบาๆ) ความรักโรแมนติกทั้งรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ รวมถึงคุณย่าจอมหัวโบราณ ซึ่งความแตกต่างของละครพีเรียดบ้านเรา และความน่าสนใจของซีรี่ย์ Downton Abbey คือการไม่เจาะจงความเป็นเมโลดราม่า(ละครน้ำเน่า)หนักๆเพียงอย่างเดียว ไม่มีพี่น้องจิกหัวกันแย่งผัว อีกทั้งตัวละครทุกตัวในเรื่อง ก็ล้วนมีทั้งด้านดีและร้าย ทุกคนล้วนมีความเป็นมนุษย์ด้วยกันทั้งสิ้น แต่ในทางเดียวกัน นี้ก็ไม่ใช่เรื่องราวที่เน้นความดาร์กอะไรมากมาย ส่วนใหญ่มักจะเบนเข็มเน้นไปทางบวกของจิตใจมนุษย์มากกว่า
.
สรุปแล้ว Downton Abbey (Season 1) ก็ถือว่าเป็นซีรี่ย์ที่สวยงามหมดจดในด้านองค์ประกอบ โดยไม่เลือกใช้การขับเน้นอารมณ์รุนแรง แต่ค่อยๆเป็นค่อยๆไปอย่างนิ่งเรียบ ได้ทั้งความรู้และความบันเทิง และชวนเพลิดเพลินจนอิ่มเอมเป็นอย่างมาก เหมาะกับผู้นิยมชมชอบงานสมบูรณ์แบบทุกประการครับ
ผู้เขียน C. Non