"กว่าลูกจะได้ทุนเรียนฟรีจากมหาวิทยาลัยในอเมริกาทั้ง 3 คน" ตอนที่ 2 คุณสมบัติของนักเรียนทุนกับข้อสอบที่ต้องทำ

อย่าว่าแต่เด็กนักเรียนไทยหรือคุณพ่อคุณแม่อีกจำนวนมากที่ไม่เคยทราบมาก่อนเลย
ว่ายังมีโอกาสที่ดีดีสำหรับครอบครัวที่มีทุนทรัพย์ไม่มากนักอีกหลายครอบครัวที่สามารถเข้าไปไขว่คว้าโอกาส
ให้ได้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยในต่างประเทศเช่นเดียวกับลูกหลานที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยได้เช่นกัน
แม้แต่ตัว จขกท เองก็เพิ่งทราบและได้เรียนรู้เมื่อไม่กี่ปีมานี้จากลูกทั้ง 3 คนซึ่งได้ข้อมูลเหล่านี้
มาจากสถานศึกษา ครูที่ปรึกษาผู้แนะแนวทางด้านการศึกษาและจากสังคมเพื่อนฝูงรอบ ๆ ตัวของลูก ๆ นั่นเอง

สุดยอดข้อมูลนี้สร้างความประหลาดใจที่คิดถึงทีไรก็อดรู้สึกปลื้มปิติและมีความยินดียิ่งนัก
เพราะไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าลูก ๆ ทั้ง 3 คนจะได้รับโอกาสที่ดีและสามารถเข้าไปมีพื้นที่ยืน
เพื่อศึกษาในต่างประเทศอย่างที่เป็นอยู่ในวันนี้ได้ เพราะหากไม่ได้รับทุนการศึกษา
ครอบครัวก็คงไม่สามารถแบกรับภาระค่าใช้จ่ายที่สูงลิ่ว
และลูก ๆ ก็คงไม่มีโอกาสไปศึกษาต่อต่างประเทศอย่างเ่ช่นในวันนี้ได้

ทำให้คิดต่อไปว่าคงจะมีผู้ปกครองอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่เคยได้รับรู้ข้อมูลที่น่าตื่นเต้นเช่นนี้มาก่อนเช่นกัน
เพราะการได้รับทุนการศึกษาบางส่วนแล้วออกเองบางส่วนจะช่วยให้ประหยัดค่าเรียนได้มาก
แทนที่จะต้องเสียทั้งค่าเรียนค่ากินอยู่ปีละเป็นล้านสองล้านก็สามารถจ่ายเพียงเสี้ยวหรือครึ่งหนึ่งเท่านั้น

และนี่คือที่มาของความคิดที่อยากจะมาบอกต่อเรื่องราวเหล่านี้ให้เป็นข้อมูลที่จะช่วยทำให้
คุณพ่อคุณแม่ที่มีความฝันอยากจะให้บุตรหลานมีโอกาสได้เรียนต่อต่างประเทศเป็นจริงขึ้นมาบ้าง
อย่างน้อยเพื่อที่ลูกหลานของอีกหลาย ๆ ครอบครัวจะได้มีโอกาสศึกษาต่อในต่างประเทศเพิ่มขึ้นมาอีก
แล้วนำความรู้ความสามารถกลับมาประกอบอาชีพที่รัก มีรายได้ที่ดีเพื่อช่วยสร้างฐานะครอบครัว
ให้เป็นปึกแผ่นและช่วยพัฒนาสังคมและประเทศชาติให้เจริญรุ่งเรืองเทียมเท่าอารยะประเทศได้มากยิ่งขึ้น

ถึงแม้เรื่องราวบางตอนเป็นสิ่งที่บางท่านอาจจะรู้ ๆ กันอยู่แล้วและเห็นเป็นเรื่องปกติธรรมดา
ไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นและไม่อยากเสียเวลาอ่านซึ่งท่านสามารถข้ามหรือคอยอ่านตอนอื่น ๆ ที่ท่านสนใจได้
แต่สำหรับคนที่ไม่เคยได้รับทราบมาก่อนข้อมูลเหล่านี้อาจจะเป็นประโยชน์มหาศาล
ที่จะช่วยพลิกชีวิตของพวกเขาให้เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นเหมือนกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับ จขกท ก็เป็นได้

แล้วทำไมต้องเป็น จขกท ที่ต้องมานั่งเสียเวลาเขียนเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับตัวเองและลูก ๆ ให้ท่านอ่าน?
ทำไมไม่เป็นคุณพ่อคุณแม่หรือลูก ๆ ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยมาเขียนเล่าเอง?
ทำไมไม่เป็นคุณพ่อคุณแม่หรือลูก ๆ ที่มาจากครอบครัวที่มีฐานะยากจนที่โชคดีที่มีโอกาส
ได้รับทุนศึกษาต่อเช่นเดียวกับลูก ๆ ของ จขกท ที่มาแชร์ประสบการณ์เอง?
ทำไมไม่เป็นครูบาอาจารย์ผู้มีประสบการณ์จากสถาบันการศึกษาที่เกี่ยวข้องเป็นผู้เขียน?
และอีกสารพัดคำถามว่าทำไมต้องเป็น จขกท ฯลฯ ???

เป็นไปได้ไหมว่าคนรวยคงจะไม่มีเวลามาเขียนเรื่องราวที่คิดว่าไม่น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญ
เพราะในแวดวงคนรวยด้วยกันหากไม่ได้ดำเนินเรื่องการส่งบุตรหลานไปศึกษาต่อต่างประเทศด้วยตนเอง
ก็สามารถใช้บริการผ่าน Agency ให้ดำเนินการให้ได้ทุกเรื่องแค่ใช้เงินจ่ายค่าบริการก็ทำได้แล้ว
อีกทั้งธุรกิจของคนรวยต้องใช้เวลาพวกเขามากจนไม่เหลือเวลาสำหรับการเขียนเรื่องเหล่านี้ได้?

เป็นไปได้ไหมว่าคนจนก็คงจะต้องใช้เวลาหมดไปกับการทำมาหากินและต้องทำงานหนักขึ้น
เพื่อรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นของลูกที่ต้องไปศึกษาต่อถึงต่ีางประเทศจึงไม่สามารถแบ่งเวลามาเขียนได้?

เป็นไปได้ไหมว่าสถานบันการศึกษาต่าง ๆ ซึ่งคอยให้คำแนะนำปรึกษาเรื่องการศึกษาต่อต่างประเทศ
เป็นหน้าที่ประจำที่ทำกันเป็นปกติอยู่แล้วจึงไม่เห็นความจำเป็นต้องมาเขียนบันทึกเรื่องราวเหล่านี้?

ที่สำคัญที่สุด...เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาทั้งหมดที่กล่าวถึงข้างต้น
ไม่ได้เป็นผู้ที่มีความสนใจในเรื่องการขีดเขียนหรือบันทึกเรื่องราวต่าง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด
หรือถ้าจะพูดแบบภาษาบ้าน ๆ ก็คือพวกเขาไม่ได้มีใจรักหรือไม่ถนัดในเรื่องของการทำบันทึกนั่นเอง???

คงเหลือแต่ จขกท ที่อาจจะคิดเข้าข้างตัวเองว่าการเขียนบันทึกแชร์ประสบการณ์จริงที่กำลังทำอยู่นี้
เป็นความน่าตื่นเต้น เป็นความสุข ที่เชื่อไปเองว่าการได้รวบรวมเรื่องราวต่าง ๆ
ที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาและเคล็ดลับเส้นทางการเลี้ยงลูกจากวัยเด็กจนเติบใหญ่เป็นเด็กดีในวันนี้
มาเรียบเรียงเป็นเรื่องราวให้ติดตามถึง 45 ตอนสำหรับผู้ที่สนใจอ่านก็จะได้ข้อมูลแบบ All in one
เป็นตัวอย่างสูตรสำเร็จของครอบครัวหนึ่งที่ใช้เวลาเกือบ 25 ปีในการค่อย ๆ สร้างขึ้นมา
ผ่านความสำเร็จและล้มลุกคลุกคลานมาตลอดทางโดยที่ท่านไม่ต้องไปลองผิดลองถูกเองให้เสียเวลา!!

ดังนั้นการเรียนต่อต่างประเทศสำหรับครอบครัวที่มีฐานะดีก็เป็นข้อได้เปรียบกว่าในทุกเรื่อง
เพราะสามารถสมัครเรียนในมหาวิทยาลัยที่ต้องการได้และมีเงินค่าเล่าเรียนและค่าใช้จ่ายก้อนโตโดยไม่ยากลำบาก
แต่สำหรับเด็กนักเรียนที่มาจากครอบครัวปานกลางและยิ่งถ้ามาจากครอบครัวที่ยากจนก็แทบไม่มีโอกาส
เว้นเสียแต่มีผลการเรียนในระดับมัธยมที่ดีและมี Profile ที่น่าสนใจเป็นที่ต้องการของมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ
เช่นนี้แล้วโอกาสที่ท่านจะได้รับทุนการศึกษาเพื่อเรียนฟรีก็จะมาเรียงคิวรอท่านอยู่ข้างหน้าจนต้องเครียด
เพราะคิดไม่ออกว่าจะเลือกเรียนที่สถาบันไหนดี ^^

เกริ่นมาตั้งนานขอเข้าเรื่องเลยว่าต้องทำอย่างไรถึงจะสร้าง Profile ที่ดีและเป็นต่อคู่แข่งจากทั่วโลกได้?
ขอเชิญทุกท่านปูเสื่อนั่งล้อมวงเข้ามาเก็บเกี่ยวเคล็ดลับกันได้โดยพลัน ^^

แน่นอนว่าเด็ก ๆ จะต้องมีความตั้งใจศึกษาเล่าเรียนและทำคะแนนได้ดีมาเป็นอันดับแรก
ซึ่งเคล็ดลับการเรียนให้ได้ดีต้องเริ่มตั้งแต่เด็กและต่อเนื่องจนโตซึ่งจะได้ทยอยกล่าวถึงในรายละเอียดต่าง ๆ
ในแต่ละตอนตามหัวข้อเรื่องที่เกี่ยวข้องทั้ง 45 ตอนต่อไป

นอกจากผลการเรียนที่ดีในระดับมัธยมซึ่งจะต้องทำคะแนนเฉลี่ยสะสมที่ดีเป็นเวลาติดต่อกัน 2 ปีครึ่ง
หรือพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ก็คือคะแนนเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ชั้นมัธยม 4-6 แต่เนื่องจากช่วงเวลาที่ยื่นใบสมัคร
เป็นช่วงเวลาที่นักเรียนชั้นม. 6 ยังเรียนไม่จบจึงมีคะแนนเฉลี่ยสะสมแค่ของม.4-ม.5 และเทอมแรกของ ม.6
หรือหากเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนนานาชาิติก็จะเป็นคะแนนเฉลี่ยสะสมของเกรด 10, 11
และ Semester แรกของเกรด 12 สำหรับใช้ยื่นสมัครเรียนเท่านั้น

ต่อไปนี้เป็นการทดสอบวัดความรู้ต่าง ๆ ที่นักเรียนนักศึกษาไทยที่สนใจสมัครเรียนต่อ
หรือขอทุนจากมหาวิทยาลัยในต่างประเทศจะต้องเตรียมตัวเพื่อสมัครทำข้อสอบวัดความรู้
ทั้งที่เป็นข้อสอบวัดความรู้วิชาภาษาอังกฤษและวิชาอื่น ๆ เพื่อนำผลสอบยื่นสมัคร
โดยข้อมูลบางส่วนได้รวบรวมและเรียบเรียงจากผู้รู้ที่นำมาเผยแพร่ในหลาย ๆ เวปไซต์ดังนี้

TOEFL เป็นการทดสอบภาษาอังกฤษที่เป็นที่ยอมรับสำหรับมหาวิทยาลัยเกือบทุกแห่งทั่วโลก
ซึ่งนักเรียนนักศึกษาที่ต้องการไปศึกษาต่อที่ประเทศสหรัฐอเมริกาควรเลือกสอบข้อสอบชุดนี้
โดยข้อสอบมีคะแนนเต็ม 120 ซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่กำหนดให้ผู้สมัครต้องได้คะแนน 70 ขึ้นไป
แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงดัง ๆ ระดับโลกจะกำหนดคะแนนที่ 100 คะแนนขึ้นไป
การสมัครสอบข้อสอบ TOEFL สามารถสอบผ่าน Agency ต่าง ๆ ที่เป็นตัวแทนจัดการสอบ
หรือจะสมัครออนไลน์ที่ www.toefl.org ก็ได้และมีค่าสมัครสอบประมาณ US$ 160

IELTS เป็นอีกหนึ่งการทดสอบความรู้ความเข้าใจภาษาอังกฤษที่เป็นที่ยอมรับทั่วไปเช่นกัน
ส่วนใหญ่ใช้สำหรับสมัครสอบในมหาวิทยาลัยแถบยุโรปหรือออสเตรเลียโดยเฉพาะอังกฤษ
ข้อสอบนี้มีคะแนนเต็ม 9.0 ซึ่งมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่กำหนดให้ผู้สมัครต้องได้คะแนน 5.5 ขึ้นไป
แต่ถ้าเป็นมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงดัง ๆ ระดับโลกจะกำหนดคะแนนที่ 7.0 ขึ้นไป
การสมัครสอบข้อสอบ IELTS สามารถสมัครสอบได้ที่ British Council มีค่าสมัครสอบ 6 พันกว่าบาท

ข้อสอบของทั้ง 2 แบบข้างต้นประกอบด้วย 4 ส่วนคือทักษะการฟัง พูด อ่าน และเขียนภาษาอังกฤษ
ซึ่งหลาย ๆ มหาวิทยาลัยจะกำหนดเงื่อนไขต้องได้คะแนนในแต่ละส่วนไม่ต่ำกว่าเกณฑ์
หากคะแนนเฉลี่ยรวม 4 ส่วนสูงกว่าเกณฑ์ แต่บางส่วนต่ำกว่าเกณฑ์ก็ถือว่าไม่ผ่าน
พูดง่าย ๆ ก็คือหากเขียนและอ่านเก่งได้คำแนนเต็ม 100% แต่พูดและฟังต่ำก็หมดสิทธิ์

ผลการสอบวัดความรู้ข้างต้นสามารถเก็บไว้ใช้สมัครเข้ามหาวิทยาลัยได้เป็นเวลานานถึง 2 ปี
เช่นนักเรียนบางคนอาจจะสมัครสอบวัดผลตั้งแต่อยู่ม. 4 หรือม. 5 แล้วทำคะแนนได้ผ่านเกณฑ์
พอถึงเวลาสมัครเรียนต่อหรือขอทุนตอนม. 6 ก็สามารถใช้ผลสอบตอนม. 4 หรือ ม. 5
ยื่นสมึครได้โดยไม่ต้องสอบใหม่อีก

โดยปกติจะมีการจัดให้สมัครสอบเดือนละ 2-4 ครั้งและจะประกาศผลสอบประมาณ 2 สัปดาห์
การเตรียมตัวสอบสามารถหาซื้อหนังสือมาอ่านเองหรือสมัครติวเข้มตามสถาบันต่าง ๆ ได้
แต่เนื่องจากค่าสอบแพงถึงกว่า 6 พันบาทนักเรียนนักศึกษาส่วนใหญ่จะสมัครเรียนคอร์สติว
แทนการอ่านหนังสือเองเพื่อความมั่นใจว่าสอบครั้งเดียวผ่านจะได้ไม่ต้องเสียเงินสอบใหม่ี

สำหรับผู้ที่มีแผนการสมัครเรียนต่อต่างประเทศจริง ๆ ทั้งที่เป็นทุนส่วนตัวหรือขอทุน
ควรจะเตรียมความพร้อมเพื่อสมัครสอบไว้แต่เนิ่น ๆ เนื่องจากช่วงเวลาที่มีการจัดสอบ
และการประกาศคะแนนผลการสอบรวมแล้วใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 2-4 สัปดาห์
หากไม่เตรียมตัวล่วงหน้าอาจจะพลาดสมัครเรียนไม่ทันต้องคอยอีกปีก็จะเสียโอกาสเปล่า ๆ

TOEIC เป็นข้อสอบภาษาอังกฤษที่ใช้วัดความสามารถที่เน้นใช้เพื่อสมัครเข้าทำงาน
ส่วนมากจะเป็นบริษัทฯ และองค์กรต่างชาติใช้คัดเลือกผู้ที่มีความรู้ด้านภาษาอังกฤษดีเข้าทำงาน
ข้อสอบชุดนี้ไม่สามารถใช้ประกอบการสมัครเรียนต่อในอเมริกาหรือยุโรปได้
แต่มีบางประเทศในแถบเอเชียอนุโลมให้ใช้สำหรับยื่นสมัครเรียนได้ด้วย
โดยข้อสอบ TOEIC มีคะแนนเต็ม 990 ข้อสอบชุดนี้ง่ายกว่า TOEFL และ IELTS มาก
ผู้ที่สนใจอาจจะลองสมัครเำพื่อทดสอบความรู้ด้านภาษาอังกฤษเล่น ๆ เพื่อใช้เป็นแนวทาง
สำหรับสอบ TOEFL หรือ IELTS ก็ไม่เลวเพราะค่าสอบถูกกว่ามากแค่พันกว่าบาทเท่านั้น

SAT เป็นข้อสอบวัดความรู้อีกประเภทหนึ่งที่เป็นที่รู้จักและนิยมกันมากที่สุด
ที่มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่เชื่อถือและรับผลสอบชุดนี้เนื่องจากเป็นข้อสอบที่มีการสำรวจ
และคัดเลือกทุก ๆ ข้ออย่างมีระบบและเข้มงวดมาก

โดยข้อสอบ SAT แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ SAT1 (General SAT) และ SAT2 (Subject Tests)
โดย SAT1 เป็นข้อสอบที่นักเรียนทุกคนจะต้องสอบเพื่อเป็นคะแนนหลักสำหรับยื่นสมัครเรียน
ซึ่งข้อสอบประกอบด้วยการทดสอบความรู้ในวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษ
โดยแบ่งออกเป็น 3 หมวดย่อยคือ Math, English Writing & English Reading
ซึ่งคะแนนของแต่ละหมวดเท่ากับ 800 คะแนนรวมคะแนนเต็มสำหรับข้อสอบชุดนี้คือ 2,400 คะแนน
มีการประเมินว่าข้อสอบในส่วนที่เป็นคณิตศาสตร์ไม่ยากเกินความสามารถของเด็กไทยส่วนใหญ่
แต่ข้อสอบภาคภาษาอังกฤษนี้ค่อนข้างโหดซึ่งผู้สอบต้องมีพื้นฐานภาษาอังกฤษที่ค่อนข้างดี
หรือเทียบเท่าเจ้าของภาษาจึงจะทำคะแนนได้ดีเพื่อให้ได้ใจกรรมการสำหรับโอกาสที่จะ
ได้รับการคัดเลือกเข้าเรียนหรือรับทุนการศึกษาต่อนั่นเอง

ส่วนข้อสอบ SAT2 เป็นการสอบวิชาทางเลือกที่ไม่จำเป็นต้องสอบแต่บางสาขาวิชาในบางมหาวิทยาลัย
อาจกำหนดให้ต้องสอบเพื่อนำผลสอบในวิชาบังคับนั้น ๆ ยื่นพร้อมใบสมัครด้วย
โดยข้อสอบชุดนี้สามารถเลือกสอบเพิ่มเติมเป็นรายวิชาเช่น อังกฤษ คณิตศาสตร์ เคมี ชีวะ ฟิสิกส์
และภาษาต่างประเทศอื่น ๆ ที่กำหนดเป็นต้น

การสอบ SAT1 & SAT2 สามารถสอบได้หลาย ๆ ครั้งตามต้องการและสามารถนำคะแนน
ที่สูงที่สุดของแต่ละวิชาที่สอบในแต่ละครั้งมารวมกันและใช้ผลคะแนนรวมที่สูงที่สุดยื่นสมัครเข้าได้
ยกตัวอย่างเช่นนำคะแนนคณิตศาสตร์ที่ทำได้จากการสอบครั้งแรกที่สูงกว่าครั้งสอง
ไปรวมกับคะแนนภาษาอังกฤษที่สอบได้คะแนนครั้งที่ 2 ที่ได้คะแนนดีกว่าครั้งแรกมารวมกันได้

ผู้สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับการสมัครสอบ SAT ได้ในลิงค์นี้
https://sat.collegeboard.org/about-tests/sat
http://www.tgreinstitute.com/news/detail/1199536873-3.html

แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่