ระหว่างเข้าแถวรอเช็คอินอยู่นั้น ก็เจอพี่ผู้หญิงคนนึงต่อแถวเช็คอินต่อจากเรา
คุยกันไปคุยกันมาก็ได้ความว่านางไปคนเดียว และเป็นครั้งแรกที่นางเดินทางไปต่างประเทศคนเดียว
ก็ชวนคุยกันว่าจะไปไหนบ้าง มีแผนเที่ยวไหนบ้างแต่ละวัน จริงๆเราเพิ่งซื้อไกด์บุคมาได้ 1 วันก่อนการเดินทาง
เราถามนาง “พี่แพลนไปไหนบ้าง” นางก็รีบควักแพลนที่นางทำมาจากบ้าน โอ้วววแม่เจ้า
ที่นางควักออกมานี่ยิ่งกว่าเลคเชอร์เตรียมสอบ Admission ของน้องปราง คือดีงามมากกกก
นางแพลนแบบละเอียดมากก แพลนถึงขั้นว่านางต้องตื่นกี่โมง ขึ้นรถสถานีไหน มีร้านไหนที่ต้องไปกิน ที่ช้อป
แผนที่บางอันนางก็ปริ้นมาพร้อม (ช่างแตกต่างจากเราลิบลับเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า)
ได้เวลาขึ้นเครื่อง เราออกเดินทาง จากดอนเมืองโดยหางแดง ไฟลท์ 15:20 น. แอบกังวลว่าไปถึง 22:40 น.
รถอาจหมดถ้าเครื่องดีเลย์เลยตัดสินใจว่าเอาว่ะ คงต้องนอนสนามบิน ก็ดูรีวิวจากพันทิปนี่แหละค่ะว่าตรงไหนนอนได้สะดวก ปลอดภัยบ้าง สบายใจไปก็อกนึง (ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ นะคะ จุ๊ฟๆๆ)
Part I-II ออกเดินทาง : มิตรภาพใหม่บนเครื่อง (ขอไปเยี๊ยวหน่อยค่ะ)
พอขึ้นเครื่องเราได้นั่งเบาะที่ติดทางเดิน แล้วก็มีผู้หญิงคนนึงนั่งติดหน้าต่าง (เบาะตรงกลางว่าง)
พอเครื่องบินเทคออฟชะนีข้างๆ นางก็นอนตลอดเลยจร้า รู้เลยว่านางตีตั๋วมาเพื่อการนี้จริงๆ
นางล้มตัวลงนอนเบาะตรงกลางที่ว่างด้วยท่าทีไม่สบายนัก (ก็แหมชั้น Economy นี่เนอะ)
นางนอนท่าคุดคู้ แล้วก็ดิ้นไปดิ้นมา เพราะนางคงนอนไม่สบาย
*ก่อนเราขึ้นเครื่องเราซื้อหมอนคล้องคอสำหรับนอนมา แล้วเค้าแถมผ้าห่มแบบพับเป็นหมอนได้*
ด้วยความที่เป็นชะนีไทยใจงามมม ก็รีบไปถอยหมอน (ห้ามผวน) มา และสะกิดนางว่าอืม “เอาหมอนไหม?”
นางก็ทำหน้างงๆ เราก็ “หมอนอ่ะหมอน เอาไปหนุนจิ เห็นนอนไม่สบาย” นางก็ยังทำหน้างงๆ แต่ก็ยิ้มๆแล้วรับไปหนุน
นอนไปสักพักเราก็หลับ (ไหนแกรบอกจะอ่านไกด์บุคทีซื้อมาไง)
ชะนีข้างๆ นางก็มาสะกิด “ขอไปเยี๊ยวหน่อยค่ะ” เราก็ทำหน้างง เยี้ยวไรว่ะ สักพักก็ถึงบางอ้อว่านางจะขอไปเข้าห้องน้ำ
คือปกติคนไทยไม่ค่อยพูดไง “ขอไปเยี่ยว” แถมนางยังออกสำเนียงแบบไม้จัตวา มาเต็ม เราก็งงสิครัช
แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ (สรุปนางไม่ใช่คนไทยจร้า)
พอนางกลับมานั่ง สักพักนางก็เริ่มชวนเราคุยเลย นางพยายามพูดไทย แบบขอบคุณมากๆสำหรับหมอนนะ
ถามนั่นโน่นนี่ ด้วยภาษาไทยสำเนียงคาวาอี้ สุดๆ คุยจนได้รู้ว่านางเป็นแบคแพคที่ชอบการท่องเที่ยวมากก
ตระเวนไปเที่ยวมาหลายที่ นางบอกว่านางชอบเมืองไทยมากก
เราก็บอกนางไปว่าเราชอบประเทศญี่ปุ่นมากและเป็นครั้งแรกที่ไปโอซาก้า
เมาท์มอยกันจนเครื่องลง (ไกด์บุคที่เตรียมมาไม่ได้อ่านเลย มัวแต่เมาท์มอย ตายๆๆ )
สรุปเราก็ค้างที่สนามบินกัน 3 คน ทั้งเพื่อนใหม่ที่มาทักเรา (สุดยอดนักแพลนทริป) และเจ้าหญิงแห่งปราสาทฮิเมจิ (ฉายาใหม่สาวญี่ปุ่น)
เวลาจะตี 2 พวกนางยังเมาท์มอยกันค่ะ ไม่ยอมหลับยอมนอน
พอ 6 โมงเช้า ต่างคนต่างแยกย้าย เรานั่งรถไฟเข้าโอซาก้า เจ้าหญิงฮิเมจินั่งรถกลับปราสาทของนาง
และสุดยอดนักแพลนทริปก็ไปตามแพลนที่นางวางไว้ ก่อนแยกย้าย เราทั้งสามคนแลกไลน์ แอด FB และเซลฟี่กันอย่างสนุกสนาน
เรานัดหมายกับเจ้าหญิงฮิเมจิว่า ว่าจะไปเยี่ยมนางที่ปราสาท ถึงโรงแรมต่อเน็ตได้ค่อยนัดวันเวลากัน
“อากาศวันนั้นที่โอซาก้าหนาวจับใจ แต่ทำไมเราถึงแอบรู้สึกอบอุ่นใจเล็กๆ อาจเป็นเพราะมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็เป็นได้”
Part ต่อไป (Part II) จะพาไปเที่ยวนารานะคะ ตามมาได้เลย ออกตามล่ากวางเหลียวหลังกัน อิอิ
[CR] [CR] หัวใจสะพายเป้ เมื่อฉันฉายเดี่ยวไปเที่ยว OSAKA-NARA-KYOTO (ฉบับเต็ม)
ผิดพลาดประการใดมือใหม่ต้องกราบขออภัยไว้ล่วงหน้านะคะ กราบบบบบบบบบบบ
สำหรับเพื่อนๆที่ตามมาจากกระทู้นี้ [Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
เพื่อความต่อเนื่องของเนื้อหา เรารวบรวมใหม่ไว้ในกระทู้นี้แล้วนะคะ เป็นแบบ Non-Stop (ขอบคุณที่รอติดตามกันจร้าา จุฟๆๆ)
(จริงๆขอเค้าเริ่มงานช้าเพราะจะไปลั๋นล๋าจร้า)
ระหว่างเข้าแถวรอเช็คอินอยู่นั้น ก็เจอพี่ผู้หญิงคนนึงต่อแถวเช็คอินต่อจากเรา
นางมาทักเรา ถามว่า : “น้องไปคนเดียวเหรอ?”
คุยกันไปคุยกันมาก็ได้ความว่านางไปคนเดียว และเป็นครั้งแรกที่นางเดินทางไปต่างประเทศคนเดียว
(เห็นไหมชะนีไทยใจกล้าทุกราย อิอิอิ)
ก็ชวนคุยกันว่าจะไปไหนบ้าง มีแผนเที่ยวไหนบ้างแต่ละวัน จริงๆเราเพิ่งซื้อไกด์บุคมาได้ 1 วันก่อนการเดินทาง
(ยังไม่ได้อ่านเลยด้วย กะจะไปอ่านบนเครื่อง 555+)
เราถามนาง “พี่แพลนไปไหนบ้าง” นางก็รีบควักแพลนที่นางทำมาจากบ้าน โอ้วววแม่เจ้า
ที่นางควักออกมานี่ยิ่งกว่าเลคเชอร์เตรียมสอบ Admission ของน้องปราง คือดีงามมากกกก
นางแพลนแบบละเอียดมากก แพลนถึงขั้นว่านางต้องตื่นกี่โมง ขึ้นรถสถานีไหน มีร้านไหนที่ต้องไปกิน ที่ช้อป
แผนที่บางอันนางก็ปริ้นมาพร้อม (ช่างแตกต่างจากเราลิบลับเลยทีเดียว ฮ่าฮ่าฮ่า)
ได้เวลาขึ้นเครื่อง เราออกเดินทาง จากดอนเมืองโดยหางแดง ไฟลท์ 15:20 น. แอบกังวลว่าไปถึง 22:40 น.
รถอาจหมดถ้าเครื่องดีเลย์เลยตัดสินใจว่าเอาว่ะ คงต้องนอนสนามบิน ก็ดูรีวิวจากพันทิปนี่แหละค่ะว่าตรงไหนนอนได้สะดวก ปลอดภัยบ้าง สบายใจไปก็อกนึง (ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้ นะคะ จุ๊ฟๆๆ)
พอขึ้นเครื่องเราได้นั่งเบาะที่ติดทางเดิน แล้วก็มีผู้หญิงคนนึงนั่งติดหน้าต่าง (เบาะตรงกลางว่าง)
พอเครื่องบินเทคออฟชะนีข้างๆ นางก็นอนตลอดเลยจร้า รู้เลยว่านางตีตั๋วมาเพื่อการนี้จริงๆ
นางล้มตัวลงนอนเบาะตรงกลางที่ว่างด้วยท่าทีไม่สบายนัก (ก็แหมชั้น Economy นี่เนอะ)
นางนอนท่าคุดคู้ แล้วก็ดิ้นไปดิ้นมา เพราะนางคงนอนไม่สบาย
*ก่อนเราขึ้นเครื่องเราซื้อหมอนคล้องคอสำหรับนอนมา แล้วเค้าแถมผ้าห่มแบบพับเป็นหมอนได้*
ด้วยความที่เป็นชะนีไทยใจงามมม ก็รีบไปถอยหมอน (ห้ามผวน) มา และสะกิดนางว่าอืม “เอาหมอนไหม?”
นางก็ทำหน้างงๆ เราก็ “หมอนอ่ะหมอน เอาไปหนุนจิ เห็นนอนไม่สบาย” นางก็ยังทำหน้างงๆ แต่ก็ยิ้มๆแล้วรับไปหนุน
นอนไปสักพักเราก็หลับ (ไหนแกรบอกจะอ่านไกด์บุคทีซื้อมาไง)
ชะนีข้างๆ นางก็มาสะกิด “ขอไปเยี๊ยวหน่อยค่ะ” เราก็ทำหน้างง เยี้ยวไรว่ะ สักพักก็ถึงบางอ้อว่านางจะขอไปเข้าห้องน้ำ
คือปกติคนไทยไม่ค่อยพูดไง “ขอไปเยี่ยว” แถมนางยังออกสำเนียงแบบไม้จัตวา มาเต็ม เราก็งงสิครัช
แต่ก็อดยิ้มไม่ได้ (สรุปนางไม่ใช่คนไทยจร้า)
พอนางกลับมานั่ง สักพักนางก็เริ่มชวนเราคุยเลย นางพยายามพูดไทย แบบขอบคุณมากๆสำหรับหมอนนะ
ถามนั่นโน่นนี่ ด้วยภาษาไทยสำเนียงคาวาอี้ สุดๆ คุยจนได้รู้ว่านางเป็นแบคแพคที่ชอบการท่องเที่ยวมากก
ตระเวนไปเที่ยวมาหลายที่ นางบอกว่านางชอบเมืองไทยมากก
เราก็บอกนางไปว่าเราชอบประเทศญี่ปุ่นมากและเป็นครั้งแรกที่ไปโอซาก้า
สรุปเราก็ค้างที่สนามบินกัน 3 คน ทั้งเพื่อนใหม่ที่มาทักเรา (สุดยอดนักแพลนทริป) และเจ้าหญิงแห่งปราสาทฮิเมจิ (ฉายาใหม่สาวญี่ปุ่น)
เวลาจะตี 2 พวกนางยังเมาท์มอยกันค่ะ ไม่ยอมหลับยอมนอน
พอ 6 โมงเช้า ต่างคนต่างแยกย้าย เรานั่งรถไฟเข้าโอซาก้า เจ้าหญิงฮิเมจินั่งรถกลับปราสาทของนาง
และสุดยอดนักแพลนทริปก็ไปตามแพลนที่นางวางไว้ ก่อนแยกย้าย เราทั้งสามคนแลกไลน์ แอด FB และเซลฟี่กันอย่างสนุกสนาน
เรานัดหมายกับเจ้าหญิงฮิเมจิว่า ว่าจะไปเยี่ยมนางที่ปราสาท ถึงโรงแรมต่อเน็ตได้ค่อยนัดวันเวลากัน
“อากาศวันนั้นที่โอซาก้าหนาวจับใจ แต่ทำไมเราถึงแอบรู้สึกอบอุ่นใจเล็กๆ อาจเป็นเพราะมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างทางก็เป็นได้”
Part ต่อไป (Part II) จะพาไปเที่ยวนารานะคะ ตามมาได้เลย ออกตามล่ากวางเหลียวหลังกัน อิอิ