หวัดดีสมาชิกห้อง MBK ทุกคนครับ ยอมรับว่าออกตัวช้าไปหน่อย (ค่อนข้างมากแล้วแหละ) แต่ขอหน่อยนะนะ นะ... หลังจากที่ทราบข่าวว่า Samsung จะออก Note 5 และ S6 edge plus ก็คิดในใจว่าออกอีกแล้วเหรอวะ?? ฮ่าๆ แต่จากที่ได้ลองไปไล่ๆ อ่าน รีวิว Samsung Note 5 ทั้งเว็บในไทยและต่างประเทศ ก็รู้สึกว่าไม่ขี้เหร่เท่าไหร่ บวกกับมาเจอราคาเปิดตัวในไทย 25,900 บาท สำหรับความจุ 32 GB และ 29,900 บาท สำหรับ 64 GB หน้าภรรยาผมก็ลอยมาทันที อยากลองก็อยาก แต่!! อย่างที่รู้กันครับ ตอนนี้ที่บ้านผมมีทั้ง Samsung S6 และ Samsung S6 edge (กระทู้แรกของผม) จะถอยสมาชิกใหม่อีกตัว วีซ่ามันจะไม่ผ่านน่ะซิครับ.. แต่โชคดีที่แม่กวางน้อยของผมเซย์เยสซะงั้น เชิญรับชมได้เลยคร้าบ
เหมือนเดิมครับ หลังจากทดลองใช้จริงตลอด 1 สัปดาห์ ผมได้สรุปออกมาเป็น 6 ประเด็นง่ายๆ ตามนี้
1. การออกแบบและวัสดุ
ความรู้สึกแรกหลังจากที่ได้ลองจับ Samsung Note 5 คือ ตัววัสดุค่อนข้างแข็งแรง อันนี้ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะเป็นวัสดุตัวเดียวกับ Samsung S6 edge ทำจากโลหะและกระจก (Gorilla Glass 4 – ซึ่งเป็นตัวที่แข็งแรงที่สุดในตอนนี้) สีที่ผมได้มาครั้งนี้เป็นสีทอง Gold Platinum ดูพรีเมี่ยมกว่าที่คิดมาก ขอบด้านหลังที่โค้งขึ้นเล็กน้อยรับกับอุ้งมือทำให้เวลาจับแล้วไม่หลุดมือ
ปากกา S pen สีทองเข้ากับตัวเครื่องเป๊ะ (ติดนิดเดียวตรงที่เป็นรอยนิ้วมือได้ง่าย อาจต้องเช็ดบ่อยกว่าเดิมนิดหน่อย)
ส่วนเรื่องการออกแบบ ทำได้ดีมาก เนี้ยบ ไร้รอยสะดุด ที่เห็นชัดๆ เลย คือ ร่องด้านหลังตรงช่องเก็บ S pen หายไป ไม่ต้องใช้เล็บเกี่ยวขึ้นมาอย่างรุ่นก่อนๆ (อันนี้ผมมองว่าควรทำได้ตั้งนานแล้วนะ)
ตีโจทย์แตกซักที อย่างที่บอกไปตอนข้างต้นครับ เรื่องความถนัดมือในการใช้งาน ถ้าเปรียบเทียบระหว่าง Samsung Note 5 กับ S6 edge จะเห็นได้ชัดเลยว่า การออกแบบของ 2 รุ่น สวนทางกัน S6 edge จอหน้าโค้งลงเพื่อเพิ่มความมีดีไซน์ ในขณะที่ Samsung Note 5 จอหน้าเรียบตรงเพื่อให้เหมาะกับการเขียน ส่วนขอบด้านหลังโค้งขึ้นเพื่อให้จับได้ถนัดมือตอบโจทย์ด้านการเขียน ซึ่งเป็นจุดขายของ Samsung ตระกูล Note โดยเฉพาะ
2. กล้อง
2.1 กล้องหลัก (กล้องหลัง)
ใครที่เคยติดใจความเทพของกล้อง Samsung S6 edge ดีใจด้วยนะครับ เพราะมันมาอยู่ในSamsung Note 5 เรียบร้อย พาร์ทเลนซ์และเซนเซอร์ตัวเดียวกันเด๊ะๆ! ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ส่วนคนที่เคยบ่นว่ากล้องมันนูนออกมามากเกินไป ตอนนี้มองจากด้านข้าง จะเห็นชัดเลยว่ามันนูนน้อยลงไปเยอะพอสมควร
นอกจากโหมด Pro ที่เอาไว้ปรับแต่งค่าต่างๆ เช่น รูรับแสง ความไวแสง บลาๆๆ.. ได้เหมือนกล้องถ่ายรูปจริงๆ แล้ว Samsung Note 5 ก็ยังสามารถตั้งค่า Speed Shutter ได้เร็วสุด 1/24,000 และนานสุดถึง 10 วินาที ส่วนค่าความไวแสง หรือ ISO ก็ปรับได้ตั้งแต่ 50 – 800 แถมยังเก็บเป็นไฟล์ Raw ได้ด้วย เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายรูปแบบโปรๆ เพราะสามารถใช้ขาตั้งถ่ายรูปแบบ low speed shutter ได้เลย แหม มันช่างโปรจริงๆ
2.2 กล้องหน้า
แน่นอนว่ากล้องหน้ากับสาวๆ เป็นของคู่กัน ความละเอียดอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล สีสดคมชัดเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือความฟรุ้งฟริ้ง ภาพมันจะนวลๆ เนียนๆ เหมือนผ่านแอพแต่งรูปมาแล้วระดับนึง ผมว่าสาวๆ (และภรรยาสุดเลิฟของผม) น่าจะชอบ ตัว Beauty Mode เองก็เพิ่มฟีเจอร์การปรับรูปหน้า ตาโต V-shape ผิวเนียน มาให้ปรับกันเดี๋ยวนั้นเลย ตามด้วยฟีเจอร์แก้ไขหน้าเบี้ยวผลจากเลนส์ wide (ต่อไปนี้เวลาถ่ายรูป ไปยืนตรงริมขอบได้แล้วนะทุกคน!!)
อันนี้เป็นตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าซึ่งน้องสาวยืมไปใช้ถ่ายเล่นกับเพื่อน เลยขออนุญาตเอามาลงให้ดูกันชัดๆ ระหว่างภาพแบบธรรมดาและแบบฟรุ้งฟริ้ง
2.3 วิดีโอ
มีโหมดใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Live Broadcast เหมาะสำหรับคนที่อยากต้องการถ่ายแบบ real time หรือ ‘ถ่ายทอดสด’ แค่เปิดโหมดนี้ แล้ว sign in เข้า YouTube ก็ถ่ายทอดสดได้เลย ส่วนไฟล์ที่ถ่าย ก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะ Broadcast จบ วิดีโอก็จะเก็บอยู่ใน YouTube Channel ของเราทันที
Video Collage เป็นอีกโหมดการถ่ายวิดีโอสนุกๆ ที่อยากพูดถึง จากเมื่อก่อนที่ทำ Collage ได้แต่รูป โหมดนี้ช่วยให้ทำวิดีโอในแบบ Collage ได้แล้ว แถมยังมี Layout ให้เลือกหลากหลาย ลองดูตัวอย่างที่ผมหามาดูนะครับ
3. แบตเตอรี่
แบต 3,000 mAh (น้อยกว่า Samsung Note 4 ซึ่งอยู่ที่ 3,200 mAh) มาพร้อมโหมดประหยัดพลังงานทั้งแบบ Power Saving Mode และ Ultra Power Saving Mode จอขาว-ดำ (อันนี้เสริมนิดนึงครับ ที่ต้องเป็นหน้าจอขาวดำก็เพราะหน้าจอเป็นส่วนที่กินพลังสุดๆ) จำกัดการใช้งานแอพให้เหลือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น e-mail, LINE, Facebook
บางครั้งที่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์แต่เจอปัญหาไม่มีที่ชาร์จ ฟังก์ชั่นนี้ยังช่วยได้เหมือนเคย
ส่วนฟีเจอร์ Fast Charging, Wireless Charging ที่อยู่ใน Samsung S6 edge ตัว Samsung Note 5 ก็จัดเต็มเหมือนกัน ความรู้สึกส่วนตัว คือ แบตก้อนเล็กไปนิ๊ดด แต่พอใช้งานจริงสำหรับวันธรรมดาก็ใช้ได้จนจบวันนะ แต่วันไหนที่ใช้เยอะหน่อย พกสายชาร์จไว้ก็ดีครับ
4. การใช้งาน
ตัวประมวลผลหรือ Processor Exynos 7422 ตัวเดียวกับ Samsung S6 edge แต่ด้วยความที่แรม 4 GB มากกว่า Samsung S6 ที่มีแค่ 3 GB การใช้งานก็เลยไหลลื่นกว่า
ปรบมือรัวๆ!! สิ่งที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนสำหรับ Note 5 ที่ผมเซอร์ไพรส์มาก คือ การใช้ S pen จดลง Action Memo โดยที่ไม่ต้องเปิดหน้าจอ เห้ยย!! ซึ่งน่าจะถูกใจสาวก Note แน่นอน แค่หยิบ ดึง เขียน เสียบปากกากลับเข้าไป มันก็จะเซฟให้อัตโนมัติทันที ส่วนการตอบสนองของปากกา S pen ก็ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน 20 millisecond ทำให้เวลาเขียนมันไวขึ้น เร็วเกือบคล้ายปากกาของจริงเลยแหละ (ส่วนตัวผมก็ยังชอบจดบนกระดาษของจริงมากกว่าอยู่ดี)
ฟีเจอร์โดดเด่นของตระกูล Note ที่เกิดมาเพื่อ S pen อย่าง Air command มาครั้งนี้ นอกจากเมนูประจำอย่าง Action memo, Smart select, Screen write ได้เพิ่มลูกเล่นอีกนิดหน่อย โดยให้ใส่ Shortcuts ได้อีก 3 อัน ผมว่าช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานเยอะทีเดียว ส่วนใครจะเลือกใส่อะไร ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งานเลยครับ (ของผมใช้ Shortcuts เป็น S Note, S Health, S Planner ซึ่งช่วงไหนต้องใช้อะไรบ่อยๆ ก็เปลี่ยนได้ แล้วแต่เราเลยครับ)
ใครที่ชอบกดปลายปากกาเล่น S pen ตัวนี้สามารถกดเล่นได้เหมือนปากกาจริงๆ เลยครับ ลองดู
อ้อ เพิ่มเติมอีกนิดครับ เราสามารถ capture หน้าจอทั้งหน้าได้ในครั้งเดียว โดยไม่ต้อง capture ทีละส่วนๆ ถือเป็นลูกเล่นที่น่าสนใจอีกอย่างนึงครับ
5. จอภาพ
หน้าจอยังเป็น Super AMOLED ความละเอียด Quad HD 2560 x 1440 พิกเซล เช่นเดียวกับ Samsung S6 edge ครับ
6. ความคุ้มค่า
ราคาซื้อ – ราคาขายต่อ = Total Value of Ownership
TVO = วัสดุ + คุณสมบัติ + ประสบการณ์ใช้งาน + สิทธิประโยชน์ (Privilege) อื่นๆ
ราคาซื้อที่ 25,900 บาท สำหรับความจุ 32 GB (และ 29,900 บาท สำหรับความจุ 64 GB)
สมมติผมซื้อตัว 32 GB มา ราคาขายต่อหลังจากใช้งาน 2 ปี ผมประเมินให้ 9,000 บาท ซึ่งวัสดุ คุณสมบัติต่างๆ การใช้งาน อยู่ในระดับที่โอเค พร้อมพ่วงสิทธิประโยชน์มาคือ One Drive 100 GB ก็จะได้ค่าเฉลี่ยต่อวันตกวันละ 23.15 บาท ส่วนตัวผมถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียวครับ
สรุปการรีวิว Samsung Note 5 แตกต่างจาก Note 4 หนักไปในแง่ของการดีไซน์ การใช้เลือกใช้วัสดุ ส่วนโค้งเว้าต่างๆ ที่มีความคล้าย Samsung S6 edge อย่างเห็นได้ชัด ส่วนฟีเจอร์ไม่ได้ต่างกันมาก ประทับใจ Action Memo เขียนโดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ การใช้งานโดยรวม ไหลลื่นดี มีติเรื่อง Battery ที่ให้มาน้อยไปหน่อย เพิ่มเมมไม่ได้ ราคาที่เปิดตัวถือว่าเหมาะสม ต้องลองจับจริงๆ แล้วจะรู้
ทั้งหมดคือความเห็นจากผม ที่เหลือขึ้นอยู่กับคุณพิจารณาครับ
[CR] [Mana Review: 006] เปลือย Samsung Note 5 เก็บทุกเม็ด ชัดทุกมุมแบบ 360 องศา!
หวัดดีสมาชิกห้อง MBK ทุกคนครับ ยอมรับว่าออกตัวช้าไปหน่อย (ค่อนข้างมากแล้วแหละ) แต่ขอหน่อยนะนะ นะ... หลังจากที่ทราบข่าวว่า Samsung จะออก Note 5 และ S6 edge plus ก็คิดในใจว่าออกอีกแล้วเหรอวะ?? ฮ่าๆ แต่จากที่ได้ลองไปไล่ๆ อ่าน รีวิว Samsung Note 5 ทั้งเว็บในไทยและต่างประเทศ ก็รู้สึกว่าไม่ขี้เหร่เท่าไหร่ บวกกับมาเจอราคาเปิดตัวในไทย 25,900 บาท สำหรับความจุ 32 GB และ 29,900 บาท สำหรับ 64 GB หน้าภรรยาผมก็ลอยมาทันที อยากลองก็อยาก แต่!! อย่างที่รู้กันครับ ตอนนี้ที่บ้านผมมีทั้ง Samsung S6 และ Samsung S6 edge (กระทู้แรกของผม) จะถอยสมาชิกใหม่อีกตัว วีซ่ามันจะไม่ผ่านน่ะซิครับ.. แต่โชคดีที่แม่กวางน้อยของผมเซย์เยสซะงั้น เชิญรับชมได้เลยคร้าบ
เหมือนเดิมครับ หลังจากทดลองใช้จริงตลอด 1 สัปดาห์ ผมได้สรุปออกมาเป็น 6 ประเด็นง่ายๆ ตามนี้
1. การออกแบบและวัสดุ
ความรู้สึกแรกหลังจากที่ได้ลองจับ Samsung Note 5 คือ ตัววัสดุค่อนข้างแข็งแรง อันนี้ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่เพราะเป็นวัสดุตัวเดียวกับ Samsung S6 edge ทำจากโลหะและกระจก (Gorilla Glass 4 – ซึ่งเป็นตัวที่แข็งแรงที่สุดในตอนนี้) สีที่ผมได้มาครั้งนี้เป็นสีทอง Gold Platinum ดูพรีเมี่ยมกว่าที่คิดมาก ขอบด้านหลังที่โค้งขึ้นเล็กน้อยรับกับอุ้งมือทำให้เวลาจับแล้วไม่หลุดมือ
ปากกา S pen สีทองเข้ากับตัวเครื่องเป๊ะ (ติดนิดเดียวตรงที่เป็นรอยนิ้วมือได้ง่าย อาจต้องเช็ดบ่อยกว่าเดิมนิดหน่อย)
ส่วนเรื่องการออกแบบ ทำได้ดีมาก เนี้ยบ ไร้รอยสะดุด ที่เห็นชัดๆ เลย คือ ร่องด้านหลังตรงช่องเก็บ S pen หายไป ไม่ต้องใช้เล็บเกี่ยวขึ้นมาอย่างรุ่นก่อนๆ (อันนี้ผมมองว่าควรทำได้ตั้งนานแล้วนะ)
ตีโจทย์แตกซักที อย่างที่บอกไปตอนข้างต้นครับ เรื่องความถนัดมือในการใช้งาน ถ้าเปรียบเทียบระหว่าง Samsung Note 5 กับ S6 edge จะเห็นได้ชัดเลยว่า การออกแบบของ 2 รุ่น สวนทางกัน S6 edge จอหน้าโค้งลงเพื่อเพิ่มความมีดีไซน์ ในขณะที่ Samsung Note 5 จอหน้าเรียบตรงเพื่อให้เหมาะกับการเขียน ส่วนขอบด้านหลังโค้งขึ้นเพื่อให้จับได้ถนัดมือตอบโจทย์ด้านการเขียน ซึ่งเป็นจุดขายของ Samsung ตระกูล Note โดยเฉพาะ
2. กล้อง
2.1 กล้องหลัก (กล้องหลัง)
ใครที่เคยติดใจความเทพของกล้อง Samsung S6 edge ดีใจด้วยนะครับ เพราะมันมาอยู่ในSamsung Note 5 เรียบร้อย พาร์ทเลนซ์และเซนเซอร์ตัวเดียวกันเด๊ะๆ! ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล ส่วนคนที่เคยบ่นว่ากล้องมันนูนออกมามากเกินไป ตอนนี้มองจากด้านข้าง จะเห็นชัดเลยว่ามันนูนน้อยลงไปเยอะพอสมควร
นอกจากโหมด Pro ที่เอาไว้ปรับแต่งค่าต่างๆ เช่น รูรับแสง ความไวแสง บลาๆๆ.. ได้เหมือนกล้องถ่ายรูปจริงๆ แล้ว Samsung Note 5 ก็ยังสามารถตั้งค่า Speed Shutter ได้เร็วสุด 1/24,000 และนานสุดถึง 10 วินาที ส่วนค่าความไวแสง หรือ ISO ก็ปรับได้ตั้งแต่ 50 – 800 แถมยังเก็บเป็นไฟล์ Raw ได้ด้วย เหมาะกับคนที่ชอบถ่ายรูปแบบโปรๆ เพราะสามารถใช้ขาตั้งถ่ายรูปแบบ low speed shutter ได้เลย แหม มันช่างโปรจริงๆ
2.2 กล้องหน้า
แน่นอนว่ากล้องหน้ากับสาวๆ เป็นของคู่กัน ความละเอียดอยู่ที่ 5 ล้านพิกเซล สีสดคมชัดเหมือนเดิม ที่เพิ่มเติมคือความฟรุ้งฟริ้ง ภาพมันจะนวลๆ เนียนๆ เหมือนผ่านแอพแต่งรูปมาแล้วระดับนึง ผมว่าสาวๆ (และภรรยาสุดเลิฟของผม) น่าจะชอบ ตัว Beauty Mode เองก็เพิ่มฟีเจอร์การปรับรูปหน้า ตาโต V-shape ผิวเนียน มาให้ปรับกันเดี๋ยวนั้นเลย ตามด้วยฟีเจอร์แก้ไขหน้าเบี้ยวผลจากเลนส์ wide (ต่อไปนี้เวลาถ่ายรูป ไปยืนตรงริมขอบได้แล้วนะทุกคน!!)
อันนี้เป็นตัวอย่างภาพถ่ายจากกล้องหน้าซึ่งน้องสาวยืมไปใช้ถ่ายเล่นกับเพื่อน เลยขออนุญาตเอามาลงให้ดูกันชัดๆ ระหว่างภาพแบบธรรมดาและแบบฟรุ้งฟริ้ง
2.3 วิดีโอ
มีโหมดใหม่ๆ ที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Live Broadcast เหมาะสำหรับคนที่อยากต้องการถ่ายแบบ real time หรือ ‘ถ่ายทอดสด’ แค่เปิดโหมดนี้ แล้ว sign in เข้า YouTube ก็ถ่ายทอดสดได้เลย ส่วนไฟล์ที่ถ่าย ก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะ Broadcast จบ วิดีโอก็จะเก็บอยู่ใน YouTube Channel ของเราทันที
Video Collage เป็นอีกโหมดการถ่ายวิดีโอสนุกๆ ที่อยากพูดถึง จากเมื่อก่อนที่ทำ Collage ได้แต่รูป โหมดนี้ช่วยให้ทำวิดีโอในแบบ Collage ได้แล้ว แถมยังมี Layout ให้เลือกหลากหลาย ลองดูตัวอย่างที่ผมหามาดูนะครับ
3. แบตเตอรี่
แบต 3,000 mAh (น้อยกว่า Samsung Note 4 ซึ่งอยู่ที่ 3,200 mAh) มาพร้อมโหมดประหยัดพลังงานทั้งแบบ Power Saving Mode และ Ultra Power Saving Mode จอขาว-ดำ (อันนี้เสริมนิดนึงครับ ที่ต้องเป็นหน้าจอขาวดำก็เพราะหน้าจอเป็นส่วนที่กินพลังสุดๆ) จำกัดการใช้งานแอพให้เหลือเท่าที่จำเป็นเท่านั้น เช่น e-mail, LINE, Facebook
บางครั้งที่จำเป็นต้องใช้โทรศัพท์แต่เจอปัญหาไม่มีที่ชาร์จ ฟังก์ชั่นนี้ยังช่วยได้เหมือนเคย
ส่วนฟีเจอร์ Fast Charging, Wireless Charging ที่อยู่ใน Samsung S6 edge ตัว Samsung Note 5 ก็จัดเต็มเหมือนกัน ความรู้สึกส่วนตัว คือ แบตก้อนเล็กไปนิ๊ดด แต่พอใช้งานจริงสำหรับวันธรรมดาก็ใช้ได้จนจบวันนะ แต่วันไหนที่ใช้เยอะหน่อย พกสายชาร์จไว้ก็ดีครับ
4. การใช้งาน
ตัวประมวลผลหรือ Processor Exynos 7422 ตัวเดียวกับ Samsung S6 edge แต่ด้วยความที่แรม 4 GB มากกว่า Samsung S6 ที่มีแค่ 3 GB การใช้งานก็เลยไหลลื่นกว่า
ปรบมือรัวๆ!! สิ่งที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนสำหรับ Note 5 ที่ผมเซอร์ไพรส์มาก คือ การใช้ S pen จดลง Action Memo โดยที่ไม่ต้องเปิดหน้าจอ เห้ยย!! ซึ่งน่าจะถูกใจสาวก Note แน่นอน แค่หยิบ ดึง เขียน เสียบปากกากลับเข้าไป มันก็จะเซฟให้อัตโนมัติทันที ส่วนการตอบสนองของปากกา S pen ก็ดีขึ้นกว่ารุ่นก่อน 20 millisecond ทำให้เวลาเขียนมันไวขึ้น เร็วเกือบคล้ายปากกาของจริงเลยแหละ (ส่วนตัวผมก็ยังชอบจดบนกระดาษของจริงมากกว่าอยู่ดี)
ฟีเจอร์โดดเด่นของตระกูล Note ที่เกิดมาเพื่อ S pen อย่าง Air command มาครั้งนี้ นอกจากเมนูประจำอย่าง Action memo, Smart select, Screen write ได้เพิ่มลูกเล่นอีกนิดหน่อย โดยให้ใส่ Shortcuts ได้อีก 3 อัน ผมว่าช่วยเพิ่มความสะดวกในการใช้งานเยอะทีเดียว ส่วนใครจะเลือกใส่อะไร ขึ้นอยู่กับความถี่ในการใช้งานเลยครับ (ของผมใช้ Shortcuts เป็น S Note, S Health, S Planner ซึ่งช่วงไหนต้องใช้อะไรบ่อยๆ ก็เปลี่ยนได้ แล้วแต่เราเลยครับ)
ใครที่ชอบกดปลายปากกาเล่น S pen ตัวนี้สามารถกดเล่นได้เหมือนปากกาจริงๆ เลยครับ ลองดู
อ้อ เพิ่มเติมอีกนิดครับ เราสามารถ capture หน้าจอทั้งหน้าได้ในครั้งเดียว โดยไม่ต้อง capture ทีละส่วนๆ ถือเป็นลูกเล่นที่น่าสนใจอีกอย่างนึงครับ
5. จอภาพ
หน้าจอยังเป็น Super AMOLED ความละเอียด Quad HD 2560 x 1440 พิกเซล เช่นเดียวกับ Samsung S6 edge ครับ
6. ความคุ้มค่า
ราคาซื้อ – ราคาขายต่อ = Total Value of Ownership
TVO = วัสดุ + คุณสมบัติ + ประสบการณ์ใช้งาน + สิทธิประโยชน์ (Privilege) อื่นๆ
ราคาซื้อที่ 25,900 บาท สำหรับความจุ 32 GB (และ 29,900 บาท สำหรับความจุ 64 GB)
สมมติผมซื้อตัว 32 GB มา ราคาขายต่อหลังจากใช้งาน 2 ปี ผมประเมินให้ 9,000 บาท ซึ่งวัสดุ คุณสมบัติต่างๆ การใช้งาน อยู่ในระดับที่โอเค พร้อมพ่วงสิทธิประโยชน์มาคือ One Drive 100 GB ก็จะได้ค่าเฉลี่ยต่อวันตกวันละ 23.15 บาท ส่วนตัวผมถือว่าคุ้มค่ามากทีเดียวครับ
สรุปการรีวิว Samsung Note 5 แตกต่างจาก Note 4 หนักไปในแง่ของการดีไซน์ การใช้เลือกใช้วัสดุ ส่วนโค้งเว้าต่างๆ ที่มีความคล้าย Samsung S6 edge อย่างเห็นได้ชัด ส่วนฟีเจอร์ไม่ได้ต่างกันมาก ประทับใจ Action Memo เขียนโดยไม่ต้องเปิดหน้าจอ การใช้งานโดยรวม ไหลลื่นดี มีติเรื่อง Battery ที่ให้มาน้อยไปหน่อย เพิ่มเมมไม่ได้ ราคาที่เปิดตัวถือว่าเหมาะสม ต้องลองจับจริงๆ แล้วจะรู้
ทั้งหมดคือความเห็นจากผม ที่เหลือขึ้นอยู่กับคุณพิจารณาครับ