เมื่อวานผมมีโอกาสได้ไปดูถาพยนตร์เรื่อง ฟรีเเลนซ์ รอบ Gala มาครับ นับว่าเป็นอีก1เรื่องที่รอคอย เหตุเพราะเคยใช้ชีวิตเเบบฟรีเเลนซ์มาก่อน จึงอยากดูมุมมองที่จะถูกนำมาเสนอว่าจะออกมาในรูปเเบบไหน ยอมรับว่าเเบกความคาดหวังไปเต็มเปี่ยม เเต่พอหนังฉายไปสัก15นาที ผมลืมความคาดหวังที่ผมมีไปเลย เพราะมันมีคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาระหว่างหนังกำลังฉายไป..
การทำงานหนักคือคำตอบของชีวิตจริงๆหรือ??
ในยุคสมัยที่เงินคือปัจจัยหลัก เเละงานคือตัวขับเคลื่อนชีวิตที่สำคัญ จนทำให้หลายคนหลงลืมรายละเอียดต่างๆรอบๆตัว โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า "ความสุข"
..ความสุขจึงกลายเป็นยาขมเเละเป็นข้อปฏิบัติที่ยากเกินกว่าจะลงมือทำ หลายคนจึงอาศัยความสุขของคนอื่นมาทำให้ตัวเองสุขด้วยโดยไม่กล้าที่จะลงมือสร้างความสุขด้วยตัวเอง
มีกี่ครั้งที่เราร้องไห้อินกับคลิปขอเเต่งงานของคนอื่นบนหน้าเฟส มีกี่ครั้งที่เรากดเเชร์กระทู้ท่องเที่ยว มีกี่ครั้งที่เรากดไลค์คนที่ลดน้ำหนักเเล้วหุ่นดี มีกี่ครั้งที่เราคอมเม้นอิจฉาเพื่อนๆ
..เราได้เเต่เฝ้ามองคนอื่นมีความสุข จนเราหลงลืมที่จะมีความสุขเอง เราได้เเต่ฝันที่จะทำเเต่เราก็กลัวที่จะต้องทำมันจริงๆ เรามีข้ออ้างเสมอที่จะปฏิเสธความสุข เเต่เราไม่มีข้ออ้างที่จะปฏิเสธ "งาน" ด้วยเหตุผลที่ว่า "งานคือทุกอย่างของชีวิต" หลายคนจึงยังคงใช้ชีวิตเเบบสุขพึ่งพิงผ่านหน้าNew feed ต่อไป โดยค่อยๆหลงลืมความสุขของตัวเองไปที่ละนิด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายเกิน ...ชีวิตมันก็มีเเค่นี้ จะตายวันไหนใครตอบ?? อย่าพยายามสร้างเงื่อนไขบ้าบอมาทำให้ตัวเองต้องเสียใจ เเละอย่าปล่อยให้ "ความสุข" เป็นสิ่งที่ยากเกินจะทำ ผมคิดถึงชีวิตที่ขาดความสุขไม่ออกจริงๆ หลังดูหนังเรื่องนี้จบ ผมตั้งใจกับตัวเองเอาไว้ล่ะว่าจะหาเวลาshut downตัวเองเเล้วไปเติมความสุขบ้าง ไม่เเน่ กลับมาทำงานอีกครั้งเป้าหมายชีวิตของผมอาจจะเปลี่ยนไป..
ถึงเเม้ฟรีเเลนซ์ อาจไม่ใช่หนังตลาดอย่างที่หลายคนต้องการ เเม้หน้าหนังจะปะยี้ห้อ GTH หากเเต่เมื่อสัมผัสเนื้อในกลับพบรสชาติของเต๋อ นวพล อยู่เต็มเปี่ยม จนเสียงผู้ชมเเตกออกเป็นสองเสียง ระหว่างคนที่ชอบไปเลย กับคนที่บอกว่ามันเนิบเเละอินดี้.. ส่วนตัวผมผมชอบ ชอบที่หนังมันมีเวลาให้เราได้คิดทบทวนไปพร้อมๆกับตัวละคร ชอบที่หนังไม่เล่นมุขพร่ำเพรื่อเน้นฮาเหมือนเรื่องก่อนๆ เเต่หนังเน้นความตลกของชีวิตที่ตลกไม่ออกถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา...
เเละสิ่งหนึ่งที่ชื่นชมคือ ดาวิกา ซันนี่เเละวี การเเสดงของทั้งสามมันธรรมชาติจริงๆ โดยเฉพาะใหม่ กับบทบาทการเป็นหมอของเธอมัน..น่ารักเเบบหมอจริงๆ
ชอบไม่ชอบ ดีไม่ดี คงต้องไปดูเองเเล้วล่ะครับ เเต่เเนะนำว่าระหว่างดูลองเปิดใจ เเฟน GTH บางคนอาจจะไม่ชิน เเต่ถ้าเปิดใจจริงๆ ผมว่าหนังมันน่ารักมากๆนะ
ฉากที่ผมชอบที่สุด คงเป็นฉากมือถือยุ่นที่มีเเต่เบอร์เจ๋ คือผมเคยเป็นเเบบนั้น มีเบอร์เดียวคืองาน เเละฉากที่สองคือฉากงานศพ ที่หนังมันค่อยๆไหลไปเเละพาให้ตัวผมคิดไปด้วยว่า เอ่อ..ถ้าเราตายใครจะมางานเราว่ะเนี่ย .. อันนี้เเอบเศร้า เพราะเมื่อก่อนทำเเต่งาน จนลืมเพื่อน ลืมครอบครัว สุดท้ายก็คิดไม่ออกจริงๆว่าใครจะมางานเราถ้าไม่ใช่ครอบครัว..เเละเพื่อนร่วมงานเพียงไม่กี่คน
ฉากที่ยิ้มที่สุด คงเป็นฉากที่ยุ่นคุยline กับหมออิม อารมณ์ที่เราเห็นมันละมุนจริงๆครับ เเม้ฉากนั้นจะไม่เห็นหมออิมเลยก็ตาม
ปล. ก่อนหนังฉายได้ชมทีเซอร์ของ 2 โปรเจค คือ GTH คอนเสิร์ต (ไซไฟเเละเท่มากกก ดูอลังกาลเเต่กลัวราคาบัตร) เเละ หนังใหม่อีกเรื่อง เมย์ไหน.. ปันปัน ต่อ เเบงค์ (อันนี้เด็กๆ เเต่เเนวGTHจริงๆ)
ฟรีเเลนซ์ ดูเเล้วจึงอยากบอก ว่ามัน ดีออก!!! จริงๆ (เเอบขอสปอยบ้างนะ)
การทำงานหนักคือคำตอบของชีวิตจริงๆหรือ??
ในยุคสมัยที่เงินคือปัจจัยหลัก เเละงานคือตัวขับเคลื่อนชีวิตที่สำคัญ จนทำให้หลายคนหลงลืมรายละเอียดต่างๆรอบๆตัว โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า "ความสุข"
..ความสุขจึงกลายเป็นยาขมเเละเป็นข้อปฏิบัติที่ยากเกินกว่าจะลงมือทำ หลายคนจึงอาศัยความสุขของคนอื่นมาทำให้ตัวเองสุขด้วยโดยไม่กล้าที่จะลงมือสร้างความสุขด้วยตัวเอง
มีกี่ครั้งที่เราร้องไห้อินกับคลิปขอเเต่งงานของคนอื่นบนหน้าเฟส มีกี่ครั้งที่เรากดเเชร์กระทู้ท่องเที่ยว มีกี่ครั้งที่เรากดไลค์คนที่ลดน้ำหนักเเล้วหุ่นดี มีกี่ครั้งที่เราคอมเม้นอิจฉาเพื่อนๆ
..เราได้เเต่เฝ้ามองคนอื่นมีความสุข จนเราหลงลืมที่จะมีความสุขเอง เราได้เเต่ฝันที่จะทำเเต่เราก็กลัวที่จะต้องทำมันจริงๆ เรามีข้ออ้างเสมอที่จะปฏิเสธความสุข เเต่เราไม่มีข้ออ้างที่จะปฏิเสธ "งาน" ด้วยเหตุผลที่ว่า "งานคือทุกอย่างของชีวิต" หลายคนจึงยังคงใช้ชีวิตเเบบสุขพึ่งพิงผ่านหน้าNew feed ต่อไป โดยค่อยๆหลงลืมความสุขของตัวเองไปที่ละนิด กว่าจะรู้ตัวอีกทีก็สายเกิน ...ชีวิตมันก็มีเเค่นี้ จะตายวันไหนใครตอบ?? อย่าพยายามสร้างเงื่อนไขบ้าบอมาทำให้ตัวเองต้องเสียใจ เเละอย่าปล่อยให้ "ความสุข" เป็นสิ่งที่ยากเกินจะทำ ผมคิดถึงชีวิตที่ขาดความสุขไม่ออกจริงๆ หลังดูหนังเรื่องนี้จบ ผมตั้งใจกับตัวเองเอาไว้ล่ะว่าจะหาเวลาshut downตัวเองเเล้วไปเติมความสุขบ้าง ไม่เเน่ กลับมาทำงานอีกครั้งเป้าหมายชีวิตของผมอาจจะเปลี่ยนไป..
ถึงเเม้ฟรีเเลนซ์ อาจไม่ใช่หนังตลาดอย่างที่หลายคนต้องการ เเม้หน้าหนังจะปะยี้ห้อ GTH หากเเต่เมื่อสัมผัสเนื้อในกลับพบรสชาติของเต๋อ นวพล อยู่เต็มเปี่ยม จนเสียงผู้ชมเเตกออกเป็นสองเสียง ระหว่างคนที่ชอบไปเลย กับคนที่บอกว่ามันเนิบเเละอินดี้.. ส่วนตัวผมผมชอบ ชอบที่หนังมันมีเวลาให้เราได้คิดทบทวนไปพร้อมๆกับตัวละคร ชอบที่หนังไม่เล่นมุขพร่ำเพรื่อเน้นฮาเหมือนเรื่องก่อนๆ เเต่หนังเน้นความตลกของชีวิตที่ตลกไม่ออกถ้ามันเกิดขึ้นกับเรา...
เเละสิ่งหนึ่งที่ชื่นชมคือ ดาวิกา ซันนี่เเละวี การเเสดงของทั้งสามมันธรรมชาติจริงๆ โดยเฉพาะใหม่ กับบทบาทการเป็นหมอของเธอมัน..น่ารักเเบบหมอจริงๆ
ชอบไม่ชอบ ดีไม่ดี คงต้องไปดูเองเเล้วล่ะครับ เเต่เเนะนำว่าระหว่างดูลองเปิดใจ เเฟน GTH บางคนอาจจะไม่ชิน เเต่ถ้าเปิดใจจริงๆ ผมว่าหนังมันน่ารักมากๆนะ
ฉากที่ผมชอบที่สุด คงเป็นฉากมือถือยุ่นที่มีเเต่เบอร์เจ๋ คือผมเคยเป็นเเบบนั้น มีเบอร์เดียวคืองาน เเละฉากที่สองคือฉากงานศพ ที่หนังมันค่อยๆไหลไปเเละพาให้ตัวผมคิดไปด้วยว่า เอ่อ..ถ้าเราตายใครจะมางานเราว่ะเนี่ย .. อันนี้เเอบเศร้า เพราะเมื่อก่อนทำเเต่งาน จนลืมเพื่อน ลืมครอบครัว สุดท้ายก็คิดไม่ออกจริงๆว่าใครจะมางานเราถ้าไม่ใช่ครอบครัว..เเละเพื่อนร่วมงานเพียงไม่กี่คน
ฉากที่ยิ้มที่สุด คงเป็นฉากที่ยุ่นคุยline กับหมออิม อารมณ์ที่เราเห็นมันละมุนจริงๆครับ เเม้ฉากนั้นจะไม่เห็นหมออิมเลยก็ตาม
ปล. ก่อนหนังฉายได้ชมทีเซอร์ของ 2 โปรเจค คือ GTH คอนเสิร์ต (ไซไฟเเละเท่มากกก ดูอลังกาลเเต่กลัวราคาบัตร) เเละ หนังใหม่อีกเรื่อง เมย์ไหน.. ปันปัน ต่อ เเบงค์ (อันนี้เด็กๆ เเต่เเนวGTHจริงๆ)