น้องอิงค์เข้ารอบ ๔ คนสุดท้ายของทีมโค้ชน่าอิง The Voice of China แล้วค่า กรี๊ด...

น้องอิงค์ก็ก้าวไปอีกขั้น จากตอนแรกที่ขึ้นร้องเพลงในรอบแรกบนเวที The Voice of China Season 4  และยังไม่มีโค้ชคนไหนกดเลือก จนเมื่อ audition ครบทุกคนแล้ว โค้ชแต่ละท่านยังมีลูกทีมไม่ครบตามที่กำหนด น้องอิงค์จึงมีโอกาสขึ้นเวทีอีกครั้งและโค้ชน่าอิงได้เลือกน้องอิงค์ในที่สุดและเข้าสู่รอบแบทเทิลในวันนี้ จนตอนนี้เข้ารอบ ๔ คนสุดท้ายของทีมโค้ชน่าอิงแล้วค่ะ ยินดีด้วยค่า... พลุพลุพลุ

ดูที่มาที่ไปได้ที่นี่นะคะ และขอบคุณทุกๆ คนที่ช่วยกันแบ่งปันข้อมูลค่ะ อมยิ้ม17อมยิ้ม17อมยิ้ม17
กระทู้แรก (รอบ Blind ยังไม่มีใครเลือก)  http://ppantip.com/topic/33955555
กระทู้ที่ ๒ (ได้โอกาสขึ้นเวทีอีกครั้ง และโค้ชน่าอิงเลือก) http://ppantip.com/topic/34055677
กระทู้ที่ ๓ (ข้อมูลสปอยล์ก่อนที่น้องอิงค์จะออกอากาศในวันที่ ๒๘ ส.ค.) http://ppantip.com/topic/34091606

ภาพจาก weibo The Voice of China


มาดูวันนี้ (๒๘ สิงหาคม ๒๕๕๘) น้องอิงค์ต้องผ่านอะไรบ้างนะคะ

โค้ชแต่ละท่านจะมีลูกทีมทั้งหมด ๑๒ คน โค้ชน่าอิงได้เลือกจับคู่แบทเทิลตามภาพค่ะ


ซึ่งโค้ชน่าอิงเลือกให้น้องอิงค์กับหลิงหลิง 菱凌  แบทเทิลกันในเพลงหงโต้ว (红豆)


เปิดเข้าไปในลิงค์นี้นะคะ ช่วงแรกก็รอบแป๊บนึงค่ะ http://v.qq.com/cover/5/5bx0fqsdstq76nl/p0017g2soez.html

แปลส่วนที่เกี่ยวข้องกับน้องอิงค์ค่ะ

โค้ชน่าอิงบอกว่า “เลือกเพลง หงโต้ว (红豆) เพราะอยากน้องอิงค์และหลิงหลิงเกิดความท้าทาย โดยเฉพาะน้องอิงค์ เพราะเหมือนกับที่โค้ชทุกๆ คนได้กล่าวในรอบ Blind ว่าน้องอิงค์ต้องเรียนรู้ที่จะหลุดออกมาจากเงาของเติ้งลี่จวิน เพื่อหาแนวทางของตนเอง”

น้องอิงค์พูดว่า “สำหรับฉันแล้ว แน่นอนมันยากมาก เพราะตั้งแต่เด็กฉันก็ร้องแต่เพลงของเติ้งลี่จวิน ซึ่งถึงจะยากแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้”

หลิงหลิงพูดว่า “ตอนที่น้องอิงค์ฝึกร้องเพลงนี้ น้องพยายามมากๆ ฉันมักจะได้ยินน้องฝึกร้องอยู่บ่อยๆ”

ตอนจะขึ้นเวทีเพื่อแบทเทิล น้องอิงค์พูดว่า “ฉันอยากจะมาเรียนร้องเพลงที่ประเทศจีนมากๆ ฉันอยากจะอยู่บนเวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชาวจีน ร้องเพลงจีนให้มากยิ่งขึ้น พี่หลิงหลิง พวกเรามาสู้ด้วยกันเถอะ”



เนื้อเพลงหงโต้ว (红豆) ค่ะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้

หลังร้องเพลงจบ ความรู้สึกของโค้ชแต่ละท่าน
โค้ชฮาหลิน:หลิงหลิง ตอนรอบ Blind ไม่ได้ใช้เสียงร้องแบบนี้ใช่หรือเปล่า
หลิงหลิง:ใช่ค่ะ เพราะว่าเพลงนั้นเป็นเพลงรักแบบมาตรฐานตามแบบฉบับ เลยไม่ได้ใช้ลักษณะการร้องแบบนี้
โค้ชฮาหลิน:แถมน้ำเสียงยังเปลี่ยนแปลงเยอะมาก ผมขอเสนอให้หลิงหลิงเข้ารอบต่อไป หลิงหลิงน่าจะเหมาะกับน่าอิงมากกว่า

โค้ชเจย์:ผมหวังว่าจะมีโอกาสได้อยู่ประเทศไทย สามารถทำให้เพลงจีนเป็นที่นิยมยิ่งๆ ขึ้นไป ดังนั้นผมแนะนำน้องอิงค์

โค้ชวังเฟิง:น้องอิงค์ตอนที่ไม่มีดนตรีตอนนั้น เสียงสูงในช่วงนั้นมันแทบจะเรียกว่าสมบูรณ์แบบ คุณร้องเพลงนี้ได้ทำลายกำแพงของตัวเอง ผมเสนอน้องอิงค์

ผู้ช่วยโค้ชหลี่เจี้ยน:การร้องของน้องอิงค์ควรจะเปลี่ยนหรือไม่??? แต่ส่วนตัวผมเห็นว่าน้ำเสียงเช่นเติ้งลี่จวินแบบนี้ ไม่น่าจะเป็นน้ำเสียงที่เป็นที่นิยมที่สุดได้ตลอดไป แต่คนเราก็ยังต้องการน้ำเสียงที่ใสกังวานแบบนี้อยู่ต่อไป ที่จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย
ส่วนหลิงหลิงมีน้ำเสียงที่หาได้ยาก  ในแวดวงนักร้องจีนก็มีไม่เยอะ มีอารมณ์แบบแจ๊ส เหมือนคนที่ผ่านอะไรมามากมาย สำหรับผมหลิงหลิงให้ความประทับใจที่มากกว่า

(ตอนนี้น้องอิงค์และหลิงหลิงต่างมีคนให้คะแนเท่าๆ กันคือ ๒ คน น้องอิงค์มีโค้ชเจย์กับโค้ชวังเฟิง ส่วนหลิงหลิงมีโค้ชฮาหลินกับหลี่เจี้ยนสนับสนุน)

โค้ชน่าอิง:น้องอิงค์ถือว่าเป็นคนที่เลียนแบบเติ้งลี่จวินจนถึงจุดๆ หนึ่ง เหมือนกับฉันตอนที่ยังรุ่นๆ อยู่ คุณรู้มั้ยฉันเลียนแบบใคร (ซูรุ่ย) ใช่ ฉันเลียนแบบจนถึงขนาดฉันสวมแว่นกันแดดออกเทปในตอนนั้น ทุกคนล้วนเรียกฉันว่า “ซูปิ่ง” (คำว่าปิ่ง กับ รุ่ย เขียนต่างกันนิดเดียว ประมาณ บ กับ ป) แล้วในวงเล็บก็เขียนตัวหนังสือตัวเล็กๆ ว่า “น่าอิง”
เขาก็เหมือนกับฉัน น้ำเสียง ลักษณะการร้องเหมือนขนาดที่คิดว่าแบบนี้มันไม่ได้แล้วนะ แต่ฉันก็อยากจะเปลี่ยนน้องอิงค์ เพราะว่าคุณก็คือคุณ ไม่มีใครแทนที่คุณได้

โค้ชน่าอิงพูดถึงหลิงหลิง:หลิงหลิง มีความสามารถทางดนตรี ทุกครั้งที่เปลี่ยนทำนองให้กับเขา เขาก็สามารถเสนอแนวใหม่ๆ ขึ้นมาได้เสมอ น้ำเสียงแบบโบราณ เป็นน้ำเสียงที่ฉันอยากได้มากๆ

น้องอิงค์พูดความรู้สึกตัวเอง:ฉันอยากอยู่ประเทศจีน เรียนรู้แนวเพลงต่างๆ ให้มากขึ้น อยากร้องเพลงที่จีน ขอบคุณคุณพ่อคนจีนที่ทำให้ฉันได้มาที่ประเทศจีน และทำให้ฉันได้มาที่ The Voice of China และขอขอบคุณโค้ชน่าอิง โค้ชดีกับฉันราวกับฉันเป็นลูกคนหนึ่ง ทำเพื่อฉันมากมาย เพื่อให้ฉันเปลี่ยนแปลง ให้ฉันมีแนวทางเป็นของตนเอง และขอบคุณพี่หลิงหลิง เขาเหมือนกับพี่สาวแท้ๆ ของฉัน ฉันมีปัญหาอะไรทั้งด้านภาษาจีน หรือเกี่ยวกับดนตรี คืออะไรที่ฉันไม่รู้ฉันก็จะถามเขา ถึงแม้ตอนที่พวกเราถูกจัดให้แบทเทิลด้วยกันนั้น ฉันไม่รู้ว่าหูข้างขวาของเขาไม่ได้ยิน (โค้ชน่าอิง:หูด้านขวาของเขาไม่ได้ยิน) เลยทำให้ฉันได้รู้ว่า คนที่เดินบนเส้นทางดนตรีนั้นต้องแลกมาด้วยอะไรมากมาย ดังนั้น ฉันเลยอยากมอบสร้อยช้างเส้นนี้ให้กับคุณ สิ่งนี้ในประเทศไทย ช้างเป็นการอวยพรอย่างหนึ่ง หวังว่าพี่จะมีความสุขตลอดไป
หลิงหลิง:ฉันก็หวังว่าคุณมีความสุขเช่นกัน ขอบคุณ

หลิงหลิง:(พิธีกรพูดถึงหูขวาไม่ได้ยิน) ตั้งแต่เด็กก็เป็นแบบนี้ ชินแล้ว
โค้ชวังเฟิง:ไม่ได้ยินเลยหรือเปล่า
หลิงหลิง:หูขวาหนวกสนิท ... สิ่งที่ฉันรักที่สุดคือเสียงเพลง แต่ว่าฉันไม่สามารถสัมผัสความรู้สึกที่ว่าหูได้ยินเสียงทั้งสองข้างเป็นอย่างไร ฉันมีเพื่อนสนิท ๒ คนอยู่ในทีมโค้ชวังเฟิง ตอนที่พวกเค้ากำลังชื่นชมหูฟัง (โค้ชวังเฟิงมอบหูฟังให้กับลูกทีมตัวเอง) และฉันก็เคยเก็บเงินซื้อหูฟังดีๆ แต่ในแต่ละครั้งฉันก็จะฟังได้แค่ข้างเดียว บางครั้งก็เลยจับหูฟังอีกข้างหมุนมาฟังด้านซ้ายบ้าง เลยเป็นสิ่งที่ฉันรู้สึกเสียดาย เพราะฉันอยากได้ลองฟังเสียงที่ออกมาไม่เหมือนกันจากหูฟังทั้ง ๒ ข้าง แต่ก็เป็นไปไม่ได้ ... แต่ยังดีที่มีข้างนึงที่ยังได้ยิน เพราะยังไงก็ยังดีกว่าไม่ได้ยินทั้งสองข้างแน่ๆ ... ฉันยังขอบคุณโชคชะตา เพราะเดิมทีฉันก็ไม่ได้เป็นคนสดใสร่าเริง แต่ฉันขอบคุณเบื้องบนที่นำพาให้ฉันพบคนดีๆ ที่ทำให้ฉันได้เดินบนเส้นทางที่ค่อนข้างสว่างไสว

ส่วนน้องอิงค์ ฉันอยากบอกคุณว่า มันเป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของฉันนะ แต่เป็นสิ่งที่ฉันอยากพูดออกมาจากใจที่สุด ฉันกับน้องอิงค์ได้คุยเรื่องราวของตัวเองมากมาย น้องอิงค์บอกฉันว่าเขามีน้องชายและน้องสาว และยังมีครอบครัวที่ฝากความหวังไว้ที่เขา เขาเป็นลูกคนโตในบ้าน เขาอยากเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับน้องๆ  และเขาได้มาร้องบนเวทีนี้ ไม่ได้ทำแค่เพื่อตัวเอง วันนั้นเขาบอกฉันว่า คุณรู้มั้ยเพื่อนคนไทยบอกฉันว่า คนไทยกำลังดูฉันร้องเพลงอยู่ เขามีแรงกดดันมากมาย คุณอายุแค่ ๑๖ แต่กลับต้องแบกรับอะไรมากมาย ฉันหวังว่าบางครั้งให้คุณได้เป็นเด็กตามวัย มีชีวิตเพื่อตัวเอง ร้องเพลงเพื่อตัวเองบ้าง
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่