[CR] Follow me to ITALIA “ต้องมาสักครั้ง…ที่อิตาลี”


Ciao! (อ่านว่า เชา) เป็นคำทักทายในภาษาอิตาลี ที่จะได้ยินเสมอไม่ว่าจะไปที่แห่งหนใดก็ตามในประเทศอิตาลี
     อิตาลีเป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ในทวีปยุโรปที่เชื่อว่าหลายคนใฝ่ฝันอยากที่จะเดินทางไปเยือนสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะที่นี่เต็มได้ด้วยงานศิลปะอันเลื่องชื่อ สถาปัตยกรรมที่โดดเด่น และธรรมชาติที่สวยงามรอคอยให้ผู้คนเข้ามาเยือนยังดินแดนแห่งนี้
     สำหรับแผนการเดินทางในการท่องเที่ยวครั้งนี้คือ กรุงเทพฯ-มิลาน-เวนิส-ฟลอเรนซ์-โรม รวมระยะเวลา 10 วัน เดินทางโดยเครื่องบินด้วยสายการบินไทยจากกรุงเทพฯ (Suvarnabhumi Airport) ไปยังมิลาน (Malpensa Airport) ใช้ระยะเวลาในการเดินทางประมาณ 11 ชั่วโมง ซึ่งเวลาที่ประเทศอิตาลีจะช้ากว่าเวลาที่ประเทศไทย 5 ชั่วโมง



Let’s Start Milan
     เมืองแรกที่ได้มาสัมผัสบนดินแดนอิตาลี บอกได้เลยว่ารู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก เพราะเป็นครั้งแรกที่ได้เดินทางท่องเที่ยวไกลขนาดนี้ พอเครื่องบินลงจอดที่สนามบินเรียบร้อยก็รีบปรับเวลาให้ตรงกับเวลาท้องถิ่นทันทีจะได้ไม่สับสน จากนั้นออกเดินทางไปยังโรงแรมที่พักอยู่แถวย่าน Porta Venezia เพราะอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (Metropolitana di Milano) เพื่อไปเก็บสัมภาระก่อนออกไปเที่ยวตามที่ต่างๆ และที่โรงแรมนี้มีแอปเปิ้ลไว้บริการให้ผู้ที่มาพักหยิบไปทานได้เลย โดยสถานที่แรกที่ไปคืองาน Word Expo Milano 2015 ซึ่งในส่วนนี้จะมาเล่าให้ฟังทีหลังว่ามีอะไรน่าสนใจในงาน



     เมื่อมาเที่ยวที่มิลานแล้วมีสถานที่ที่ไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่งเมื่อเดินทางมามิลานนั่นคือ มหาวิหารแห่งมิลาน (Duomo di Milano) สร้างด้วยหินอ่อน สถาปัตยกรรมแบบโกธิกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้ระยะเวลาก่อสร้างยาวนานถึง 500 ปี มีรูปปั้นมากมายประดับประดาอยู่ทั้งด้านในและด้านนอกของวิหาร ภายในวิหารมีเสาขนาดใหญ่หลายต้นและบานหน้าต่างที่ตกแต่งด้วยกระจกหลากสีสันสวยงาม นอกจากนี้นักท่องเที่ยวยังสามารถขึ้นไปบนหลังคาของวิหารเพื่อชมวิวของเมืองมิลานได้อีกด้วย (คนที่จะขึ้นไปบนหลังคาวิหารจะต้องเสียค่าเข้าชมคนละประมาณ 5 ยูโร) หลังจากเข้าไปชมที่ด้านในและด้านบนแล้ว ก็ออกมาเก็บภาพกันต่อที่ด้านหน้าของวิหาร
***ซึ่งตรงจุดนี้ให้ระวังคนมาขายอาหารนกกับสายผูกข้อมือเพราะเขาจะเข้ามาหาโดยที่ไม่ได้เรียกและวางของใส่มือเราอัตโนมัติ แนะนำว่าทำเป็นไม่สนใจ หากเขาจะวางของใส่มือเรา อย่ารับ หรือถ้าเขาเอามาวางที่แขนให้รีบส่งคืนแล้วเดินออกไปให้ห่างจากพวกนี้***
     ส่วนการเดินทางมามหาวิหารแห่งมิลานสะดวกสบายมากด้วยรถไฟฟ้าใต้ดินมาลงที่สถานี DUOMO เดินขึ้นมาจากสถานีก็จะเจอมหาวิหารเลย







Galleria Vittorio Emanuele II
     หลังจากชมความอลังการของมหาวิหารแห่งมิลานแล้ว ก็มาเดินกันต่อที่ Galleria Vittorio Emanuele II ซึ่งเป็นแหล่งที่รวบรวมร้านขายสินค้าแบรนด์เนมไว้มากมาย ใครที่เป็นนักช้อปต้องไม่พลาด ที่นี่ทัวร์จีนค่อนข้างเยอะ จะเข้าไปดูของสักร้านหนึ่งต้องรอให้นักท่องเที่ยวจีนทยอยออกมาก่อน เพราะมากันเยอะจริงๆ พนักงานขายบางร้านพูดภาษาจีนได้และบางร้านเป็นคนจีนเลย นอกจากร้านขายของแล้วที่นี่ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่น่าสนใจอยู่ด้วยคือ The World of Leonardo Da Vinci เป็นพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงของ Leonardo Da Vinci รวมถึงที่มาที่ไปของภาพวาดอันมีชื่อเสียงก้องโลกได้แก่ The Last Supper และ Mona Lisa ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์คนละ 12 ยูโร ก่อนไปต่อก็แวะหาของกินรองท้องก่อน ซึ่งร้านในละแวกนั้นมีให้เลือกมากมาย เห็นร้านนี้ตกแต่งสวยดีเลยเข้าไปสั่งสลัดทาน ผักที่นี่สดและอร่อยมาก หลังอิ่มท้องก็ออกเดินทางไปเที่ยวต่อที่ Sforzesco Castle และแวะนั่งพักที่ Sempione Park เป็นสวนสาธารณะที่ร่มรื่น คิดว่าถ้าได้มาเที่ยวในช่วงฤดูใบไม้ร่วงคงจะสวยน่าดู เพราะใบไม้จะเปลี่ยนสีพร้อมผลัดใบ เมื่อเดินออกจากสวนสาธารณะทางประตูด้านหลังก็จะเจอกับ Arco della Pace ซึ่งเป็นประตูชัยที่สวยงามตั้งอยู่บริเวณปลายสวนสาธารณะแห่งนี้ ระหว่างเดินเที่ยวชมเมืองจะเห็นร้านขาย Gelato หลากหลายรสชาติอยู่หลายร้าน จึงไม่พลาดที่จะซื้อมากิน บอกได้คำเดียวว่าอร่อยสุดๆ















Getting Around Venice
     วันต่อมาถึงเวลาที่ต้องร่ำลาจากมิลานเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองเวนิสด้วยรถไฟ ระหว่างเดินทางชมทิวทัศน์สองข้างทางมีทั้งบ้านเรือน สวนผลไม้ แม่น้ำ และภูเขา เพลิดเพลินจนลืมเวลาเลยทีเดียว จนเวลาผ่านไปประมาณสองชั่วโมงครึ่งก็ถึงจุดหมายที่ “เวนิส” เมืองที่มีมนต์เสน่ห์ เมืองแห่งความโรแมนติกที่ต้องมาให้ได้สักครั้งในชีวิต ที่นี่ถูกล้อมรอบด้วยทะเลประกอบกับมีคูคลองมากมาย การเดินทางหลักๆ ของที่นี่จึงใช้เรือและการเดิน เมื่อถึงก็รีบเดินเท้าไปที่ Piazza San Macro เป็นจัตุรัสที่ขึ้นชื่อว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งในอิตาลี บริเวณจัตุรัสจะมีร้านค้าและร้านอาหารมากมาย เมื่อเดินไปเรื่อยๆ จนถึงริมทะเลก็มีจุดให้ถ่ายรูปทั้งเรือ Gondola และด้านหลังคือ San Giorgio Maggiore จากนั้นเดินไปที่ Ponte di Rialto ซึ่งเป็นสะพานที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงสุด (แต่ช่วงที่ไปปิดซ่อมแซม น่าเสียดายมาก) จึงตัดสินใจเดินต่อไปที่ Ponte dell Accademia เป็นสะพานไม้ที่สามารถมองเห็น Basilica di Santa Maria della Salute ช่วงที่ไปเป็นเวลาเย็นพอดี แดดร่มลมตกอากาศไม่ร้อนเกินไป บรรยากาศกำลังดี โรแมนติกสุดๆ ขอบอกเลยว่าเวลา 1 วันที่อยู่ที่นี่คุ้มค่ามากๆ














Impress me Florence
     วันรุ่งขึ้นตื่นแต่เช้าเพื่อรีบเดินทางต่อไปที่เมืองฟลอเรนซ์ เป็นเมืองแห่งศิลปะที่มีชื่อเสียงอีกเมืองหนึ่งของอิตาลีและมีงานศิลปะอยู่มากมาย ทันทีที่มาถึงก็เดินทางไปช้อปปิ้งที่ The Mall Outlet ซึ่งต้องนั่งรถบัสไปใช้เวลาประมาณ 50 นาที ที่นี่มีร้านขายของแบรนด์เนมหลากหลายให้เลือกซื้อเยอะเหมือนกัน โดยเฉพาะ GUCCI กับ PRADA คนจะเยอะเป็นพิเศษต้องเข้าคิวเพื่อเข้าดูสินค้าในร้าน หลังกลับจาก Outlet ก็มุ่งไปที่ Duomo ของเมืองฟลอเรนซ์ วิหารที่นี่จะมีขนาดเล็กกว่าที่ Duomo ของมิลาน แต่ด้วยสถาปัตยกรรมแบบ Neo Gothic ก็พูดได้ว่าสวยงามไม่แพ้กัน จากนั้นไปต่อที่ Palazzo Vecchio เป็นปราสาทเก่าแก่ ด้านหน้าจะมีรูปปั้น Neptune Fountain และ David (เป็นแบบจำลองส่วนของจริงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Accademia) ที่ด้านข้างยังมีอาคารที่รวบรวมรูปปั้นไว้หลายชิ้นด้วยกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือรูปปั้น Perseus จากนั้นก็เปลี่ยนบรรยากาศไปชมทิวทัศน์ของเมืองฟลอเรนซ์ ซึ่งต้องเดินขึ้นเขาไปเหนื่อยเอาการอยู่เหมือนกัน แต่เมื่อขึ้นมาถึงข้างบนมองดูทิวทัศน์รอบๆ จะลืมความเหนื่อยกันไปเลย นอกจากจะชมวิวของเมืองแล้วก็ยังมีรูปปั้น David จำลองขนาดใหญ่อยู่ที่ด้านบนนี้ด้วย พอเริ่มมืดก็เดินลงมาที่ Ponte Vecchio เป็นสะพานเก่าแก่ที่สุดของฟลอเรนซ์ แล้วจึงไปที่สถานีรถไฟเพื่อเดินทางต่อไปยังกรุงโรม












ชื่อสินค้า:   ประเทศอิตาลี
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่