สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 7
หากคุณได้สัมผัสช่วงเวลาที่จิตใจหลุดพ้นจากกิเลส
คุณจะทราบได้ว่า การเดินเจ็ดก้าวของพระกุมารสิทธัตถะนั้นเป็นสื่งปรกติ
คนส่วนใหญ่ที่บอกว่าไม่ พวกเขาโดยมาก ไม่เคยปฏิบัติมหาสติปัฏฐานถึงเจ็ดวันเลย
หากคุณลองมหาสติปัฏฐานเจ็ดวัน
คำถามในใจของคุณจะค่อย ๆ จางไป
หากคุณถามผู้อื่น ตุณจะได้เพียงสองคำตอบ
ฝั่งเชื่อ จะตอบว่าใช่ แต่คุณก็จะสงสัยว่าใช่ได้ยังไง ใครจะทำได้
ฝังไม่เชื่อ ก็จะตอบว่าไม่ใช่ แต่คุณอาจจะลังเลใจว่าอ้าว ก็มีคนบอกว่าใช่
ศาสนาพุทธ ไม่เหมือนศาสนาอื่น ที่อะไร ๆ ก็พระเจ้า
ศาสนาพุทธ อยู่ที่ตัวคุณเอง
จะเหาะได้ ก็เพราะคุณทำให้มันเหาะได้ หรือจะจมดิน ก็เพราะคุณทำให้มันจมดิน
อีกอย่างหนีง แม้ว่าคุณจะเชือ หรือไม่เชื่อเรื่องการเดินเจ็ดก้าวของพระกุมารสิทธัตถะ
พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ทรงเดือดร้อนด้วย
เพราะตัวเราทุกคนนั่นแหละ คือ ผลผลิตจากการกระทำของตัวเอง
จะดีชั่ว ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธเจัา
แต่อยู่ที่ว่าเราจะเดินในทางใดให้กับตัวเอง
หากคุณต้องการพิสูจน์ โอกาสอยู่ในมือคุณแล้ว
จากพระไตรปิฎกบทนี้ ถ้าคุณปฏิบัติได้ ความสงสัยของคุณจะหายไป
มหาสติปัฏฐานสูตร จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 10
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0
คำอธิบายพระสูตรด้านบน
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=273
หากไม่เข้าใจ ให้ฝึกพื้นฐานก่อน ที่นี่
http://dungtrin.com/sati/
ตุมฺเหติ กิจฺจํ อาตปฺปํ
อกฺขาตาโร ตถาคตา
ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ
ฌายิโน มารพนฺธนา ฯ ๒๗๖ ฯ
พวกเธอจงพยายามทำความเพียรเถิด
พระตถาคต เป็นเพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญฌานเดินตามทางสายนี้
ก็จะพ้นจากเครื่องผูกของพญามาร
You yourselves should make an effort,
The Tathagatas can but show the Way.
The meditative ones who walk this path
Are released from the bonds of Mara.
คุณจะทราบได้ว่า การเดินเจ็ดก้าวของพระกุมารสิทธัตถะนั้นเป็นสื่งปรกติ
คนส่วนใหญ่ที่บอกว่าไม่ พวกเขาโดยมาก ไม่เคยปฏิบัติมหาสติปัฏฐานถึงเจ็ดวันเลย
หากคุณลองมหาสติปัฏฐานเจ็ดวัน
คำถามในใจของคุณจะค่อย ๆ จางไป
หากคุณถามผู้อื่น ตุณจะได้เพียงสองคำตอบ
ฝั่งเชื่อ จะตอบว่าใช่ แต่คุณก็จะสงสัยว่าใช่ได้ยังไง ใครจะทำได้
ฝังไม่เชื่อ ก็จะตอบว่าไม่ใช่ แต่คุณอาจจะลังเลใจว่าอ้าว ก็มีคนบอกว่าใช่
ศาสนาพุทธ ไม่เหมือนศาสนาอื่น ที่อะไร ๆ ก็พระเจ้า
ศาสนาพุทธ อยู่ที่ตัวคุณเอง
จะเหาะได้ ก็เพราะคุณทำให้มันเหาะได้ หรือจะจมดิน ก็เพราะคุณทำให้มันจมดิน
อีกอย่างหนีง แม้ว่าคุณจะเชือ หรือไม่เชื่อเรื่องการเดินเจ็ดก้าวของพระกุมารสิทธัตถะ
พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้ทรงเดือดร้อนด้วย
เพราะตัวเราทุกคนนั่นแหละ คือ ผลผลิตจากการกระทำของตัวเอง
จะดีชั่ว ไม่ได้อยู่ที่พระพุทธเจัา
แต่อยู่ที่ว่าเราจะเดินในทางใดให้กับตัวเอง
หากคุณต้องการพิสูจน์ โอกาสอยู่ในมือคุณแล้ว
จากพระไตรปิฎกบทนี้ ถ้าคุณปฏิบัติได้ ความสงสัยของคุณจะหายไป
มหาสติปัฏฐานสูตร จากพระไตรปิฎกเล่มที่ 10
http://www.84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=10&A=6257&Z=6764&pagebreak=0
คำอธิบายพระสูตรด้านบน
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=10&i=273
หากไม่เข้าใจ ให้ฝึกพื้นฐานก่อน ที่นี่
http://dungtrin.com/sati/
ตุมฺเหติ กิจฺจํ อาตปฺปํ
อกฺขาตาโร ตถาคตา
ปฏิปนฺนา ปโมกฺขนฺติ
ฌายิโน มารพนฺธนา ฯ ๒๗๖ ฯ
พวกเธอจงพยายามทำความเพียรเถิด
พระตถาคต เป็นเพียงผู้ชี้บอกทางเท่านั้น
ผู้บำเพ็ญฌานเดินตามทางสายนี้
ก็จะพ้นจากเครื่องผูกของพญามาร
You yourselves should make an effort,
The Tathagatas can but show the Way.
The meditative ones who walk this path
Are released from the bonds of Mara.
ความคิดเห็นที่ 8
จะจริงหรือไม่จริงไม่มีใครรู้หรอกครับ พระไตรปิฎกก็เป็นสิ่งที่บอกเล่าต่อๆ กันมา มีการสังคยนาตั้งหลายครั้ง
ที่ยกๆ กันมาก็ copy และ paste ทั้งนั้น คงไม่มีใครอยู่ ณ ช่วงเวลาที่พระพุทธองค์ทรงประสูติหรอกครับ
ที่สำคัญกว่า คือการปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางไว้ให้ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ที่ยกๆ กันมาก็ copy และ paste ทั้งนั้น คงไม่มีใครอยู่ ณ ช่วงเวลาที่พระพุทธองค์ทรงประสูติหรอกครับ
ที่สำคัญกว่า คือการปฏิบัติตามที่พระพุทธองค์ทรงชี้ทางไว้ให้ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ความคิดเห็นที่ 5
http://ppantip.com/topic/33377591/comment17
[๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ พระโพธิสัตว์ผู้ประสูติแล้ว
ได้ครู่หนึ่ง ประทับยืนด้วยพระบาททั้งสองอันสม่ำเสมอ ผินพระพักตร์ทางด้าน
ทิศอุดร เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว และเมื่อฝูงเทพดากั้นเสวตฉัตรตามเสด็จอยู่
ทรงเหลียวแลดูทั่วทุกทิศ เปล่งวาจาว่า เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้
มี ดังนี้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ลำดับนั้นท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ จักเอาหนังเสือเหลืองอันมีสัมผัสสบายและสมมติกันว่าเป็นมงคล มารองรับพระโพธิสัตว์ด้วยพระหัตถ์ และเหล่าอำมาตย์จักพากันเทริดผ้าทุกูลพัสตร์อันมีเนื้อละเอียดมารองรับพระโพธิสัตว์ต่อจากพระหัตถ์ของท้าวจาตุมหาราชเหล่านั้น
พระโพธิสัตว์จักเสด็จออกจากมือของอำมาตย์เหล่านั้น แล้วทรงประดิษฐานพระองค์อยู่ ณ แผ่นดินด้วยฝ่าพระบาทอันเรียบ และจักทรงประทับยืนทอดพระเนตรไปทางทิศตะวันออก ลำดับนั้น ธารน้ำร้อนและธารน้ำเย็นอันมีสีดังแก้วผลึกและแก้วมณีจักไหลจากอากาศมาสักการะพระมหาสัตว์ผู้มีพระวรกายหมดจดและพระมารดาเพื่อให้พระสรีระกายของทั้งสองพระองค์ได้รับไออุ่น
ครั้งนั้น บุพพนิมิต ๓๒ ประการ อาทิ เช่น แผ่นดินหวั่นไหว ดังมีประการดังกล่วมาในหนหลัง ก็ปรากฏขึ้นด้วยเพราะพระมหาสัตว์ทรงมีความอัศจรรย์เป็นอันมากที่ทรงปรากฏอย่างนั้น ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์จักทอดพระเนตรดูแล้วทรงรำพึงว่า “สัตว์โลกที่เสมอกับเราหรือยิ่งกว่าเราจะมีหรือไม่หนอ?”
ครั้งนั้นหลายแสนโกฏิจักรวาลจักปรากฏเป็นดุจเนินอันเดียวกันหมู่เทวดาและมนุษย์ในทิศตะวันออกนั้น จักเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้น มาบูชาพระองค์ แล้วจักป่าวประกาศร้องโดยพร้อมเพรียงกันว่า “ข้าแต่พระมหาบุรุษ ในที่นี้บุรุษผู้เช่นเดียวกันกับพระองค์ก็ไม่มี แล้วบุรุษผู้ยิ่งกว่าพระองค์จักปรากฏมีมาแต่ที่ไหน”
พระโพธิสัตว์ทรงทอดพระเนตรดูทิศทั้ง ๑๐ โดยสำคัญอย่างนี้คือ ทิศใหญ่ ๔ ทิศ อันประกอบด้วย ทิศบูรพา (ตะวันออก) ทิศประจิม (ตะวันตก) ทิศอุดร (เหนือ) ทิศทักษิณ (ใต้) ทิศน้อย ๔ ทิศ อันประกอบด้วย ทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องบน
เมื่อทรงทอดพระเนตรทิศทั้ง ๑๐ ดังนี้แล้ว ก็ไม่ทรงพบผู้ที่เช่นเดียวกันกับพระองค์แม้ในทิศนั้นๆ ลำดับนั้นทรงเห็นว่าทิศนี้เป็นทิศเหนือ จึงเสด็จพระดำเนินไป ๗ ก้าว ครั้งนั้น ท้าวมหาพรหมจักกั้นเศวตฉัตรถวาย ท้าวสุยามะจักถือพัดวาลวีชนีถวาย เทพบุตรตนหนึ่งจักถือพระขรรค์มงคลอันขจิต (ประดับ) ด้วยแก้ว ๗ ประการ เทพบุตรตนหนึ่งจักถือฉลองพระบาททอง เทพบุตรตนหนึ่งจักถือพระมงกุฎทิพย์
พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดเป็นเพียงพระกุมารน้อยๆ แต่จักทรงปรากฏพระองค์เป็นเสมือนมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา พระองค์ทรงเปลือยพระวรกาย แต่จักทรงปรากฏเสมอืนทรงนุ่งห่มผ้ากาสิกพัสตร์ พระองค์มิได้ทรงประดับพระองค์เลย แต่จักทรงปรากฏเสมือนทรงประดับด้วยเครื่องประดับแห่งพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลาย พระองค์ทรงเสด็จไปบนพื้นดินแต่จักปรากฏเสมือนทรงเหาะไปทางอากาศ แม้ในที่นั้นแสนโกฏิจักรวาลก็จักปรากฏเป็นดุจเนินอันเดียวกัน
ครั้งนั้น ณ ที่นั้น ท้าวมหาพรหมผู้ทรงประดับด้วยเครื่องประดับของพรหม จักทรงทำผ้าทุกูลพัสตร์ของพรหมให้เฉวียงพระอังศะ (บ่า) ข้างหนึ่ง แล้วทรงคู้มณฑลพระชานุ (หัวเข่า) ข้างขวาลงบนแผ่นดิน ทรงยกมณฑลพระชานุเบื้องซ้าย ทรงมีอานุภาพมากทรงสามารถจะแผ่แสงสว่างไปตลอด ๑,๐๐๐ จักรวาลด้วยนิ้วพระหัตถ์นิ้ว ๑ แล้วรวมเป็นหมื่นจักรวาลด้วยนิ้วพระหัตถ์ทั้ง ๑๐ นิ้ว อันหมู่พรหม ๑๐๐,๐๐๐ องค์แวดล้อมแล้ว ประคองอัญชลีเหนือพระเศียรกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ จักมีประโยชน์อันใดเล่า ที่จักทรงทอดพระเนตรทิศทั้งปวง เพราะในโลกธาตุอันไม่มีที่สุด นับแต่อเวจีมหานรกจนถึงภวัคคภูมิพรหมโลก สัตว์ทั้งหลายผู้จักเสมอ หรือยิ่งกว่าพระองค์ มิได้มีเลย”
ในกาลนั้น พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์เมื่อจะทรงเปล่ง อาสภิวาจา (คำประกาศพระองค์ว่าเป็นเอกในโลก) อันเป็นพุทธประเพณีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จักทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงอันกึกก้องไปทั่วสกลโลกว่า
“เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นใหญ่ เป็นผู้ยอดเยี่ยม ไม่มีผู้ยิ่งกว่าเราในโลก และชาตินี้จักเป็นชาติสุดท้ายแห่งเรา บัดนี้ภพใหม่มิได้มี”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
[๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ พระโพธิสัตว์ผู้ประสูติแล้ว
ได้ครู่หนึ่ง ประทับยืนด้วยพระบาททั้งสองอันสม่ำเสมอ ผินพระพักตร์ทางด้าน
ทิศอุดร เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว และเมื่อฝูงเทพดากั้นเสวตฉัตรตามเสด็จอยู่
ทรงเหลียวแลดูทั่วทุกทิศ เปล่งวาจาว่า เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่แห่งโลก
เราเป็นผู้ประเสริฐแห่งโลก ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ความเกิดอีกมิได้
มี ดังนี้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ลำดับนั้นท้าวจาตุมหาราชทั้ง ๔ จักเอาหนังเสือเหลืองอันมีสัมผัสสบายและสมมติกันว่าเป็นมงคล มารองรับพระโพธิสัตว์ด้วยพระหัตถ์ และเหล่าอำมาตย์จักพากันเทริดผ้าทุกูลพัสตร์อันมีเนื้อละเอียดมารองรับพระโพธิสัตว์ต่อจากพระหัตถ์ของท้าวจาตุมหาราชเหล่านั้น
พระโพธิสัตว์จักเสด็จออกจากมือของอำมาตย์เหล่านั้น แล้วทรงประดิษฐานพระองค์อยู่ ณ แผ่นดินด้วยฝ่าพระบาทอันเรียบ และจักทรงประทับยืนทอดพระเนตรไปทางทิศตะวันออก ลำดับนั้น ธารน้ำร้อนและธารน้ำเย็นอันมีสีดังแก้วผลึกและแก้วมณีจักไหลจากอากาศมาสักการะพระมหาสัตว์ผู้มีพระวรกายหมดจดและพระมารดาเพื่อให้พระสรีระกายของทั้งสองพระองค์ได้รับไออุ่น
ครั้งนั้น บุพพนิมิต ๓๒ ประการ อาทิ เช่น แผ่นดินหวั่นไหว ดังมีประการดังกล่วมาในหนหลัง ก็ปรากฏขึ้นด้วยเพราะพระมหาสัตว์ทรงมีความอัศจรรย์เป็นอันมากที่ทรงปรากฏอย่างนั้น ลำดับนั้นพระโพธิสัตว์จักทอดพระเนตรดูแล้วทรงรำพึงว่า “สัตว์โลกที่เสมอกับเราหรือยิ่งกว่าเราจะมีหรือไม่หนอ?”
ครั้งนั้นหลายแสนโกฏิจักรวาลจักปรากฏเป็นดุจเนินอันเดียวกันหมู่เทวดาและมนุษย์ในทิศตะวันออกนั้น จักเอาของหอมและดอกไม้เป็นต้น มาบูชาพระองค์ แล้วจักป่าวประกาศร้องโดยพร้อมเพรียงกันว่า “ข้าแต่พระมหาบุรุษ ในที่นี้บุรุษผู้เช่นเดียวกันกับพระองค์ก็ไม่มี แล้วบุรุษผู้ยิ่งกว่าพระองค์จักปรากฏมีมาแต่ที่ไหน”
พระโพธิสัตว์ทรงทอดพระเนตรดูทิศทั้ง ๑๐ โดยสำคัญอย่างนี้คือ ทิศใหญ่ ๔ ทิศ อันประกอบด้วย ทิศบูรพา (ตะวันออก) ทิศประจิม (ตะวันตก) ทิศอุดร (เหนือ) ทิศทักษิณ (ใต้) ทิศน้อย ๔ ทิศ อันประกอบด้วย ทิศอีสาน (ตะวันออกเฉียงเหนือ) ทิศหรดี (ตะวันตกเฉียงใต้) ทิศพายัพ (ตะวันตกเฉียงเหนือ) ทิศอาคเนย์ (ตะวันออกเฉียงใต้) ทิศเบื้องต่ำ และทิศเบื้องบน
เมื่อทรงทอดพระเนตรทิศทั้ง ๑๐ ดังนี้แล้ว ก็ไม่ทรงพบผู้ที่เช่นเดียวกันกับพระองค์แม้ในทิศนั้นๆ ลำดับนั้นทรงเห็นว่าทิศนี้เป็นทิศเหนือ จึงเสด็จพระดำเนินไป ๗ ก้าว ครั้งนั้น ท้าวมหาพรหมจักกั้นเศวตฉัตรถวาย ท้าวสุยามะจักถือพัดวาลวีชนีถวาย เทพบุตรตนหนึ่งจักถือพระขรรค์มงคลอันขจิต (ประดับ) ด้วยแก้ว ๗ ประการ เทพบุตรตนหนึ่งจักถือฉลองพระบาททอง เทพบุตรตนหนึ่งจักถือพระมงกุฎทิพย์
พระโพธิสัตว์ทรงบังเกิดเป็นเพียงพระกุมารน้อยๆ แต่จักทรงปรากฏพระองค์เป็นเสมือนมีพระชนมายุ ๑๖ พรรษา พระองค์ทรงเปลือยพระวรกาย แต่จักทรงปรากฏเสมอืนทรงนุ่งห่มผ้ากาสิกพัสตร์ พระองค์มิได้ทรงประดับพระองค์เลย แต่จักทรงปรากฏเสมือนทรงประดับด้วยเครื่องประดับแห่งพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลาย พระองค์ทรงเสด็จไปบนพื้นดินแต่จักปรากฏเสมือนทรงเหาะไปทางอากาศ แม้ในที่นั้นแสนโกฏิจักรวาลก็จักปรากฏเป็นดุจเนินอันเดียวกัน
ครั้งนั้น ณ ที่นั้น ท้าวมหาพรหมผู้ทรงประดับด้วยเครื่องประดับของพรหม จักทรงทำผ้าทุกูลพัสตร์ของพรหมให้เฉวียงพระอังศะ (บ่า) ข้างหนึ่ง แล้วทรงคู้มณฑลพระชานุ (หัวเข่า) ข้างขวาลงบนแผ่นดิน ทรงยกมณฑลพระชานุเบื้องซ้าย ทรงมีอานุภาพมากทรงสามารถจะแผ่แสงสว่างไปตลอด ๑,๐๐๐ จักรวาลด้วยนิ้วพระหัตถ์นิ้ว ๑ แล้วรวมเป็นหมื่นจักรวาลด้วยนิ้วพระหัตถ์ทั้ง ๑๐ นิ้ว อันหมู่พรหม ๑๐๐,๐๐๐ องค์แวดล้อมแล้ว ประคองอัญชลีเหนือพระเศียรกราบทูลว่า
“ข้าแต่พระองค์ผู้นิรทุกข์ จักมีประโยชน์อันใดเล่า ที่จักทรงทอดพระเนตรทิศทั้งปวง เพราะในโลกธาตุอันไม่มีที่สุด นับแต่อเวจีมหานรกจนถึงภวัคคภูมิพรหมโลก สัตว์ทั้งหลายผู้จักเสมอ หรือยิ่งกว่าพระองค์ มิได้มีเลย”
ในกาลนั้น พระศรีอริยเมตไตรยโพธิสัตว์เมื่อจะทรงเปล่ง อาสภิวาจา (คำประกาศพระองค์ว่าเป็นเอกในโลก) อันเป็นพุทธประเพณีของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จักทรงตรัสด้วยพระสุรเสียงอันกึกก้องไปทั่วสกลโลกว่า
“เราเป็นผู้เลิศ เป็นผู้ประเสริฐ เป็นใหญ่ เป็นผู้ยอดเยี่ยม ไม่มีผู้ยิ่งกว่าเราในโลก และชาตินี้จักเป็นชาติสุดท้ายแห่งเรา บัดนี้ภพใหม่มิได้มี”
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++
ความคิดเห็นที่ 63
ช้าก่อนท่านทั้งหลาย ใจเย็นๆ
หากท่านอ่าน แฮรรี่ พอตเตอร์ ท่านเชื่อหรือไม่ ว่าเรื่องจริง?
หากท่านอ่าน แวมไพร์ ทไวไลท์ ท่านเชื่อหรือไม่ ว่าเรื่องจริง?
นักวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ หาแหล่งอ้างอิง หลักฐาน เพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของคน
เช่น กระโหลกหรือกระดูกมนุษย์ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือทำมาหากิน ไม่ใช่จากหนังสือเล่มเดียว
เช่นกันกับคัมภีร์เล่มนึง ที่มีพวกมโน พวกมั่ว พวกที่ไม่เข้าใจโลก ไม่รู้ว่าโลกแบน ไม่รู้ว่าโลกเป็นดาวบริวาร
ช่วยๆกันแต่งขึ้นมาเพื่อปกครองคน ใครไม่ฟังฆ่าเลย ใครไม่เชื่อมันคือแม่มด จับมันไปเผา
ยุคนี้ก็ยังมีอยู่ เอะอะยิง เอะอะเอาเก้าอี้ฟาด
ถามเราว่าเชื่อไหม เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า
... แต่เราเชื่อคำสอน ใจกลาง แก่นแท้ ที่ว่า อริยสัจ ๔ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ หนทางสู่การดับทุกข์ ซึ่งก็คือนิพพาน
นี่ขนาดเราเป็นเอทิส เรายังอธิบาย ศาสนาพุทธให้คนเข้าใจได้เลย
แต่พุธโธเลี่ยน ก๊อปวางอย่างเดียว เถียงแบบไร้เหตุผล แล้วก็ท้าตีท้าต่อย โชว์ปืน สาปแช่งคนอื่นให้ตกนรก
ถ้าพระพุทธเจ้ายังอยู่ตอนนี้ คงจะเสียใจมากอะ ไม่เคยสอนให้สร้างจานบิน บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย
สอนแต่ให้ปล่อยวาง เดินทางสายกลาง ใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ไปติดตามเพจ ฝากโกสต์ ไทยเอทิส บุดด้าฮาเฮ บ้างนะคะ สาระมาเต็ม ศึกษาค้นคว้า ดีกว่าพวกที่ดีแต่ต่อว่าอีก
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ บ้าง ไอคนไม่มีศาสนา บ้าง ข้ารับใช้ซาตาน บ้าง
คนไม่นับถือศาสนา เข้าใจศาสนา มากกว่าพวกคุณอีก
คนที่บอกนับถือศาสนา แต่ไม่เข้าถึงศาสนาเลย แม้แต่น้อย
ต้องแก้รัฐธรรมนูญแบบญี่ปุ่นไหม ศาสนาเป็นสิทธิ์อันชอบธรรม
จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ เขียนการ์ตูนก็ได้แบบตอน Saint Young Man อะ
ประเทศนี้จะได้เจริญสักที
หากท่านอ่าน แฮรรี่ พอตเตอร์ ท่านเชื่อหรือไม่ ว่าเรื่องจริง?
หากท่านอ่าน แวมไพร์ ทไวไลท์ ท่านเชื่อหรือไม่ ว่าเรื่องจริง?
นักวิทยาศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ หาแหล่งอ้างอิง หลักฐาน เพื่อพิสูจน์การมีอยู่ของคน
เช่น กระโหลกหรือกระดูกมนุษย์ เครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือทำมาหากิน ไม่ใช่จากหนังสือเล่มเดียว
เช่นกันกับคัมภีร์เล่มนึง ที่มีพวกมโน พวกมั่ว พวกที่ไม่เข้าใจโลก ไม่รู้ว่าโลกแบน ไม่รู้ว่าโลกเป็นดาวบริวาร
ช่วยๆกันแต่งขึ้นมาเพื่อปกครองคน ใครไม่ฟังฆ่าเลย ใครไม่เชื่อมันคือแม่มด จับมันไปเผา
ยุคนี้ก็ยังมีอยู่ เอะอะยิง เอะอะเอาเก้าอี้ฟาด
ถามเราว่าเชื่อไหม เราไม่เชื่อพระพุทธเจ้า
... แต่เราเชื่อคำสอน ใจกลาง แก่นแท้ ที่ว่า อริยสัจ ๔ ทุกข์ เหตุแห่งทุกข์ การดับทุกข์ หนทางสู่การดับทุกข์ ซึ่งก็คือนิพพาน
นี่ขนาดเราเป็นเอทิส เรายังอธิบาย ศาสนาพุทธให้คนเข้าใจได้เลย
แต่พุธโธเลี่ยน ก๊อปวางอย่างเดียว เถียงแบบไร้เหตุผล แล้วก็ท้าตีท้าต่อย โชว์ปืน สาปแช่งคนอื่นให้ตกนรก
ถ้าพระพุทธเจ้ายังอยู่ตอนนี้ คงจะเสียใจมากอะ ไม่เคยสอนให้สร้างจานบิน บูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย
สอนแต่ให้ปล่อยวาง เดินทางสายกลาง ใช้ชีวิตให้มีความสุข ไม่เบียดเบียนผู้อื่น
ไปติดตามเพจ ฝากโกสต์ ไทยเอทิส บุดด้าฮาเฮ บ้างนะคะ สาระมาเต็ม ศึกษาค้นคว้า ดีกว่าพวกที่ดีแต่ต่อว่าอีก
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ บ้าง ไอคนไม่มีศาสนา บ้าง ข้ารับใช้ซาตาน บ้าง
คนไม่นับถือศาสนา เข้าใจศาสนา มากกว่าพวกคุณอีก
คนที่บอกนับถือศาสนา แต่ไม่เข้าถึงศาสนาเลย แม้แต่น้อย
ต้องแก้รัฐธรรมนูญแบบญี่ปุ่นไหม ศาสนาเป็นสิทธิ์อันชอบธรรม
จะมีก็ได้ ไม่มีก็ได้ เขียนการ์ตูนก็ได้แบบตอน Saint Young Man อะ
ประเทศนี้จะได้เจริญสักที
แสดงความคิดเห็น
พระพุทธเจ้าประสูติมาแล้วเดินได้7ก้าวเลยเป็นเรื่องจริงหรอครับ