สวัสดีครับเพื่อนๆชาวพันทิปนี่เป็นกระทู้แรกของผมในพันทิปฝากติชมด้วยครับ
ทริปที่ผมจะมารีวิวนี่เป็นการเดินทางจากกรุงเทพไปยังวังเวียงที่กำลังเป็นที่นิยมในเวลานี่
ก่อนไปก็แอบหวั่นๆ เนื่องจากมีข่าวว่าเกิดน้ำท่วมที่ลาว
แต่เมื่อวางแผนไว้แล้วก็ต้องลุยหละ
เพราะพี่ตูนบอกไว้ว่าชีวิตยังต้องไปต่อ ลุย!!!!!
ผมเลือกเดินทางออกจากกรุงเทพด้วยรถไฟ
โดยใช้บริการรถไฟชั้น 2 นั่งปรับอากาศ (ตอนแรกตั้งใจจะไปรถนอนแต่ว่ารถนอนเต็ม)
เมือถึงเวลา ทุ่มครึ่ง ใกล้เวลารถออกก็ถึงเวลาไปดูรถที่จะพาผมไปยังจังหวัดอุดร
เมื่อถึงขบวนรถก็ต้องรู้สึกเซอไพร์สมาก เนื่องจากรถ ดูดีเกินคาด เบาะนั่งสบาย
อีกทั้งมีความโชคดีเล็กน้อยที่นั่งผมติดกับปลั๊กไฟ แบตโทรศัพท์ผมไม่หมดแน่นอน
สเน่ห์ของการเดินทางบนรถไฟ เราจะได้เห็นคนต่างๆมากมายทั้งคนไทยและคนต่างชาติ
โดยการเดินทางครั้งนี้ผมจะเห็นเยอะเป็นพิเศษเนื่องจากขบวนผมอยู่ติดกับรถเสบียง
ที่ซึ่งผู้โดยสารจะคอยเดินพลัดเปลี่ยนเปลี่ยนหมุนเวียนมาลิ้มชิมรสที่ขบวนนี้
แต่ด้วยความที่ก่อนขึ้นรถผมได้ไปจัด หมูสเต๊ะ เจ้าเด็ด แถวๆสถานีหัวลำโพงไปแล้ว จึงอดไปใช้บริการ
เมื่อถึงเวลาสองทุ่มรถออก ก็ได้เวลาภารกิจหลักของการนั่งรถไฟ..นอน นั่นเอง แต่แล้วสิ่งที่ทรมานที่สุดก็ก็มาถึง ด้วยความที่ขบวนอยู่ติดกับรถเสบียงทำให้กลิ่นหอมของอาหารลอยมาให้เกิดกิเลสอยู่เป็นช่วงๆ แต่ก็ต้องแข็งใจไว้ ช่างเป็นค่ำคื่นที่ยาวนาน -_-
เมื่อถึงรุ่งเช้าผมตื่นมาด้วยเสียงร้องเพลงของพนักงานรถเสบียง
“กู๊ดมอนิ่ง กู๊ดมอนิ่ง เอกอีเอ้กเอ้ก”
มันทำให้ผมรู้สึกอมยิ้มไปได้ ใจนึ่งก็อยากจะลองลิ้มชิ้มรสอาหารของรถเสบียง
แต่ด้วยความที่วางแผนไว้แล้วว่าจะไปกินอาหารเช้าที่ตัวเมืองอุดรจึงต้องหักห้ามใจไว้
เมื่อถึงอุดร ก็ถึงเวลาอาหารเช้าผมตัดสินใจเดินจากสถานีรถไฟอุดรไปยังร้านอาหาร
ระยะทางจากสถานีอุดรไปยังร้านห่างประมาณ 2 กิโล
ร้านที่เลือกไปลองมีชื่อว่าคิงส์โอชา ผมจัดการสั่งสตูว์ไก่+ไข่กระทะ+นมสดเย็น สนนราคาอยู่ที่ 90 บาท
รสชาติถือว่าไม่ธรรมดาควรค่าแก่การมาลิ้มลอง
เมืออิ่มท้อง ก็ตัดสินใจไปดูเป็ด ที่หนองประจักษ์ กันต่อ นั่งเล่นยามเช้า รอเพื่อน ตามมาสมทบ(เครื่องบินถึงตอนเที่ยง)
น้องเป็ดดูลมไม่ค่อยแน่นซักเท่าไหร่
ชอบป้ายของ หนองประจักษ์ แม้จะอ่านยากไปสักหน่อย
อันนี้เป็นศาลหลักเมืองประจำจังหวัดอุดร
เมื่อพักหายเหนื่อยได้สักพักก็ตัดสินใจเดินกลับไปยัง บขส. อุดร เพื่อ สอบถามตั๋วที่จะข้ามไปเวียงจันทร์
ได้ความว่าโดยปกติจะมีรถออกอยู่ตลอด แต่จะมีเป็นรถลาวและรถไทยเมื่อผมดูเวลาคราวๆ ก็เลือกที่จะไปรอบ บ่ายสองโมง
หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่ก็ได้ความว่าค่ารถจากอุดรไปเวียงจันทร์ตกอยู่ที่ 80 บาท
เมื่อทราบข้อมูลแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมต้องรอเพื่อน ด้วยความที่ บขส.อุดร กับเซ็นทรัลอุดร ใกล้กันมาก
ผมจึงตัดสินใจไปรอเพื่อนที่ เซ็นทรัล บรรยากาศตอนเช้า ก่อนห้างเปิด ไม่ต่างจากกรุงเทพฯ มีวัยรุ่นมารอห้างเปิดกันอยู่จำนวนมาก
เมือเพื่อนมาถึงก็ได้เวลาไปซื้อตั๋ว แต่แล้วก็ต้องเจอปัญหาแรกของทริป รถที่จะนั่งไปเวียงจันทร์ไม่รับนั่งท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ไม่มีวีซ่าเข้าลาว เนื่องจากเขาให้เหตุผลว่า นักท่องเที่ยวที่ไม่มีวีซ่าต้องเสียเวลาทำวีซ่านาน รถบัสจะไม่รอ ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนขึ้นรถตู้ไปลงด่านหนองคายแล้วหารถต่อไปเอง
โดยเราขึ้นรถตู้จาก บขส.อุดรเลย ค่ารถจากอุดรไปด่านหนองคายอยู่ที่ 50 บาท
เมื่อถึงด่านเราก็เดินไปทำเรื่องผ่านคนเข้าเมือง โดยเพื่อนชาวอเมริกัน ต้องถ่ายรูป เพื่อนำไปทำวีซ่า
โดยหน้าด่านจะมีบริการถ่ายรูปบริการให้อยู่แล้ว ราคาอยู่ที่ 100 บาท ได้รูป 6 ใบ เมื่อถ่ายรูปเสร็จเราก็ไปกรอกใบข้ามแดนตามปกติ
เมื่อผ่านด่านไทยแล้ว จะมีรถบริการ ข้ามไปฝั่งลาว ราคาอยู่ที่ 15 บาท เป็นรถบัส แล้วแต่รอบว่าเราจะได้รถแบบไหน
เมื่อข้ามไปยังฝั่งลาวจะมี TAXI มาเสนอราคาหลายคนมาก ซึ่งจะราคาแพง เราต้องคอยปฏิเสธ
เพราะถ้าเดินไปอีกนิดก็จะมีรถบัสราคาถูกเข้าถึงตัวเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นรถประจำทางอยู่แล้ว
จะถูกกว่าหลายเท่าตัว ระหว่างที่รอเพื่อนทำวีซ่า TAXI ก็จะคอยมาเสนอราคา ลดลงให้เรื่อย
นาทีนี้เราต้องใช้ความใจที่แข็ง อย่างมาก เมื่อวีซ่าชั่วคราวของเพื่อนเสร็จก็ถึงเวลาผ่านด่านลาว ซึ่งก็ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
ตรงบริเวรด่านลาวจะมีบริการ ซิมโทรศัพท์อินเตอร์เนต
เราก็ไม่รอช้าที่จะรีบซื้อ ซิมมาใส่ เพื่อชีวิตโซเชียลจะได้ไม่ตกหล่น
ซิมก็จะมีหลายแบบ 1 วัน 30 วัน แล้วแต่ว่าเรามากี่วัน ครั้งนี้ ผมเลือก แบบ 30 วัน ใช้ได้ 5 GB ซึ่งเหลือใช้แน่นอน
หลังจากซื้อซิมเสร็จก็ถึงเวลา เข้าเมืองเวียงจันทน์ เราเดินดุ่มด้วยความไม่รู้ และแล้วเราก็แพ้ให้กับ TAXI จนได้
เขาเสนอราคาเข้าเมืองเวียงจันทน์ในราคา 150 บาท ซึ่งถูกกว่าเจ้าที่ตรงด่านอย่างมาก เราจึงหลวมตัวขึ้นไป
มารู้ตอนหลังว่าเดินไปอีกนิดก็ถึงรถบัส เที่ยวละไม่กี่บาทแล้ว เมื่อถึงตัวเมืองเวียงจันทน์ เพื่อนก็ได้ติดต่อเพื่อนชาวลาวว่าจะเจอที่ไหนดี เมือเพื่อนชาวลาวนัดเจอที่อเมซอน ซึ่งห่างจากจุดที่ให้แท๊กซี่ ขับมาส่งประมาณ 1 KM จึงบอก TAXI ว่า ไปส่งตรงนั้นให้หน่อย นาทีนั้นเราโดน TAXI โก่งราคาไปอีก 50 บาท รวมแล้วต้องเสียเงินให้ TAXI 200 บาท
เมื่อเพื่อนชาวลาวมาถึง ก็ถึงเวลาเดินหา โรงแรม เราเดินดูโรงแรมประมาณ 3 โรงแรม จึงตัดสินใจเอาโรงแรมแรก โดยได้ราคา อยู๋ ที่ 950 บาท พัก 3 คน มีอาหารเช้า ให้ ซึ่งราคาถือว่ารับได้ เมื่อได้ห้อง ก็ถึงเวลาพักเหนื่อย อาบน้ำ รอออกไปท่องราตรียามค่ำคืน ที่เวียงจันทร์
เพื่อนชาวลาวพาไปเดินตลาดนัดริมแม่น้ำโขง บรรยากาศก็จะเหมือนกับตลาดนัดบ้านเรา หลังจากนั้นก็ถึงเวลาปาร์ตี้ เราไปนั่งอยู่ที่ร้าน 3 แยก บรรยากาศในร้านไม่ต่างจากบ้านเราเลย ที่เห็นได้ชัดคือเพลงที่เปิดส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพลงไทยทั้งสิ้น เมื่อกินกันได้สักพัก ก็ถึงเวลาเปลี่ยนร้าน เราก็ได้ตระเวน ไปอีก2-3 ร้าน บรรยากาศ +เพลง ทำให้รู้ได้เลยว่า ที่เขาบอกว่า ลาวกับไทย เป็นบ้านพี่เมืองน้องมันเป็นแบบนี้นี่เอง วัฒนธรรม ช่างใกล้เคียงกันซะจริงๆเลย
[CR] กรุงเทพ อุดร เวียงจันทน์ วังเวียง แบบมั่วๆ ซั่วๆ ตอนที่ 1
ผมเลือกเดินทางออกจากกรุงเทพด้วยรถไฟ
โดยใช้บริการรถไฟชั้น 2 นั่งปรับอากาศ (ตอนแรกตั้งใจจะไปรถนอนแต่ว่ารถนอนเต็ม)
เมือถึงเวลา ทุ่มครึ่ง ใกล้เวลารถออกก็ถึงเวลาไปดูรถที่จะพาผมไปยังจังหวัดอุดร
เมื่อถึงขบวนรถก็ต้องรู้สึกเซอไพร์สมาก เนื่องจากรถ ดูดีเกินคาด เบาะนั่งสบาย
อีกทั้งมีความโชคดีเล็กน้อยที่นั่งผมติดกับปลั๊กไฟ แบตโทรศัพท์ผมไม่หมดแน่นอน
สเน่ห์ของการเดินทางบนรถไฟ เราจะได้เห็นคนต่างๆมากมายทั้งคนไทยและคนต่างชาติ
โดยการเดินทางครั้งนี้ผมจะเห็นเยอะเป็นพิเศษเนื่องจากขบวนผมอยู่ติดกับรถเสบียง
ที่ซึ่งผู้โดยสารจะคอยเดินพลัดเปลี่ยนเปลี่ยนหมุนเวียนมาลิ้มชิมรสที่ขบวนนี้
แต่ด้วยความที่ก่อนขึ้นรถผมได้ไปจัด หมูสเต๊ะ เจ้าเด็ด แถวๆสถานีหัวลำโพงไปแล้ว จึงอดไปใช้บริการ
เมื่อถึงเวลาสองทุ่มรถออก ก็ได้เวลาภารกิจหลักของการนั่งรถไฟ..นอน นั่นเอง แต่แล้วสิ่งที่ทรมานที่สุดก็ก็มาถึง ด้วยความที่ขบวนอยู่ติดกับรถเสบียงทำให้กลิ่นหอมของอาหารลอยมาให้เกิดกิเลสอยู่เป็นช่วงๆ แต่ก็ต้องแข็งใจไว้ ช่างเป็นค่ำคื่นที่ยาวนาน -_-
เมื่อถึงรุ่งเช้าผมตื่นมาด้วยเสียงร้องเพลงของพนักงานรถเสบียง
“กู๊ดมอนิ่ง กู๊ดมอนิ่ง เอกอีเอ้กเอ้ก”
มันทำให้ผมรู้สึกอมยิ้มไปได้ ใจนึ่งก็อยากจะลองลิ้มชิ้มรสอาหารของรถเสบียง
แต่ด้วยความที่วางแผนไว้แล้วว่าจะไปกินอาหารเช้าที่ตัวเมืองอุดรจึงต้องหักห้ามใจไว้
เมื่อถึงอุดร ก็ถึงเวลาอาหารเช้าผมตัดสินใจเดินจากสถานีรถไฟอุดรไปยังร้านอาหาร
ระยะทางจากสถานีอุดรไปยังร้านห่างประมาณ 2 กิโล
ร้านที่เลือกไปลองมีชื่อว่าคิงส์โอชา ผมจัดการสั่งสตูว์ไก่+ไข่กระทะ+นมสดเย็น สนนราคาอยู่ที่ 90 บาท
รสชาติถือว่าไม่ธรรมดาควรค่าแก่การมาลิ้มลอง
เมืออิ่มท้อง ก็ตัดสินใจไปดูเป็ด ที่หนองประจักษ์ กันต่อ นั่งเล่นยามเช้า รอเพื่อน ตามมาสมทบ(เครื่องบินถึงตอนเที่ยง)
น้องเป็ดดูลมไม่ค่อยแน่นซักเท่าไหร่
ชอบป้ายของ หนองประจักษ์ แม้จะอ่านยากไปสักหน่อย
อันนี้เป็นศาลหลักเมืองประจำจังหวัดอุดร
เมื่อพักหายเหนื่อยได้สักพักก็ตัดสินใจเดินกลับไปยัง บขส. อุดร เพื่อ สอบถามตั๋วที่จะข้ามไปเวียงจันทร์
ได้ความว่าโดยปกติจะมีรถออกอยู่ตลอด แต่จะมีเป็นรถลาวและรถไทยเมื่อผมดูเวลาคราวๆ ก็เลือกที่จะไปรอบ บ่ายสองโมง
หลังจากสอบถามเจ้าหน้าที่ก็ได้ความว่าค่ารถจากอุดรไปเวียงจันทร์ตกอยู่ที่ 80 บาท
เมื่อทราบข้อมูลแล้ว ตอนนี้ก็ถึงเวลาที่ผมต้องรอเพื่อน ด้วยความที่ บขส.อุดร กับเซ็นทรัลอุดร ใกล้กันมาก
ผมจึงตัดสินใจไปรอเพื่อนที่ เซ็นทรัล บรรยากาศตอนเช้า ก่อนห้างเปิด ไม่ต่างจากกรุงเทพฯ มีวัยรุ่นมารอห้างเปิดกันอยู่จำนวนมาก
เมือเพื่อนมาถึงก็ได้เวลาไปซื้อตั๋ว แต่แล้วก็ต้องเจอปัญหาแรกของทริป รถที่จะนั่งไปเวียงจันทร์ไม่รับนั่งท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่ไม่มีวีซ่าเข้าลาว เนื่องจากเขาให้เหตุผลว่า นักท่องเที่ยวที่ไม่มีวีซ่าต้องเสียเวลาทำวีซ่านาน รถบัสจะไม่รอ ทำให้เราต้องเปลี่ยนแผนขึ้นรถตู้ไปลงด่านหนองคายแล้วหารถต่อไปเอง
โดยเราขึ้นรถตู้จาก บขส.อุดรเลย ค่ารถจากอุดรไปด่านหนองคายอยู่ที่ 50 บาท
เมื่อถึงด่านเราก็เดินไปทำเรื่องผ่านคนเข้าเมือง โดยเพื่อนชาวอเมริกัน ต้องถ่ายรูป เพื่อนำไปทำวีซ่า
โดยหน้าด่านจะมีบริการถ่ายรูปบริการให้อยู่แล้ว ราคาอยู่ที่ 100 บาท ได้รูป 6 ใบ เมื่อถ่ายรูปเสร็จเราก็ไปกรอกใบข้ามแดนตามปกติ
เมื่อผ่านด่านไทยแล้ว จะมีรถบริการ ข้ามไปฝั่งลาว ราคาอยู่ที่ 15 บาท เป็นรถบัส แล้วแต่รอบว่าเราจะได้รถแบบไหน
เมื่อข้ามไปยังฝั่งลาวจะมี TAXI มาเสนอราคาหลายคนมาก ซึ่งจะราคาแพง เราต้องคอยปฏิเสธ
เพราะถ้าเดินไปอีกนิดก็จะมีรถบัสราคาถูกเข้าถึงตัวเวียงจันทร์ ซึ่งเป็นรถประจำทางอยู่แล้ว
จะถูกกว่าหลายเท่าตัว ระหว่างที่รอเพื่อนทำวีซ่า TAXI ก็จะคอยมาเสนอราคา ลดลงให้เรื่อย
นาทีนี้เราต้องใช้ความใจที่แข็ง อย่างมาก เมื่อวีซ่าชั่วคราวของเพื่อนเสร็จก็ถึงเวลาผ่านด่านลาว ซึ่งก็ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย
ตรงบริเวรด่านลาวจะมีบริการ ซิมโทรศัพท์อินเตอร์เนต
เราก็ไม่รอช้าที่จะรีบซื้อ ซิมมาใส่ เพื่อชีวิตโซเชียลจะได้ไม่ตกหล่น
ซิมก็จะมีหลายแบบ 1 วัน 30 วัน แล้วแต่ว่าเรามากี่วัน ครั้งนี้ ผมเลือก แบบ 30 วัน ใช้ได้ 5 GB ซึ่งเหลือใช้แน่นอน
หลังจากซื้อซิมเสร็จก็ถึงเวลา เข้าเมืองเวียงจันทน์ เราเดินดุ่มด้วยความไม่รู้ และแล้วเราก็แพ้ให้กับ TAXI จนได้
เขาเสนอราคาเข้าเมืองเวียงจันทน์ในราคา 150 บาท ซึ่งถูกกว่าเจ้าที่ตรงด่านอย่างมาก เราจึงหลวมตัวขึ้นไป
มารู้ตอนหลังว่าเดินไปอีกนิดก็ถึงรถบัส เที่ยวละไม่กี่บาทแล้ว เมื่อถึงตัวเมืองเวียงจันทน์ เพื่อนก็ได้ติดต่อเพื่อนชาวลาวว่าจะเจอที่ไหนดี เมือเพื่อนชาวลาวนัดเจอที่อเมซอน ซึ่งห่างจากจุดที่ให้แท๊กซี่ ขับมาส่งประมาณ 1 KM จึงบอก TAXI ว่า ไปส่งตรงนั้นให้หน่อย นาทีนั้นเราโดน TAXI โก่งราคาไปอีก 50 บาท รวมแล้วต้องเสียเงินให้ TAXI 200 บาท
เมื่อเพื่อนชาวลาวมาถึง ก็ถึงเวลาเดินหา โรงแรม เราเดินดูโรงแรมประมาณ 3 โรงแรม จึงตัดสินใจเอาโรงแรมแรก โดยได้ราคา อยู๋ ที่ 950 บาท พัก 3 คน มีอาหารเช้า ให้ ซึ่งราคาถือว่ารับได้ เมื่อได้ห้อง ก็ถึงเวลาพักเหนื่อย อาบน้ำ รอออกไปท่องราตรียามค่ำคืน ที่เวียงจันทร์
เพื่อนชาวลาวพาไปเดินตลาดนัดริมแม่น้ำโขง บรรยากาศก็จะเหมือนกับตลาดนัดบ้านเรา หลังจากนั้นก็ถึงเวลาปาร์ตี้ เราไปนั่งอยู่ที่ร้าน 3 แยก บรรยากาศในร้านไม่ต่างจากบ้านเราเลย ที่เห็นได้ชัดคือเพลงที่เปิดส่วนใหญ่แล้วจะเป็นเพลงไทยทั้งสิ้น เมื่อกินกันได้สักพัก ก็ถึงเวลาเปลี่ยนร้าน เราก็ได้ตระเวน ไปอีก2-3 ร้าน บรรยากาศ +เพลง ทำให้รู้ได้เลยว่า ที่เขาบอกว่า ลาวกับไทย เป็นบ้านพี่เมืองน้องมันเป็นแบบนี้นี่เอง วัฒนธรรม ช่างใกล้เคียงกันซะจริงๆเลย