ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม เป้าหมายหลักของการเดินทางคือนาขั้นบันไดแห่งบ้านป่าบงเปียง ที่เพียงได้เห็นรูปในเว็บแค่หนเดียวก็บอกกับตัวเองว่า “หนูจาปาย หนูจาปาย” (เอิ่ม) แต่ไปแล้วทั้งทีเราเลยขอเพิ่มดอยอินทนนท์ บ้านแม่กลางหลวง แล้วก็ตัวเมืองเชียงใหม่เข้าไปในทริปด้วยเลยดีกว่า
อ่ะ ๆ และสำหรับใครที่ขับรถไม่เป็นหรือไม่มีรถ ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะทริปนี้พกไปแค่ 4 อย่างก็ได้ คือ . . . ร่างกาย หัวใจ เป้ 1 ใบ และเงิน !
ปล. สำหรับค่าใช้จ่าย แผนที่ และแผนการเดินทางจะแปะไว้ให้หลังสุดนะคะ
กรุงเทพ - อาเขต - ตัวเมือง
เราเลือกนั่งรถทัวร์จากหมอชิตไปลงอาเขต (สถานีขนส่งช.ม.) แล้วต่อ
รถสองแถวแดง (20 บาท) เข้าเมือง เพียงไม่กี่นาทีก็ถึงประตูเมืองเชียงใหม่ เดินเล่นชมตลาดเช้าพร้อมทานมื้อเช้าเป็นโจ๊กร้อน ๆ ก่อนจะขึ้น
รถสองแถวเหลืองเชียงใหม่-จอมทอง (34 บาท) มุ่งสู่
พระธาตุจอมทอง กระซิบนิดนึงว่าเป็นรถที่ขับแบบต่ะ ต่อน ยอน มากเพราะชิลล์จนหลับไปได้หนึ่งตื่น โดยระหว่างทางก็มีฝนตก ๆ หยุด ๆ เป็นระยะ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาของเชียงใหม่ในช่วงหน้าฝน . . .
“ถึงแล้ว พระธาตุจอมทอง” สำเนียงเหนือของคุณลุงคนขับแว่วเข้ามาในหู . . . เราจ่ายเงินด้วยความงัวเงียแล้วลงจากรถ ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงจอมทอง ประตูแรกสู่ดอยอินทนนท์ หากมีเวลาก็แวะเข้าไปกราบ
พระธาตุจอมทอง สักนิดเพื่อความเป็นสิริมงคล
เอาละ ! ได้เวลาขึ้นดอยกันแล้ว . . . โดยตัวเลือกสำหรับการขึ้นดอยอินทนนท์นั้นมีอยู่ 2 วิธีหลัก ๆ คือ รถตู้และสองแถวเหลือง หากอยากแวะเที่ยวด้วยก็ต้องอาศัยการเหมาเอา ถ้าคนเยอะก็ถูก คนน้อยราคาก็สูงตามไป ส่วนเราเลือก
เหมารถสองแถวเหลืองเที่ยวดอย ในราคา 1,200 บาท
โดยโปรแกรมของพี่คนขับคือ น้ำตกวชิรธาร อ่างกาหลวง ขึ้นสูงถึงพระธาตุดอยอินทร์ แล้วแวะช้อปที่ตลาดชาวเขา ก่อนจะไปส่งเราที่บ้านแม่กลางหลวงซึ่งเป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้
เที่ยวดอยอินทนนท์
มาดอยอินทนนท์ช่วงหน้าฝนแบบนี้ บรรยากาศชุ่มฉ่ำมาก ๆ หมอกหนาเต็มไปหมด ระหว่างทางนี่ทั้งเพลิน ทั้งฟิน แต่พี่คนนี้คงฟินน่าดู นับถือ ๆ
ถึงแล้วค่ะ
น้ำตกวชิรธาร ใหญ่โตโอ่อ่าสุด ๆ เข้าไปใกล้ ๆ นี่น้ำกระเซ็นแรงจังฮู้ ! ช่วงนี้ก็พักทานข้าว แต่ที่ชอบมาก ๆ คงเป็นการนั่งจิบคาปูชิโน่ร้อน ๆ พลาง มองน้ำตกพลาง แถมยังมีที่นั่งแบบนั่งหย่อนขาได้อีกด้วย
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงจุดที่ 2
อ่างกาหลวง เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติสายสั้น ๆ แต่เสมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่งจริง ๆ ยิ่งหน้าฝนด้วยแล้ว ต้นไม้เขียว ๆ มันช่างชื่นใจ (หากใครมาในฤดูอื่นลองเพิ่มเส้นทางกิ่วแม่ปานเข้าไปในทริปด้วยก็ดี แต่หน้าฝนแบบนี้จะเปิดแค่อ่างกาหลวงเท่านั้น)
ต่อไปเราจะเดินทางไปจุดสูงสุดของไทยอย่างแท้จริงคือ
พระธาตุดอยอินทร์ หรือพระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ระหว่างทางหมอกหนามาก ๆ หนาวฉ่ำเลยทีเดียว พอถึงพระธาตุดอยอินทร์ เราแทบมองไม่เห็นอะไรเลย แต่แค่ได้ขึ้นไปกราบพระธาตุก็อิ่มใจมากแล้ว
ในที่สุดเรามาถึงจุดสุดท้ายของทัวร์รถเหลือง
ตลาดชาวเขา นั่นเอง สำหรับคนเมืองอย่างเรามีของตื่นตาตื่นใจมากมาย ยิ่งเมื่อผสานกับความน่ารักของพ่อค้าแม่ค้าชาวเขาก็ยิ่งเสียงสตางค์ไปอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นสตอเบอรี่อบแห้ง ฟักทองทอด เผือกทอด และที่โดนใจคือไวน์ผลไม้รสเลิศ
บ้านแม่กลางหลวง
ช่วงบ่ายพี่คนขับก็พาเรามาถึงบ้านแม่กลางหลวง หากขับมาจากข้างล่างจะถึงก่อนที่ทำการอุทยานนิดนึง หน้าหมู่บ้านมีร้านค้า ร้านอาหารอยู่ด้วย
จอดรถที่หน้าหมู่บ้านแล้วโทรหาพี่เจ้าของบ้านอยู่นาน แต่ไม่มีสัญญาณเลย . . . พี่คนขับสุดหล่อเลยขับพาเราขึ้นไปถึงข้างบนซึ่งถนนเละมากแต่ก็ยังไม่เจอ บังเอิ๋นบังเอิญโทรติดพอดีเลยพอได้ความว่าให้มาที่
ร้านกาแฟของพี่สมศักดิ์ สุดท้ายเราก็ได้บ้านพักแล้ว อยู่ข้างบนเลย ชื่อบ้านน่ารักว่า “บ้านเคียงนา” โดยบ้านนี้เราโทรไปจองก่อนในราคาเพียงหลังละ 700 บาท ของจริงนอนได้หลายคน มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยแต่ว่าไม่มีแอร์
ช่วงเย็นเราก็ดื่มด่ำกับบรรยากาศของบ้านแม่กลางหลวงตั้งแต่เดินเล่น ทานข้าว ถ่ายรูป แต่ขอบอกว่าช่วงเช้าฟินกว่ามากมาย !
อรุณสวัสดิ์บ้านแม่กลางหลวง
เมื่อคืนได้สัมผัสภาพแม่กลางหลวงตั้งแต่ช่วงบ่ายจนฟ้ามืด วันนี้เราเลยรีบตื่นแต่เช้าเพื่อมาสัมผัสกับทุ่งนาสีเขียวในตอนเช้าตรู่กัน
หากพูดถึงร้านกาแฟของที่นี่ต้องห้ามพลาด
ร้านกาแฟบ้านพี่สมศักดิ์ เจ้าของเดียวกับโทนาฟ เอ่ย ! เจ้าของเดียวกับบ้านพักของเรานั่นเอง โดยจุดเด่นของที่นี่คือเราจะได้ชิมกาแฟต้มสด ๆ ตำรับแม่กลางหลวงพลางแลกเปลี่ยนบทสนทนากับเจ้าบ้านอย่างอบอุ่น และหากติดใจรสชาติกาแฟก็สามารถซื้อกลับไปได้อีกด้วย
เดินเที่ยวชมหมู่บ้านอีกหน่อยจะได้เจอกับบ่อเลี้ยงปลาและปลูกผัก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริของที่นี่
บ้านแม่กลางหลวงยามเช้าสวยงามและอากาศดีมาก ๆ ๆ ๆ
มีพบก็ต้องมีพราก เวลาที่บ้านแม่กลางหลวงใกล้จะจบลงแล้ว แต่เราสัญญาว่าจะกลับมาอีกแน่นอน . . .
แต่ก่อนจะจากไปเราต้องหาทางไปให้ได้ก่อน ฮ่า ๆ เพราะจุดหมายที่เราจะไปต่อก็คือ
บ้านป่าบงเปียง แต่ (อีกแล้ว) จะไปอย่างไร เพราะเมื่อคืนนี้เราโทรหารถหลายเจ้ามว้าก ทั้งรถของพี่คนขับคนเก่า รถจากบ้านแม่กลางหลวง ในที่สุดเราก็ให้รถจากบ้านป่าบงเปียงมารับโดยให้พี่ที่บ้านแม่กลางหลวงติอต่อให้ในราคา 1,400 บาท
้สำหรับการเดินทางไปบ้านป่าบงเปียงนั้นค่อนข้างลำบาก หากเอารถมาเองแล้วไม่ใช่รถโฟร์วิลหรือขับไม่ชำนาญอาจไปได้แค่
น้ำตกห้วยทรายเหลือง จากนั้นต้องติดต่อให้รถจากในหมู่บ้านขับเข้าไปอีก 2 ก.ม. ราคาไปกลับ 700 บาทต่อคันเท่านั้น ถูกมากเมื่อเทียบกับทางที่มันโหดจริง ๆ
ส่วนพี่คนขับจากบ้านป่าบงเปียงนั้นชื่อว่าพี่วิชัย เป็นคนพื้นที่แล้วก็คุยเก่งมากด้วย ก่อนเข้าหมู่บ้านพี่วิชัยยังแวะให้เที่ยวน้ำตกห้วยทรายเหลือง สวยงามมาก ๆ เลย
บ้านป่าบงเปียง
นั่งโคลงเคลงบนเส้นทางสายโหดอยู่นาน ก็มาถึงบ้านป่าบงเปียง พี่วิชัยบอกว่าสมัยก่อนที่นี่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่ แต่มาเป็นที่นิยมกันเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่างภาพที่อยู่กันเป็นอาทิตย์บ้าง แวะมาคืนสองคืนบ้าง เพราะเอาจริง ๆ ที่นี่ไม่มีที่เที่ยวอะไรเลยนอกจากนาขั้นบันไดอันตระการตา ทั้งยังไม่มีไฟฟ้าอีกด้วย แต่นี่ก็เป็นเสน่ห์สำคัญที่ไม่อยากให้เวลามาเปลี่ยนแปลงเลยจริง ๆ
บ้านที่เราพักเป็นบ้านเพิ่งสร้าง จะแยกมาอยู่อีกฟากของกลุ่มบ้านที่มีมาก่อน รอบ ๆ ปลูกข้าวไร่ ฟักทอง และเสวรส รวมบ้านพักที่นี่ก็มีทั้งหมด 5 หลัง ซึ่งจริง ๆ แล้วชาวบ้านไม่ได้นอนกันที่นี่ แต่จะนอนกันที่หมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 2 กม. มีไฟฟ้าด้วย แต่จะมาที่นี่เพื่อทำนา สำหรับราคาที่พักคิดเป็นหัว หัวละ 500 บาทรวมอาหารเย็นและเช้า เพราะว่าที่นี่ไม่มีร้านค้า แต่ถ้าอยากเอาอาหารมาทำเองก็คิดหัวละ 300 บาท ส่วนเรื่องห้องน้ำก็สะอาดดีมากทั้งภายในบ้านก็มีเทียนเตรียมไว้ให้
ทันทีที่เก็บของเราก็เดินเล่นคันนาอย่างสนุกสนานปนทุลักทุเล พอฟ้ากำลังได้ช่างภาพจากทุกบ้านก็เหมือนจะมารวมตัวกันเพื่อถ่ายรูปสวย ๆ ในมุมที่ดีที่สุด
ส่วนเราแม้ไม่ใช่ช่างภาพมืออาชีพ แต่ด้วยความสวยงามของที่นี่ ก็ได้ภาพดี ๆ มาบ้างเช่นเดียวกัน
ตกเย็นพี่เจ้าของบ้านก็เอาอาหารเย็นมาให้ เยอะมากจนทานไม่หมด พอหัวค่ำพี่วิชัยเจ้าเก่าก็กลายเป็นนักดนตรีแวะมาบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีพื้นบ้านใต้เแสงเทียน เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาแต่เพราะจับใจจนทำเราหลับฝันดีทั้งคืนเลย
ความทรงจำสุดท้ายที่บ้านป่าบงเปียง
วันนี้เราตื่นแต่เช้ามืดเพราะพี่วิชัยบอกว่าตอนเช้ามีทะเลหมอก . . . ภาพก็เป็นอย่างที่เห็น
ประมาณ 9 โมงพี่เจ้าของบ้านก็เอาข้าวเช้ามาให้ อร่อยมาก ๆ เราได้คุยกับพี่เค้านิดหน่อย บอกไปว่าเราอิจฉาชีวิตอย่างนี้ ดูเรียบง่ายดี พี่เค้าตอบแบบยิ้ม ๆ ว่าเรียบง่ายแต่ไม่รวย ส่วนเราคิดในใจข้าวปลูกเอง ผักปลูกเอง นี่แหละคือรวย
แม้เรามาบ้านป่าบงเปียงกันแค่คืนเดียวแต่ความรู้สึกตอนนั้นคือไม่อยากกลับเลยจริง ๆ เราสัญญากับตัวเองว่าจะต้องมาอีกให้ได้ !
ประมาณ 10 โมงเช้าพี่วิชัยก็ขับรถมารับไปส่งที่ด่าน 2 เพื่อให้เราโบกรถไปตัวเมืองเชียงใหม่ โชคดีจริง ๆ ที่โบกเพียงแค่ครั้งเดียวก็ได้ รถที่โบกเป็นรถกระบะของพี่ ๆ ชาวม้ง ใจดีมาก ๆ เลย
ในที่สุดเราก็มาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ ก่อนลงรถก็ขอบอกขอบใจพี่ ๆ ไปยกใหญ่เหมือนกัน โดยที่ตัวเมืองเชียงใหม่เราพักกันที่ Jelato Guest House ราคาคืนละ 1,000 บาท แต่ห้องสวยงามคุ้มค่ามาก ๆ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม
ตอนแรกเรากะจะไปเที่ยวดอยสุเทพ แต่กว่าจะมาถึงก็เกือบเย็นแล้ว เราเลยเช่ามอไซต์เที่ยวเล่นในเมือง ส่วนใหญ่เน้นชมวัดแล้วก็กินของอร่อย พอตกกลางคืนก็แวะไปช้อปปิ้งที่ถนนวัวลายจนดกดื่น ก่อนตื่นเช้าเพื่อกลับกรุงเทพในวันถัดไป
แม้เวลาที่เชียงใหม่จะจบลง แต่ทุกความทรงจำจะคงอยู่ตลอดไป ขอบคุณที่อ่านกันจนจบ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ ^^
[CR] [ เที่ยวไปเหอะ ] เชียงใหม่หน้าฝน 4 วัน 3 คืน (ดอยอินทนนท์ / แม่กลางหลวง / ป่าบงเปียง / ตัวเมือง) ฉบับ Backpack !
ทริปนี้เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้นเดือนสิงหาคม เป้าหมายหลักของการเดินทางคือนาขั้นบันไดแห่งบ้านป่าบงเปียง ที่เพียงได้เห็นรูปในเว็บแค่หนเดียวก็บอกกับตัวเองว่า “หนูจาปาย หนูจาปาย” (เอิ่ม) แต่ไปแล้วทั้งทีเราเลยขอเพิ่มดอยอินทนนท์ บ้านแม่กลางหลวง แล้วก็ตัวเมืองเชียงใหม่เข้าไปในทริปด้วยเลยดีกว่า
อ่ะ ๆ และสำหรับใครที่ขับรถไม่เป็นหรือไม่มีรถ ก็ไม่ต้องกังวลไป เพราะทริปนี้พกไปแค่ 4 อย่างก็ได้ คือ . . . ร่างกาย หัวใจ เป้ 1 ใบ และเงิน !
ปล. สำหรับค่าใช้จ่าย แผนที่ และแผนการเดินทางจะแปะไว้ให้หลังสุดนะคะ
กรุงเทพ - อาเขต - ตัวเมือง
เราเลือกนั่งรถทัวร์จากหมอชิตไปลงอาเขต (สถานีขนส่งช.ม.) แล้วต่อ รถสองแถวแดง (20 บาท) เข้าเมือง เพียงไม่กี่นาทีก็ถึงประตูเมืองเชียงใหม่ เดินเล่นชมตลาดเช้าพร้อมทานมื้อเช้าเป็นโจ๊กร้อน ๆ ก่อนจะขึ้น รถสองแถวเหลืองเชียงใหม่-จอมทอง (34 บาท) มุ่งสู่ พระธาตุจอมทอง กระซิบนิดนึงว่าเป็นรถที่ขับแบบต่ะ ต่อน ยอน มากเพราะชิลล์จนหลับไปได้หนึ่งตื่น โดยระหว่างทางก็มีฝนตก ๆ หยุด ๆ เป็นระยะ ซึ่งถือเป็นเรื่องธรรมดาของเชียงใหม่ในช่วงหน้าฝน . . .
“ถึงแล้ว พระธาตุจอมทอง” สำเนียงเหนือของคุณลุงคนขับแว่วเข้ามาในหู . . . เราจ่ายเงินด้วยความงัวเงียแล้วลงจากรถ ในที่สุดเราก็เดินทางมาถึงจอมทอง ประตูแรกสู่ดอยอินทนนท์ หากมีเวลาก็แวะเข้าไปกราบ พระธาตุจอมทอง สักนิดเพื่อความเป็นสิริมงคล
เอาละ ! ได้เวลาขึ้นดอยกันแล้ว . . . โดยตัวเลือกสำหรับการขึ้นดอยอินทนนท์นั้นมีอยู่ 2 วิธีหลัก ๆ คือ รถตู้และสองแถวเหลือง หากอยากแวะเที่ยวด้วยก็ต้องอาศัยการเหมาเอา ถ้าคนเยอะก็ถูก คนน้อยราคาก็สูงตามไป ส่วนเราเลือก เหมารถสองแถวเหลืองเที่ยวดอย ในราคา 1,200 บาท
โดยโปรแกรมของพี่คนขับคือ น้ำตกวชิรธาร อ่างกาหลวง ขึ้นสูงถึงพระธาตุดอยอินทร์ แล้วแวะช้อปที่ตลาดชาวเขา ก่อนจะไปส่งเราที่บ้านแม่กลางหลวงซึ่งเป็นที่พักของเราในค่ำคืนนี้
เที่ยวดอยอินทนนท์
มาดอยอินทนนท์ช่วงหน้าฝนแบบนี้ บรรยากาศชุ่มฉ่ำมาก ๆ หมอกหนาเต็มไปหมด ระหว่างทางนี่ทั้งเพลิน ทั้งฟิน แต่พี่คนนี้คงฟินน่าดู นับถือ ๆ
ถึงแล้วค่ะ น้ำตกวชิรธาร ใหญ่โตโอ่อ่าสุด ๆ เข้าไปใกล้ ๆ นี่น้ำกระเซ็นแรงจังฮู้ ! ช่วงนี้ก็พักทานข้าว แต่ที่ชอบมาก ๆ คงเป็นการนั่งจิบคาปูชิโน่ร้อน ๆ พลาง มองน้ำตกพลาง แถมยังมีที่นั่งแบบนั่งหย่อนขาได้อีกด้วย
และแล้วเราก็เดินทางมาถึงจุดที่ 2 อ่างกาหลวง เส้นทางเดินศึกษาธรรมชาติสายสั้น ๆ แต่เสมือนหลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่งจริง ๆ ยิ่งหน้าฝนด้วยแล้ว ต้นไม้เขียว ๆ มันช่างชื่นใจ (หากใครมาในฤดูอื่นลองเพิ่มเส้นทางกิ่วแม่ปานเข้าไปในทริปด้วยก็ดี แต่หน้าฝนแบบนี้จะเปิดแค่อ่างกาหลวงเท่านั้น)
ต่อไปเราจะเดินทางไปจุดสูงสุดของไทยอย่างแท้จริงคือ พระธาตุดอยอินทร์ หรือพระมหาธาตุนภเมทนีดลและพระมหาธาตุนภพลภูมิสิริ ระหว่างทางหมอกหนามาก ๆ หนาวฉ่ำเลยทีเดียว พอถึงพระธาตุดอยอินทร์ เราแทบมองไม่เห็นอะไรเลย แต่แค่ได้ขึ้นไปกราบพระธาตุก็อิ่มใจมากแล้ว
ในที่สุดเรามาถึงจุดสุดท้ายของทัวร์รถเหลือง ตลาดชาวเขา นั่นเอง สำหรับคนเมืองอย่างเรามีของตื่นตาตื่นใจมากมาย ยิ่งเมื่อผสานกับความน่ารักของพ่อค้าแม่ค้าชาวเขาก็ยิ่งเสียงสตางค์ไปอย่างง่ายดาย ไม่ว่าจะเป็นสตอเบอรี่อบแห้ง ฟักทองทอด เผือกทอด และที่โดนใจคือไวน์ผลไม้รสเลิศ
บ้านแม่กลางหลวง
ช่วงบ่ายพี่คนขับก็พาเรามาถึงบ้านแม่กลางหลวง หากขับมาจากข้างล่างจะถึงก่อนที่ทำการอุทยานนิดนึง หน้าหมู่บ้านมีร้านค้า ร้านอาหารอยู่ด้วย
จอดรถที่หน้าหมู่บ้านแล้วโทรหาพี่เจ้าของบ้านอยู่นาน แต่ไม่มีสัญญาณเลย . . . พี่คนขับสุดหล่อเลยขับพาเราขึ้นไปถึงข้างบนซึ่งถนนเละมากแต่ก็ยังไม่เจอ บังเอิ๋นบังเอิญโทรติดพอดีเลยพอได้ความว่าให้มาที่ ร้านกาแฟของพี่สมศักดิ์ สุดท้ายเราก็ได้บ้านพักแล้ว อยู่ข้างบนเลย ชื่อบ้านน่ารักว่า “บ้านเคียงนา” โดยบ้านนี้เราโทรไปจองก่อนในราคาเพียงหลังละ 700 บาท ของจริงนอนได้หลายคน มีเครื่องทำน้ำอุ่นด้วยแต่ว่าไม่มีแอร์
ช่วงเย็นเราก็ดื่มด่ำกับบรรยากาศของบ้านแม่กลางหลวงตั้งแต่เดินเล่น ทานข้าว ถ่ายรูป แต่ขอบอกว่าช่วงเช้าฟินกว่ามากมาย !
อรุณสวัสดิ์บ้านแม่กลางหลวง
เมื่อคืนได้สัมผัสภาพแม่กลางหลวงตั้งแต่ช่วงบ่ายจนฟ้ามืด วันนี้เราเลยรีบตื่นแต่เช้าเพื่อมาสัมผัสกับทุ่งนาสีเขียวในตอนเช้าตรู่กัน
หากพูดถึงร้านกาแฟของที่นี่ต้องห้ามพลาด ร้านกาแฟบ้านพี่สมศักดิ์ เจ้าของเดียวกับโทนาฟ เอ่ย ! เจ้าของเดียวกับบ้านพักของเรานั่นเอง โดยจุดเด่นของที่นี่คือเราจะได้ชิมกาแฟต้มสด ๆ ตำรับแม่กลางหลวงพลางแลกเปลี่ยนบทสนทนากับเจ้าบ้านอย่างอบอุ่น และหากติดใจรสชาติกาแฟก็สามารถซื้อกลับไปได้อีกด้วย
เดินเที่ยวชมหมู่บ้านอีกหน่อยจะได้เจอกับบ่อเลี้ยงปลาและปลูกผัก ซึ่งเป็นหนึ่งในโครงการพระราชดำริของที่นี่
บ้านแม่กลางหลวงยามเช้าสวยงามและอากาศดีมาก ๆ ๆ ๆ
มีพบก็ต้องมีพราก เวลาที่บ้านแม่กลางหลวงใกล้จะจบลงแล้ว แต่เราสัญญาว่าจะกลับมาอีกแน่นอน . . .
แต่ก่อนจะจากไปเราต้องหาทางไปให้ได้ก่อน ฮ่า ๆ เพราะจุดหมายที่เราจะไปต่อก็คือ บ้านป่าบงเปียง แต่ (อีกแล้ว) จะไปอย่างไร เพราะเมื่อคืนนี้เราโทรหารถหลายเจ้ามว้าก ทั้งรถของพี่คนขับคนเก่า รถจากบ้านแม่กลางหลวง ในที่สุดเราก็ให้รถจากบ้านป่าบงเปียงมารับโดยให้พี่ที่บ้านแม่กลางหลวงติอต่อให้ในราคา 1,400 บาท
้สำหรับการเดินทางไปบ้านป่าบงเปียงนั้นค่อนข้างลำบาก หากเอารถมาเองแล้วไม่ใช่รถโฟร์วิลหรือขับไม่ชำนาญอาจไปได้แค่ น้ำตกห้วยทรายเหลือง จากนั้นต้องติดต่อให้รถจากในหมู่บ้านขับเข้าไปอีก 2 ก.ม. ราคาไปกลับ 700 บาทต่อคันเท่านั้น ถูกมากเมื่อเทียบกับทางที่มันโหดจริง ๆ
ส่วนพี่คนขับจากบ้านป่าบงเปียงนั้นชื่อว่าพี่วิชัย เป็นคนพื้นที่แล้วก็คุยเก่งมากด้วย ก่อนเข้าหมู่บ้านพี่วิชัยยังแวะให้เที่ยวน้ำตกห้วยทรายเหลือง สวยงามมาก ๆ เลย
บ้านป่าบงเปียง
นั่งโคลงเคลงบนเส้นทางสายโหดอยู่นาน ก็มาถึงบ้านป่าบงเปียง พี่วิชัยบอกว่าสมัยก่อนที่นี่ไม่ค่อยมีคนรู้จักเท่าไหร่ แต่มาเป็นที่นิยมกันเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นช่างภาพที่อยู่กันเป็นอาทิตย์บ้าง แวะมาคืนสองคืนบ้าง เพราะเอาจริง ๆ ที่นี่ไม่มีที่เที่ยวอะไรเลยนอกจากนาขั้นบันไดอันตระการตา ทั้งยังไม่มีไฟฟ้าอีกด้วย แต่นี่ก็เป็นเสน่ห์สำคัญที่ไม่อยากให้เวลามาเปลี่ยนแปลงเลยจริง ๆ
บ้านที่เราพักเป็นบ้านเพิ่งสร้าง จะแยกมาอยู่อีกฟากของกลุ่มบ้านที่มีมาก่อน รอบ ๆ ปลูกข้าวไร่ ฟักทอง และเสวรส รวมบ้านพักที่นี่ก็มีทั้งหมด 5 หลัง ซึ่งจริง ๆ แล้วชาวบ้านไม่ได้นอนกันที่นี่ แต่จะนอนกันที่หมู่บ้านซึ่งอยู่ห่างไปประมาณ 2 กม. มีไฟฟ้าด้วย แต่จะมาที่นี่เพื่อทำนา สำหรับราคาที่พักคิดเป็นหัว หัวละ 500 บาทรวมอาหารเย็นและเช้า เพราะว่าที่นี่ไม่มีร้านค้า แต่ถ้าอยากเอาอาหารมาทำเองก็คิดหัวละ 300 บาท ส่วนเรื่องห้องน้ำก็สะอาดดีมากทั้งภายในบ้านก็มีเทียนเตรียมไว้ให้
ทันทีที่เก็บของเราก็เดินเล่นคันนาอย่างสนุกสนานปนทุลักทุเล พอฟ้ากำลังได้ช่างภาพจากทุกบ้านก็เหมือนจะมารวมตัวกันเพื่อถ่ายรูปสวย ๆ ในมุมที่ดีที่สุด
ส่วนเราแม้ไม่ใช่ช่างภาพมืออาชีพ แต่ด้วยความสวยงามของที่นี่ ก็ได้ภาพดี ๆ มาบ้างเช่นเดียวกัน
ตกเย็นพี่เจ้าของบ้านก็เอาอาหารเย็นมาให้ เยอะมากจนทานไม่หมด พอหัวค่ำพี่วิชัยเจ้าเก่าก็กลายเป็นนักดนตรีแวะมาบรรเลงเพลงด้วยเครื่องดนตรีพื้นบ้านใต้เแสงเทียน เสียดายที่ไม่ได้ถ่ายรูปมาแต่เพราะจับใจจนทำเราหลับฝันดีทั้งคืนเลย
ความทรงจำสุดท้ายที่บ้านป่าบงเปียง
วันนี้เราตื่นแต่เช้ามืดเพราะพี่วิชัยบอกว่าตอนเช้ามีทะเลหมอก . . . ภาพก็เป็นอย่างที่เห็น
ประมาณ 9 โมงพี่เจ้าของบ้านก็เอาข้าวเช้ามาให้ อร่อยมาก ๆ เราได้คุยกับพี่เค้านิดหน่อย บอกไปว่าเราอิจฉาชีวิตอย่างนี้ ดูเรียบง่ายดี พี่เค้าตอบแบบยิ้ม ๆ ว่าเรียบง่ายแต่ไม่รวย ส่วนเราคิดในใจข้าวปลูกเอง ผักปลูกเอง นี่แหละคือรวย
แม้เรามาบ้านป่าบงเปียงกันแค่คืนเดียวแต่ความรู้สึกตอนนั้นคือไม่อยากกลับเลยจริง ๆ เราสัญญากับตัวเองว่าจะต้องมาอีกให้ได้ !
ประมาณ 10 โมงเช้าพี่วิชัยก็ขับรถมารับไปส่งที่ด่าน 2 เพื่อให้เราโบกรถไปตัวเมืองเชียงใหม่ โชคดีจริง ๆ ที่โบกเพียงแค่ครั้งเดียวก็ได้ รถที่โบกเป็นรถกระบะของพี่ ๆ ชาวม้ง ใจดีมาก ๆ เลย
ในที่สุดเราก็มาถึงตัวเมืองเชียงใหม่ ก่อนลงรถก็ขอบอกขอบใจพี่ ๆ ไปยกใหญ่เหมือนกัน โดยที่ตัวเมืองเชียงใหม่เราพักกันที่ Jelato Guest House ราคาคืนละ 1,000 บาท แต่ห้องสวยงามคุ้มค่ามาก ๆ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปมาให้ชม
ตอนแรกเรากะจะไปเที่ยวดอยสุเทพ แต่กว่าจะมาถึงก็เกือบเย็นแล้ว เราเลยเช่ามอไซต์เที่ยวเล่นในเมือง ส่วนใหญ่เน้นชมวัดแล้วก็กินของอร่อย พอตกกลางคืนก็แวะไปช้อปปิ้งที่ถนนวัวลายจนดกดื่น ก่อนตื่นเช้าเพื่อกลับกรุงเทพในวันถัดไป
แม้เวลาที่เชียงใหม่จะจบลง แต่ทุกความทรงจำจะคงอยู่ตลอดไป ขอบคุณที่อ่านกันจนจบ ผิดพลาดประการใดขออภัยด้วยนะคะ ^^
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น