การฝึกสมาธิจากประสบการณ์จริง ว่าด้วยตำนานเหล็กไหล มีจริงหรือ ตอนสาม

การฝึกสมาธิจากประสบการณ์จริง ว่าด้วยตำนานเหล็กไหล  มีจริงหรือ  ตอนสาม

     เมื่อตอนที่แล้วได้กล่าวถึงคนห่มผ้าเหลืองที่หลอกลวงผู้คนแล้วค้างไว้  จะได้กล่าวต่อไป  แต่ก่อนที่จะเล่าพฤติการณ์ที่แปลกประหลาดและกลเม็ดในการต้มตุ๋นในอีกรูปแบบหนึ่ง  จะขอกล่าวถึงเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งที่มีอานุภาพสูงอย่างยอดเยี่ยม  ไม่เป็นสองรองใคร  นั่นคือ  
     เหล็กไหลเพลิง  เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งมีอานุภาพสูงมาก  สูงจนอยู่เฉยไม่ได้  ธรรมดาเหล็กไหลอื่น ๆ  แม้มีอานุภาพสูงมากก็จริง  เมื่อเราเก็บรักษาไว้ในพานแล้ววางอยู่บนหิ้งพระ  ก็จะอยู่นิ่ง  ๆ  อยู่เช่นนั้น  เหมือนเราเก็บพระเครื่องพระบูชาธรรมดา  แต่สำหรับเหล็กไหลเพลิงไม่ใช่เช่นนั้น  เหล็กไหลเพลิงนี้มีสีแดงเหมือนสีของอิฐมอญแต่แวววาวเลื่อมประภัสสร  ก็เหมือนเหล็กไหลทุกชนิดที่มีสีด้าน ๆ  หมอง  ๆ  นั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน  ก้อนมีขนาดใหญ่ประมาณเท่านิ้วก้อยหรือใหญ่กว่านี้ก็มี  ขึ้นอยู่กับผู้เรียกจะตัดแบ่งให้มีขนาดเท่าใด  เวลาเรียกลงมาจะลงมาเป็นเส้นขนาดประมาณเท่าตะปูขนาดสี่ถึงหกนิ้ว  มีจำนวนมาก  บางที่เรียกครั้งหนึ่ง  อาจมีมากถึงร้อยก้อนเลยทีเดียวภายหลังจากตัดแบ่งย่อยแล้ว  เรียกว่าชามเซรามิคที่ใส่น้ำผึ้ง  ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุต  ลงมาเต็มชามเลยทีเดียว  น้ำผึ้งที่ใส่ไว้ในชามหนึ่งขวดใหญ่เหล็กไหลกินหมดทั้งขวดเลย  เมื่อตัดเป็นก้อนแล้วเก็บไว้รวมกันเหล็กไหลเพลิงจะเกาะติดกันแกะด้วยมือไม่ออก  เมื่อทุบให้แตกออกจากกันแล้ววางรวมกันไว้  ก็จะเกาะติดกันอีก  สามารถเคลื่อนที่ได้โดยเรียงเป็นก้อนต่อ  ๆ  กัน  แล้วเลื้อยไปเหมือนงูเลื้อย  เมื่อเราเก็บไว้บนหิ้งพระ  บางครั้งพอเข้าไปดู  ปรากฏว่าเลื้อยไปอยู่บนหลังคาแล้วก็มี   ในขณะที่ยังอยู่ในถ้ำแม้ว่ามีอยู่  มนุษย์ธรรมดาก็ไม่สามารถมองเห็นได้  หากต้องการจะทราบว่ามีอยู่หรือไม่  ต้องใช้กายทิพย์เข้าไปดูจึงจะรู้ได้  วิธีสังเกตุว่ามีเหล็กไหลชนิดนี้อยู่หรือไม่  ให้ดูว่าในถ้ำนั้น  มีหินงอกหินย้อยเป็นสีแวววาวเหมือนสะเก็ดดาวระยิบระยับอยู่หรือไม่  ถ้ามีก็สันนิษฐานว่าน่าจะมีเหล็กไหลชนิดนี้อยู่  แต่ไม่แน่นอนเหมือนใช้กายทิพย์ในพระกรรมฐานเข้าไปดู  ให้บูชาด้วยดอกไม้แดงหรือว่านแสงอาทิตย์  พระฤษีตาไฟเป็นผู้สร้าง  อ่านมาถึงตอนนี้แล้วท่านทั้งหลายคงพอจะทราบว่า  ที่ข้าพเจ้าโทรสอบถามผู้ที่อ้างว่ามีเหล็กไหลเพลิงในครอบครอง  ว่าเหล็กไหลไม่เกาะรวมกัน  แล้วในที่สุดก็ไม่กล้าให้ข้าพเจ้าดู  ในตอนที่แล้วมา  เพราะเห็นท่าว่าจะหลอกข้าพเจ้าไม่ได้  คงเก็บไปหลอกคนอื่นที่หลอกง่าย  ๆ  จะดีกว่า  แม้แต่พระอาจารย์ของเขา  ที่อ้างตนว่าเป็นถึงเจ้าคณะตำบล  ก็ยังไม่กล้าติดต่อกับข้าพเจ้า  มาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงพอจะรู้แล้วว่า  ทำไมข้าพเจ้าจึงตีว่าเหล็กไหลเพลิง  ตามที่เขาอ้างมานั้นเป็นของปลอมโดยยังไม่ต้องทดสอบ  ดูด้วยตาก็ไม่ผ่านแล้ว  การแบ่งชนิดของเหล็กไหลเพลิงนี้  ใช้สีของเหล็กไหลเป็นสำคัญ  เนื่องจาก  นอกจากเหล็กไหลเพลิงแล้ว  เหล็กไหลชนิดอื่นที่มีสีแดงนั้นไม่มี  แต่จะใช้ขนาดในการพิจารณาไม่ได้  เพราะเหล็กไหลเพลิงมีขนาดที่ใกล้เคียงกับเหล็กไหลชนิดอื่น  ๆ  

     เหล็กไหลเพลิงนอกจากมีอานุภาพในการป้องกันภยันตราย และอาวุธแล้ว  ผู้ที่ฝังเหล็กไหลเพลิงยังสามารถทนกับความร้อนของไฟได้  แม้จะนั่งอยู่กลางกองไฟ  ไฟก็จะไม้ไหม้คงรู้สึกเพียงอุ่น  ๆ  เท่านั้น  นี่เองเป็นที่มาของคำพังเพยที่ว่า  ตกน้ำไม่ไหล  ตกไฟไม่ไหม้  เช่นนี้  คำว่าตกน้ำไม่ไหลได้แก่เหล็กไหลโกฏิปี  คำว่าตกไฟไม่ไหม้ได้แก่เหล็กไหลเพลิง  อ่านมาถึงตอนนี้คงรู้แล้วว่า  ทำไมคน  ๆ  หนึ่ง  ถ้าจะให้สมบูรณ์จะต้องฝังเหล็กไหลสองก้อนนี้  เหมือนดั่งเสด็จอาจารย์ของข้าพเจ้าที่เคยกล่าวในตอนที่แล้ว

          สำหรับประสบการณ์ในการเรียกเหล็กไหลเพลิงของข้าพเจ้า  จะได้เล่าให้ฟังในตอนต่อไป  การเขียนบทความนี้และตั้งแต่ต้นมา  ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระกรรมฐาน  เรื่องเหล็กไหลและเรื่องทุกเรื่องที่จะกล่าว  ต่อ  ๆ  ไป  ล้วนมาจากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้ารับรู้จริงมาด้วยตนเองทั้งสิ้น  ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมาแต่อย่างใด  สำหรับเรื่องเหล็กไหลนี้ข้าพเจ้าได้อาศัยเค้าโครงเดิม  จาก ตำนานเหล็กไหล ของ  ท่านเสด็จในกรม  กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์  เป็นเกณฑ์ในการเขียนโดยไม่มีการบิดเบือนหรือเสริมต่อแต่อย่างใด  คงรักษาไว้เช่นเดิมทั้งสิ้น  แต่มีการแทรกประสบการณ์จริงของข้าพเจ้าประกอบเข้าไปบ้าง  เพื่อเป็นการอธิบาย  และง่ายในการทำความเข้าใจ  ในเนื้อเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นทุกเรื่อง  

           เรื่องที่มาของตำนานเหล็กไหลนี้  เริ่มขึ้นเมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา  ครั้งเมื่อข้าพเจ้ายังเสาะแสวงหาพระอาจารย์  ที่จะมาตอบคำถามของข้าพเจ้าดังได้กล่าวมาแล้ว  ในตอนก่อน  ๆ  จนรู้สึกท้อแท้  ด้วยว่าสิ้นหนทางที่พระอาจารย์ท่านใด  จะให้คำปรึกษาแก่ข้าพเจ้าได้  ตอนนั้นผ่านมายังจังหวัดราชบุรี  สาเหตุที่มาจังหวัดราชบุรีก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเดินทางไปอำเภอเกาะคา  จังหวัดลำปาง  ด้วยได้ทราบมาว่า  มีพระท่านหนึ่งที่เกาะคา  มีความรู้ความสามารถในพระกรรมฐานเป็นอย่างมาก  ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะจากท่าน  ต่อมาหลังจากกลับจากลำปาง  จึงได้พบกับพระอาจารย์ที่วัดดอยสุเทพ  จังหวัดเชียงใหม่โดยบังเอิญ  และท่านได้สอนวิธีเดินจงกลมให้แก่ข้าพเจ้า  ดังที่เคยเล่าให้ฟังแล้วในตอนที่กล่าวถึงการเดินจงกลมที่ผ่านมา  เมื่อไปถึงเกาะคาตอนนั้นยังไม่เป็นอำเภอเหมือนปัจจุบัน  ไปหาท่านที่วัด  จึงทราบว่าท่านอาพาธเป็นโรคกระเพาะอาหาร  ไปรักษาตัวอยู่ที่จังหวัดราชบุรี  พบกับพระลูกวัดที่นั่นท่านมีอัธยาศัยดีมาก  ข้าพเจ้าจึงได้เล่าเรื่องที่ข้าพเจ้ามีปัญหาในการฝึกกรรมฐานที่ผ่านมาให้ฟัง  ท่านก็เล่าว่าท่านเจ้าอาวาสวัดนี้เคยรักษาพระอีกรูปหนึ่ง  ในอาการพระกรรมฐานแตกจนหายดี  แล้วสอนจนสามารถฝึกกรรมฐานได้สำเร็จ  จนในที่สุดมีชื่อเสียงด้วยกันทั้งสองท่าน  ข้าพเจ้าได้ทราบเช่นนั้นก็ดีใจมาก  คิดในใจว่าโชคดีแล้ว  คงจะได้พ้นทุกข์ในคราวนี้เสียที  ถ้าเป็นดังที่พระลูกวัดท่านเล่ามา  ท่านก็บอกชื่อสำนักสงฆ์ในจังหวัดราชบุรีให้  ข้าพเจ้าก็จดจำไว้  ด้วยเหตุนี้  จึงเดินทางมาจังหวัดราชบุรี   ในเรื่องตามหาพระอาจารย์ผู้นี้ข้าพเจ้าจะได้เล่าให้ฟังถึงพฤติการณ์ของเขาว่า  การกระทำของเขาควรแก่การให้ความเคารพหรือไม่ในตอนต่อไป  ข้าพเจ้าลองคิดดูก็พอจะเข้าใจแล้วว่า  ที่เขาล้มป่วยลงน่าจะมาจากเวรกรรมที่เขาทำไว้กระมัง  หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นข้อห้ามเสียมากกว่า

          หลังจากพักอยู่เชียงใหม่ได้ระยะหนึ่ง   ข้าพเจ้าได้เดินทางไปจังหวัดราชบุรี   ก็มุ่งไปที่สำนักสงฆ์ตามที่พระลูกวัดที่เกาะคาได้บอกไว้  สำนักสงฆ์นี้อยู่นอกเมืองไปมาก  อยู่บนเนินดินไม่สูงมากนัก  ข้าพเจ้าไปต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่รู้จักใคร  ระหว่างรอรถสองแถวที่ผ่านไปทางสำนักสงฆ์นี้   ข้าพเจ้าได้แวะซื้อสบู่นกแก้วก้อนขนาดกลางหนึ่งโหล  คิดว่าจะนำไปถวายท่านเจ้าอาวาสที่ตามมาจากลำปาง  เจ้าสบู่นี่แหละเป็นเหตุให้มีเรื่อง  ที่ข้าพเจ้าเองก็คิดไม่ถึงในวันข้างหน้า  แล้วจะเล่าให้ฟังในคราวต่อไป  พอไปถึงสำนักสงฆ์ดังกล่าวไม่พบพระแม้แต่รูปเดียว  พบแต่ชีพราหมเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นั่น   สอบถามได้ความว่าพระที่จำวัดอยู่ที่นั่นกับพระที่ข้าพเจ้าตามหานั้นไปต่างจังหวัด  อีกสองสามวันจึงจะกลับมาที่สำนักสงฆ์นี้อีก  ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวังมากที่ไม่พบท่าน  จะรอก็ไม่รู้กี่วันท่านจะกลับ  จึงฝากแม่ชีให้ถวายสบู่นกแก้วที่ซื้อมา  ให้กับแม่ชี  และบอกว่าท่านกลับมาค่อยถวายให้ท่านด้วย  แล้วก็ลากลับในตอนนั้น  เวลายังไม่เที่ยงวันรถที่นั่งกลับ  ก็มาถึงสุดสายของเขา  เป็นอำเภออะไรก็จำไม่ได้เป็นชุมชนอยู่  ตอนนั้นข้าพเจ้าเดินทางกับมารดาสองคนเห็นว่ายังมีเวลา  จึงสอบถามกับคนรถว่า  มีพระอาจารย์ที่นี่  ที่เก่ง  ๆ  หรือไม่  ได้รับคำตอบว่ามี  ท่านชื่อหลวงพ่อสำเนียงอยู่สถาพร  เป็นบุตรชายของเสด็จในกรม  กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์  อยู่ที่วัดเวรุวนาราม  สำหรับชื่อวัดนี้ข้าพเจ้าจำได้ไม่ชัดเจน  จึงขอละไว้หากว่าเขียนผิดไป  ข้าพเจ้าจึงได้เหมารถให้ไปส่งที่วัด  โชคดีท่านอยู่วัดพอดี  ในตอนนั้นท่านมีดำริจะสร้างอุโบสถอเนกประสงค์สามชั้น  ทำด้วยหินอ่อนทั้งหลังงบประมาณหกร้อยล้าน  ใครทำบุญหนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปท่านจะให้พระสมเด็จหนึ่งองค์  ข้าพเจ้ามีเงินน้อยทำบุญขนาดนั้นไม่ไหว  จึงทำบุญไปหนึ่งร้อยบาท  ท่านก็ให้หนังสือมาหนึ่งเล่ม  ท่านบอกว่ามีตำนานเหล็กไหลอยู่ในหนังสือเล่มนี้  เป็นบันทึกจากลายพระหัตถ์ของเสด็จท่านเองโดยตรง  และได้ลงพระนามไว้ในท้ายข้อเขียนเป็นลายเซ็นพอจะอ่านได้ว่า  อาภากร  เกียรติวงศ์  ซึ่งเป็นพระนามของท่าน  นี่แหละคือที่มาของ  ตำนานเหล็กไหล  ที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นมานี้ทั้งหมด

          เขียนมาถึงตอนนี้แล้ว  ขอยกยอดคนนุ่งผ้าเหลืองเรียกเหล็กไหลหลอกคนให้ฟังในตอนต่อไป  อย่าลืมพบกันทุกวันอาทิตย์ครับ
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ศาสนา ทำบุญ โหราศาสตร์ พระเครื่อง
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่