การฝึกสมาธิจากประสบการณ์จริง ว่าด้วยตำนานเหล็กไหล มีจริงหรือ ตอนสาม
เมื่อตอนที่แล้วได้กล่าวถึงคนห่มผ้าเหลืองที่หลอกลวงผู้คนแล้วค้างไว้ จะได้กล่าวต่อไป แต่ก่อนที่จะเล่าพฤติการณ์ที่แปลกประหลาดและกลเม็ดในการต้มตุ๋นในอีกรูปแบบหนึ่ง จะขอกล่าวถึงเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งที่มีอานุภาพสูงอย่างยอดเยี่ยม ไม่เป็นสองรองใคร นั่นคือ
เหล็กไหลเพลิง เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งมีอานุภาพสูงมาก สูงจนอยู่เฉยไม่ได้ ธรรมดาเหล็กไหลอื่น ๆ แม้มีอานุภาพสูงมากก็จริง เมื่อเราเก็บรักษาไว้ในพานแล้ววางอยู่บนหิ้งพระ ก็จะอยู่นิ่ง ๆ อยู่เช่นนั้น เหมือนเราเก็บพระเครื่องพระบูชาธรรมดา แต่สำหรับเหล็กไหลเพลิงไม่ใช่เช่นนั้น เหล็กไหลเพลิงนี้มีสีแดงเหมือนสีของอิฐมอญแต่แวววาวเลื่อมประภัสสร ก็เหมือนเหล็กไหลทุกชนิดที่มีสีด้าน ๆ หมอง ๆ นั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน ก้อนมีขนาดใหญ่ประมาณเท่านิ้วก้อยหรือใหญ่กว่านี้ก็มี ขึ้นอยู่กับผู้เรียกจะตัดแบ่งให้มีขนาดเท่าใด เวลาเรียกลงมาจะลงมาเป็นเส้นขนาดประมาณเท่าตะปูขนาดสี่ถึงหกนิ้ว มีจำนวนมาก บางที่เรียกครั้งหนึ่ง อาจมีมากถึงร้อยก้อนเลยทีเดียวภายหลังจากตัดแบ่งย่อยแล้ว เรียกว่าชามเซรามิคที่ใส่น้ำผึ้ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุต ลงมาเต็มชามเลยทีเดียว น้ำผึ้งที่ใส่ไว้ในชามหนึ่งขวดใหญ่เหล็กไหลกินหมดทั้งขวดเลย เมื่อตัดเป็นก้อนแล้วเก็บไว้รวมกันเหล็กไหลเพลิงจะเกาะติดกันแกะด้วยมือไม่ออก เมื่อทุบให้แตกออกจากกันแล้ววางรวมกันไว้ ก็จะเกาะติดกันอีก สามารถเคลื่อนที่ได้โดยเรียงเป็นก้อนต่อ ๆ กัน แล้วเลื้อยไปเหมือนงูเลื้อย เมื่อเราเก็บไว้บนหิ้งพระ บางครั้งพอเข้าไปดู ปรากฏว่าเลื้อยไปอยู่บนหลังคาแล้วก็มี ในขณะที่ยังอยู่ในถ้ำแม้ว่ามีอยู่ มนุษย์ธรรมดาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ หากต้องการจะทราบว่ามีอยู่หรือไม่ ต้องใช้กายทิพย์เข้าไปดูจึงจะรู้ได้ วิธีสังเกตุว่ามีเหล็กไหลชนิดนี้อยู่หรือไม่ ให้ดูว่าในถ้ำนั้น มีหินงอกหินย้อยเป็นสีแวววาวเหมือนสะเก็ดดาวระยิบระยับอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็สันนิษฐานว่าน่าจะมีเหล็กไหลชนิดนี้อยู่ แต่ไม่แน่นอนเหมือนใช้กายทิพย์ในพระกรรมฐานเข้าไปดู ให้บูชาด้วยดอกไม้แดงหรือว่านแสงอาทิตย์ พระฤษีตาไฟเป็นผู้สร้าง อ่านมาถึงตอนนี้แล้วท่านทั้งหลายคงพอจะทราบว่า ที่ข้าพเจ้าโทรสอบถามผู้ที่อ้างว่ามีเหล็กไหลเพลิงในครอบครอง ว่าเหล็กไหลไม่เกาะรวมกัน แล้วในที่สุดก็ไม่กล้าให้ข้าพเจ้าดู ในตอนที่แล้วมา เพราะเห็นท่าว่าจะหลอกข้าพเจ้าไม่ได้ คงเก็บไปหลอกคนอื่นที่หลอกง่าย ๆ จะดีกว่า แม้แต่พระอาจารย์ของเขา ที่อ้างตนว่าเป็นถึงเจ้าคณะตำบล ก็ยังไม่กล้าติดต่อกับข้าพเจ้า มาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงพอจะรู้แล้วว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงตีว่าเหล็กไหลเพลิง ตามที่เขาอ้างมานั้นเป็นของปลอมโดยยังไม่ต้องทดสอบ ดูด้วยตาก็ไม่ผ่านแล้ว การแบ่งชนิดของเหล็กไหลเพลิงนี้ ใช้สีของเหล็กไหลเป็นสำคัญ เนื่องจาก นอกจากเหล็กไหลเพลิงแล้ว เหล็กไหลชนิดอื่นที่มีสีแดงนั้นไม่มี แต่จะใช้ขนาดในการพิจารณาไม่ได้ เพราะเหล็กไหลเพลิงมีขนาดที่ใกล้เคียงกับเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ
เหล็กไหลเพลิงนอกจากมีอานุภาพในการป้องกันภยันตราย และอาวุธแล้ว ผู้ที่ฝังเหล็กไหลเพลิงยังสามารถทนกับความร้อนของไฟได้ แม้จะนั่งอยู่กลางกองไฟ ไฟก็จะไม้ไหม้คงรู้สึกเพียงอุ่น ๆ เท่านั้น นี่เองเป็นที่มาของคำพังเพยที่ว่า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เช่นนี้ คำว่าตกน้ำไม่ไหลได้แก่เหล็กไหลโกฏิปี คำว่าตกไฟไม่ไหม้ได้แก่เหล็กไหลเพลิง อ่านมาถึงตอนนี้คงรู้แล้วว่า ทำไมคน ๆ หนึ่ง ถ้าจะให้สมบูรณ์จะต้องฝังเหล็กไหลสองก้อนนี้ เหมือนดั่งเสด็จอาจารย์ของข้าพเจ้าที่เคยกล่าวในตอนที่แล้ว
สำหรับประสบการณ์ในการเรียกเหล็กไหลเพลิงของข้าพเจ้า จะได้เล่าให้ฟังในตอนต่อไป การเขียนบทความนี้และตั้งแต่ต้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระกรรมฐาน เรื่องเหล็กไหลและเรื่องทุกเรื่องที่จะกล่าว ต่อ ๆ ไป ล้วนมาจากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้ารับรู้จริงมาด้วยตนเองทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมาแต่อย่างใด สำหรับเรื่องเหล็กไหลนี้ข้าพเจ้าได้อาศัยเค้าโครงเดิม จาก ตำนานเหล็กไหล ของ ท่านเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นเกณฑ์ในการเขียนโดยไม่มีการบิดเบือนหรือเสริมต่อแต่อย่างใด คงรักษาไว้เช่นเดิมทั้งสิ้น แต่มีการแทรกประสบการณ์จริงของข้าพเจ้าประกอบเข้าไปบ้าง เพื่อเป็นการอธิบาย และง่ายในการทำความเข้าใจ ในเนื้อเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นทุกเรื่อง
เรื่องที่มาของตำนานเหล็กไหลนี้ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ครั้งเมื่อข้าพเจ้ายังเสาะแสวงหาพระอาจารย์ ที่จะมาตอบคำถามของข้าพเจ้าดังได้กล่าวมาแล้ว ในตอนก่อน ๆ จนรู้สึกท้อแท้ ด้วยว่าสิ้นหนทางที่พระอาจารย์ท่านใด จะให้คำปรึกษาแก่ข้าพเจ้าได้ ตอนนั้นผ่านมายังจังหวัดราชบุรี สาเหตุที่มาจังหวัดราชบุรีก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเดินทางไปอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ด้วยได้ทราบมาว่า มีพระท่านหนึ่งที่เกาะคา มีความรู้ความสามารถในพระกรรมฐานเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะจากท่าน ต่อมาหลังจากกลับจากลำปาง จึงได้พบกับพระอาจารย์ที่วัดดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่โดยบังเอิญ และท่านได้สอนวิธีเดินจงกลมให้แก่ข้าพเจ้า ดังที่เคยเล่าให้ฟังแล้วในตอนที่กล่าวถึงการเดินจงกลมที่ผ่านมา เมื่อไปถึงเกาะคาตอนนั้นยังไม่เป็นอำเภอเหมือนปัจจุบัน ไปหาท่านที่วัด จึงทราบว่าท่านอาพาธเป็นโรคกระเพาะอาหาร ไปรักษาตัวอยู่ที่จังหวัดราชบุรี พบกับพระลูกวัดที่นั่นท่านมีอัธยาศัยดีมาก ข้าพเจ้าจึงได้เล่าเรื่องที่ข้าพเจ้ามีปัญหาในการฝึกกรรมฐานที่ผ่านมาให้ฟัง ท่านก็เล่าว่าท่านเจ้าอาวาสวัดนี้เคยรักษาพระอีกรูปหนึ่ง ในอาการพระกรรมฐานแตกจนหายดี แล้วสอนจนสามารถฝึกกรรมฐานได้สำเร็จ จนในที่สุดมีชื่อเสียงด้วยกันทั้งสองท่าน ข้าพเจ้าได้ทราบเช่นนั้นก็ดีใจมาก คิดในใจว่าโชคดีแล้ว คงจะได้พ้นทุกข์ในคราวนี้เสียที ถ้าเป็นดังที่พระลูกวัดท่านเล่ามา ท่านก็บอกชื่อสำนักสงฆ์ในจังหวัดราชบุรีให้ ข้าพเจ้าก็จดจำไว้ ด้วยเหตุนี้ จึงเดินทางมาจังหวัดราชบุรี ในเรื่องตามหาพระอาจารย์ผู้นี้ข้าพเจ้าจะได้เล่าให้ฟังถึงพฤติการณ์ของเขาว่า การกระทำของเขาควรแก่การให้ความเคารพหรือไม่ในตอนต่อไป ข้าพเจ้าลองคิดดูก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ที่เขาล้มป่วยลงน่าจะมาจากเวรกรรมที่เขาทำไว้กระมัง หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นข้อห้ามเสียมากกว่า
หลังจากพักอยู่เชียงใหม่ได้ระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เดินทางไปจังหวัดราชบุรี ก็มุ่งไปที่สำนักสงฆ์ตามที่พระลูกวัดที่เกาะคาได้บอกไว้ สำนักสงฆ์นี้อยู่นอกเมืองไปมาก อยู่บนเนินดินไม่สูงมากนัก ข้าพเจ้าไปต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่รู้จักใคร ระหว่างรอรถสองแถวที่ผ่านไปทางสำนักสงฆ์นี้ ข้าพเจ้าได้แวะซื้อสบู่นกแก้วก้อนขนาดกลางหนึ่งโหล คิดว่าจะนำไปถวายท่านเจ้าอาวาสที่ตามมาจากลำปาง เจ้าสบู่นี่แหละเป็นเหตุให้มีเรื่อง ที่ข้าพเจ้าเองก็คิดไม่ถึงในวันข้างหน้า แล้วจะเล่าให้ฟังในคราวต่อไป พอไปถึงสำนักสงฆ์ดังกล่าวไม่พบพระแม้แต่รูปเดียว พบแต่ชีพราหมเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นั่น สอบถามได้ความว่าพระที่จำวัดอยู่ที่นั่นกับพระที่ข้าพเจ้าตามหานั้นไปต่างจังหวัด อีกสองสามวันจึงจะกลับมาที่สำนักสงฆ์นี้อีก ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวังมากที่ไม่พบท่าน จะรอก็ไม่รู้กี่วันท่านจะกลับ จึงฝากแม่ชีให้ถวายสบู่นกแก้วที่ซื้อมา ให้กับแม่ชี และบอกว่าท่านกลับมาค่อยถวายให้ท่านด้วย แล้วก็ลากลับในตอนนั้น เวลายังไม่เที่ยงวันรถที่นั่งกลับ ก็มาถึงสุดสายของเขา เป็นอำเภออะไรก็จำไม่ได้เป็นชุมชนอยู่ ตอนนั้นข้าพเจ้าเดินทางกับมารดาสองคนเห็นว่ายังมีเวลา จึงสอบถามกับคนรถว่า มีพระอาจารย์ที่นี่ ที่เก่ง ๆ หรือไม่ ได้รับคำตอบว่ามี ท่านชื่อหลวงพ่อสำเนียงอยู่สถาพร เป็นบุตรชายของเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อยู่ที่วัดเวรุวนาราม สำหรับชื่อวัดนี้ข้าพเจ้าจำได้ไม่ชัดเจน จึงขอละไว้หากว่าเขียนผิดไป ข้าพเจ้าจึงได้เหมารถให้ไปส่งที่วัด โชคดีท่านอยู่วัดพอดี ในตอนนั้นท่านมีดำริจะสร้างอุโบสถอเนกประสงค์สามชั้น ทำด้วยหินอ่อนทั้งหลังงบประมาณหกร้อยล้าน ใครทำบุญหนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปท่านจะให้พระสมเด็จหนึ่งองค์ ข้าพเจ้ามีเงินน้อยทำบุญขนาดนั้นไม่ไหว จึงทำบุญไปหนึ่งร้อยบาท ท่านก็ให้หนังสือมาหนึ่งเล่ม ท่านบอกว่ามีตำนานเหล็กไหลอยู่ในหนังสือเล่มนี้ เป็นบันทึกจากลายพระหัตถ์ของเสด็จท่านเองโดยตรง และได้ลงพระนามไว้ในท้ายข้อเขียนเป็นลายเซ็นพอจะอ่านได้ว่า อาภากร เกียรติวงศ์ ซึ่งเป็นพระนามของท่าน นี่แหละคือที่มาของ ตำนานเหล็กไหล ที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นมานี้ทั้งหมด
เขียนมาถึงตอนนี้แล้ว ขอยกยอดคนนุ่งผ้าเหลืองเรียกเหล็กไหลหลอกคนให้ฟังในตอนต่อไป อย่าลืมพบกันทุกวันอาทิตย์ครับ
การฝึกสมาธิจากประสบการณ์จริง ว่าด้วยตำนานเหล็กไหล มีจริงหรือ ตอนสาม
เมื่อตอนที่แล้วได้กล่าวถึงคนห่มผ้าเหลืองที่หลอกลวงผู้คนแล้วค้างไว้ จะได้กล่าวต่อไป แต่ก่อนที่จะเล่าพฤติการณ์ที่แปลกประหลาดและกลเม็ดในการต้มตุ๋นในอีกรูปแบบหนึ่ง จะขอกล่าวถึงเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งที่มีอานุภาพสูงอย่างยอดเยี่ยม ไม่เป็นสองรองใคร นั่นคือ
เหล็กไหลเพลิง เหล็กไหลเพลิงเป็นเหล็กไหลอีกชนิดหนึ่งมีอานุภาพสูงมาก สูงจนอยู่เฉยไม่ได้ ธรรมดาเหล็กไหลอื่น ๆ แม้มีอานุภาพสูงมากก็จริง เมื่อเราเก็บรักษาไว้ในพานแล้ววางอยู่บนหิ้งพระ ก็จะอยู่นิ่ง ๆ อยู่เช่นนั้น เหมือนเราเก็บพระเครื่องพระบูชาธรรมดา แต่สำหรับเหล็กไหลเพลิงไม่ใช่เช่นนั้น เหล็กไหลเพลิงนี้มีสีแดงเหมือนสีของอิฐมอญแต่แวววาวเลื่อมประภัสสร ก็เหมือนเหล็กไหลทุกชนิดที่มีสีด้าน ๆ หมอง ๆ นั้นไม่ใช่อย่างแน่นอน ก้อนมีขนาดใหญ่ประมาณเท่านิ้วก้อยหรือใหญ่กว่านี้ก็มี ขึ้นอยู่กับผู้เรียกจะตัดแบ่งให้มีขนาดเท่าใด เวลาเรียกลงมาจะลงมาเป็นเส้นขนาดประมาณเท่าตะปูขนาดสี่ถึงหกนิ้ว มีจำนวนมาก บางที่เรียกครั้งหนึ่ง อาจมีมากถึงร้อยก้อนเลยทีเดียวภายหลังจากตัดแบ่งย่อยแล้ว เรียกว่าชามเซรามิคที่ใส่น้ำผึ้ง ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณหนึ่งฟุต ลงมาเต็มชามเลยทีเดียว น้ำผึ้งที่ใส่ไว้ในชามหนึ่งขวดใหญ่เหล็กไหลกินหมดทั้งขวดเลย เมื่อตัดเป็นก้อนแล้วเก็บไว้รวมกันเหล็กไหลเพลิงจะเกาะติดกันแกะด้วยมือไม่ออก เมื่อทุบให้แตกออกจากกันแล้ววางรวมกันไว้ ก็จะเกาะติดกันอีก สามารถเคลื่อนที่ได้โดยเรียงเป็นก้อนต่อ ๆ กัน แล้วเลื้อยไปเหมือนงูเลื้อย เมื่อเราเก็บไว้บนหิ้งพระ บางครั้งพอเข้าไปดู ปรากฏว่าเลื้อยไปอยู่บนหลังคาแล้วก็มี ในขณะที่ยังอยู่ในถ้ำแม้ว่ามีอยู่ มนุษย์ธรรมดาก็ไม่สามารถมองเห็นได้ หากต้องการจะทราบว่ามีอยู่หรือไม่ ต้องใช้กายทิพย์เข้าไปดูจึงจะรู้ได้ วิธีสังเกตุว่ามีเหล็กไหลชนิดนี้อยู่หรือไม่ ให้ดูว่าในถ้ำนั้น มีหินงอกหินย้อยเป็นสีแวววาวเหมือนสะเก็ดดาวระยิบระยับอยู่หรือไม่ ถ้ามีก็สันนิษฐานว่าน่าจะมีเหล็กไหลชนิดนี้อยู่ แต่ไม่แน่นอนเหมือนใช้กายทิพย์ในพระกรรมฐานเข้าไปดู ให้บูชาด้วยดอกไม้แดงหรือว่านแสงอาทิตย์ พระฤษีตาไฟเป็นผู้สร้าง อ่านมาถึงตอนนี้แล้วท่านทั้งหลายคงพอจะทราบว่า ที่ข้าพเจ้าโทรสอบถามผู้ที่อ้างว่ามีเหล็กไหลเพลิงในครอบครอง ว่าเหล็กไหลไม่เกาะรวมกัน แล้วในที่สุดก็ไม่กล้าให้ข้าพเจ้าดู ในตอนที่แล้วมา เพราะเห็นท่าว่าจะหลอกข้าพเจ้าไม่ได้ คงเก็บไปหลอกคนอื่นที่หลอกง่าย ๆ จะดีกว่า แม้แต่พระอาจารย์ของเขา ที่อ้างตนว่าเป็นถึงเจ้าคณะตำบล ก็ยังไม่กล้าติดต่อกับข้าพเจ้า มาถึงตอนนี้ท่านผู้อ่านคงพอจะรู้แล้วว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงตีว่าเหล็กไหลเพลิง ตามที่เขาอ้างมานั้นเป็นของปลอมโดยยังไม่ต้องทดสอบ ดูด้วยตาก็ไม่ผ่านแล้ว การแบ่งชนิดของเหล็กไหลเพลิงนี้ ใช้สีของเหล็กไหลเป็นสำคัญ เนื่องจาก นอกจากเหล็กไหลเพลิงแล้ว เหล็กไหลชนิดอื่นที่มีสีแดงนั้นไม่มี แต่จะใช้ขนาดในการพิจารณาไม่ได้ เพราะเหล็กไหลเพลิงมีขนาดที่ใกล้เคียงกับเหล็กไหลชนิดอื่น ๆ
เหล็กไหลเพลิงนอกจากมีอานุภาพในการป้องกันภยันตราย และอาวุธแล้ว ผู้ที่ฝังเหล็กไหลเพลิงยังสามารถทนกับความร้อนของไฟได้ แม้จะนั่งอยู่กลางกองไฟ ไฟก็จะไม้ไหม้คงรู้สึกเพียงอุ่น ๆ เท่านั้น นี่เองเป็นที่มาของคำพังเพยที่ว่า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ เช่นนี้ คำว่าตกน้ำไม่ไหลได้แก่เหล็กไหลโกฏิปี คำว่าตกไฟไม่ไหม้ได้แก่เหล็กไหลเพลิง อ่านมาถึงตอนนี้คงรู้แล้วว่า ทำไมคน ๆ หนึ่ง ถ้าจะให้สมบูรณ์จะต้องฝังเหล็กไหลสองก้อนนี้ เหมือนดั่งเสด็จอาจารย์ของข้าพเจ้าที่เคยกล่าวในตอนที่แล้ว
สำหรับประสบการณ์ในการเรียกเหล็กไหลเพลิงของข้าพเจ้า จะได้เล่าให้ฟังในตอนต่อไป การเขียนบทความนี้และตั้งแต่ต้นมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องพระกรรมฐาน เรื่องเหล็กไหลและเรื่องทุกเรื่องที่จะกล่าว ต่อ ๆ ไป ล้วนมาจากประสบการณ์ที่ข้าพเจ้ารับรู้จริงมาด้วยตนเองทั้งสิ้น ไม่ใช่เรื่องที่แต่งขึ้นมาแต่อย่างใด สำหรับเรื่องเหล็กไหลนี้ข้าพเจ้าได้อาศัยเค้าโครงเดิม จาก ตำนานเหล็กไหล ของ ท่านเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ เป็นเกณฑ์ในการเขียนโดยไม่มีการบิดเบือนหรือเสริมต่อแต่อย่างใด คงรักษาไว้เช่นเดิมทั้งสิ้น แต่มีการแทรกประสบการณ์จริงของข้าพเจ้าประกอบเข้าไปบ้าง เพื่อเป็นการอธิบาย และง่ายในการทำความเข้าใจ ในเนื้อเรื่องที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นทุกเรื่อง
เรื่องที่มาของตำนานเหล็กไหลนี้ เริ่มขึ้นเมื่อประมาณสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา ครั้งเมื่อข้าพเจ้ายังเสาะแสวงหาพระอาจารย์ ที่จะมาตอบคำถามของข้าพเจ้าดังได้กล่าวมาแล้ว ในตอนก่อน ๆ จนรู้สึกท้อแท้ ด้วยว่าสิ้นหนทางที่พระอาจารย์ท่านใด จะให้คำปรึกษาแก่ข้าพเจ้าได้ ตอนนั้นผ่านมายังจังหวัดราชบุรี สาเหตุที่มาจังหวัดราชบุรีก็เพราะว่าก่อนหน้านี้ข้าพเจ้าเดินทางไปอำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง ด้วยได้ทราบมาว่า มีพระท่านหนึ่งที่เกาะคา มีความรู้ความสามารถในพระกรรมฐานเป็นอย่างมาก ข้าพเจ้าหวังว่าจะได้รับคำชี้แนะจากท่าน ต่อมาหลังจากกลับจากลำปาง จึงได้พบกับพระอาจารย์ที่วัดดอยสุเทพ จังหวัดเชียงใหม่โดยบังเอิญ และท่านได้สอนวิธีเดินจงกลมให้แก่ข้าพเจ้า ดังที่เคยเล่าให้ฟังแล้วในตอนที่กล่าวถึงการเดินจงกลมที่ผ่านมา เมื่อไปถึงเกาะคาตอนนั้นยังไม่เป็นอำเภอเหมือนปัจจุบัน ไปหาท่านที่วัด จึงทราบว่าท่านอาพาธเป็นโรคกระเพาะอาหาร ไปรักษาตัวอยู่ที่จังหวัดราชบุรี พบกับพระลูกวัดที่นั่นท่านมีอัธยาศัยดีมาก ข้าพเจ้าจึงได้เล่าเรื่องที่ข้าพเจ้ามีปัญหาในการฝึกกรรมฐานที่ผ่านมาให้ฟัง ท่านก็เล่าว่าท่านเจ้าอาวาสวัดนี้เคยรักษาพระอีกรูปหนึ่ง ในอาการพระกรรมฐานแตกจนหายดี แล้วสอนจนสามารถฝึกกรรมฐานได้สำเร็จ จนในที่สุดมีชื่อเสียงด้วยกันทั้งสองท่าน ข้าพเจ้าได้ทราบเช่นนั้นก็ดีใจมาก คิดในใจว่าโชคดีแล้ว คงจะได้พ้นทุกข์ในคราวนี้เสียที ถ้าเป็นดังที่พระลูกวัดท่านเล่ามา ท่านก็บอกชื่อสำนักสงฆ์ในจังหวัดราชบุรีให้ ข้าพเจ้าก็จดจำไว้ ด้วยเหตุนี้ จึงเดินทางมาจังหวัดราชบุรี ในเรื่องตามหาพระอาจารย์ผู้นี้ข้าพเจ้าจะได้เล่าให้ฟังถึงพฤติการณ์ของเขาว่า การกระทำของเขาควรแก่การให้ความเคารพหรือไม่ในตอนต่อไป ข้าพเจ้าลองคิดดูก็พอจะเข้าใจแล้วว่า ที่เขาล้มป่วยลงน่าจะมาจากเวรกรรมที่เขาทำไว้กระมัง หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นข้อห้ามเสียมากกว่า
หลังจากพักอยู่เชียงใหม่ได้ระยะหนึ่ง ข้าพเจ้าได้เดินทางไปจังหวัดราชบุรี ก็มุ่งไปที่สำนักสงฆ์ตามที่พระลูกวัดที่เกาะคาได้บอกไว้ สำนักสงฆ์นี้อยู่นอกเมืองไปมาก อยู่บนเนินดินไม่สูงมากนัก ข้าพเจ้าไปต่างบ้านต่างเมืองก็ไม่รู้จักใคร ระหว่างรอรถสองแถวที่ผ่านไปทางสำนักสงฆ์นี้ ข้าพเจ้าได้แวะซื้อสบู่นกแก้วก้อนขนาดกลางหนึ่งโหล คิดว่าจะนำไปถวายท่านเจ้าอาวาสที่ตามมาจากลำปาง เจ้าสบู่นี่แหละเป็นเหตุให้มีเรื่อง ที่ข้าพเจ้าเองก็คิดไม่ถึงในวันข้างหน้า แล้วจะเล่าให้ฟังในคราวต่อไป พอไปถึงสำนักสงฆ์ดังกล่าวไม่พบพระแม้แต่รูปเดียว พบแต่ชีพราหมเพียงคนเดียวที่อยู่ที่นั่น สอบถามได้ความว่าพระที่จำวัดอยู่ที่นั่นกับพระที่ข้าพเจ้าตามหานั้นไปต่างจังหวัด อีกสองสามวันจึงจะกลับมาที่สำนักสงฆ์นี้อีก ข้าพเจ้ารู้สึกผิดหวังมากที่ไม่พบท่าน จะรอก็ไม่รู้กี่วันท่านจะกลับ จึงฝากแม่ชีให้ถวายสบู่นกแก้วที่ซื้อมา ให้กับแม่ชี และบอกว่าท่านกลับมาค่อยถวายให้ท่านด้วย แล้วก็ลากลับในตอนนั้น เวลายังไม่เที่ยงวันรถที่นั่งกลับ ก็มาถึงสุดสายของเขา เป็นอำเภออะไรก็จำไม่ได้เป็นชุมชนอยู่ ตอนนั้นข้าพเจ้าเดินทางกับมารดาสองคนเห็นว่ายังมีเวลา จึงสอบถามกับคนรถว่า มีพระอาจารย์ที่นี่ ที่เก่ง ๆ หรือไม่ ได้รับคำตอบว่ามี ท่านชื่อหลวงพ่อสำเนียงอยู่สถาพร เป็นบุตรชายของเสด็จในกรม กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ อยู่ที่วัดเวรุวนาราม สำหรับชื่อวัดนี้ข้าพเจ้าจำได้ไม่ชัดเจน จึงขอละไว้หากว่าเขียนผิดไป ข้าพเจ้าจึงได้เหมารถให้ไปส่งที่วัด โชคดีท่านอยู่วัดพอดี ในตอนนั้นท่านมีดำริจะสร้างอุโบสถอเนกประสงค์สามชั้น ทำด้วยหินอ่อนทั้งหลังงบประมาณหกร้อยล้าน ใครทำบุญหนึ่งหมื่นบาทขึ้นไปท่านจะให้พระสมเด็จหนึ่งองค์ ข้าพเจ้ามีเงินน้อยทำบุญขนาดนั้นไม่ไหว จึงทำบุญไปหนึ่งร้อยบาท ท่านก็ให้หนังสือมาหนึ่งเล่ม ท่านบอกว่ามีตำนานเหล็กไหลอยู่ในหนังสือเล่มนี้ เป็นบันทึกจากลายพระหัตถ์ของเสด็จท่านเองโดยตรง และได้ลงพระนามไว้ในท้ายข้อเขียนเป็นลายเซ็นพอจะอ่านได้ว่า อาภากร เกียรติวงศ์ ซึ่งเป็นพระนามของท่าน นี่แหละคือที่มาของ ตำนานเหล็กไหล ที่ข้าพเจ้าเขียนขึ้นมานี้ทั้งหมด
เขียนมาถึงตอนนี้แล้ว ขอยกยอดคนนุ่งผ้าเหลืองเรียกเหล็กไหลหลอกคนให้ฟังในตอนต่อไป อย่าลืมพบกันทุกวันอาทิตย์ครับ