นมัสเต
............................................................................................................................................
นี่ไม่ใช่รีวิวแรก แต่เป็น “รีวิวทริปในฝัน” เป็นประเทศที่อยากไปมาตั้งแต่เด็กๆ ฝันว่าอยากไปนั่งเล่นริมขอบหิมาลัยซักครั้ง
นี่อาจไม่ใช่การรีวิวที่ละเอียดมากๆแบบที่หลายๆคนเคยเห็น แต่เป็นรีวิวที่ให้สัญญากับเพื่อนๆที่เนปาลไว้ว่าจะเขียนให้เสร็จ ซึ่งก็ใช้เวลาเนิ่นนานเหลือเกิน จนมาชนกับทริปถัดไป
ไปเที่ยวเนปาลมาเมื่อเดือนมีนาคม 2015 ค่ะ กลับมาพร้อมรอยยิ้มและความสุขแบบเต็มอิ่ม
และเมื่อไม่นานมานี้ เนปาลเจอวิกฤติหนัก ได้ยินข่าวครั้งแรกตกใจและเสียใจมาก เมื่อพบว่าทั้งผู้คนประสบกับความยากลำบาก หลายชีวิตสูญเสีย หลายครอบครัวพลัดพราก
ไม่รวมถึงมรดกโลกทั้งหลาย ที่เราไปยืนชื่นชมและถ่ายรูปมาเป็นที่ระลึก สถานที่เหล่านั้นพังทลายลงอย่างน่าเสียดาย
วันนี้เลยอยากทำสัญญาที่ให้ไว้ เขียนรีวิวจังหวะของความสุข ความสนุกสนานและการผจญภัยของพวกเรา ที่ประทับใจจนบอกกันว่า “พวกเราจะกลับไปเยี่ยมเนปาลอีกครั้ง”
แน่นอนว่า ถึงแม้จะไม่มีมรดกโลกให้ได้ชมอย่างเคย แต่การได้กลับไปเยี่ยมเพื่อนเก่า ที่รู้สึกคุ้นเคยกันมานาน เป็นเรื่องที่น่าตั้งตารอ
STAY STRONG NEPAL, TILL WE MEET AGAIN
ติชมเพิ่มเติมหรือตามมาเยี่ยมเยียนได้ที่ facebook เพจ
A REMARKABLE JOURNEY นะคะ
https://www.facebook.com/ARemarkableJourney/
Instagram: aremarkablejourney
Trip Itinerary:
Day1: 28 Feb 2015 , Bangkok >> Kathmandu
Day2: 1 Mar 2015, Swayambhudanath / Boudhanath / Pashupatinath Temple / Bhaktapur / Nagarkot
Day 3: 2 Mar 2015, Nagarkot >> Patan >> Kathmandu
Day 4: 3 Mar 2015, Kathmandu >> Pokhara
Day 5: 4 Mar 2015, Pokhara >> Sarangkot
Day 6: 5 Mar 2015, Pokhara >> Kathmandu
Day 7: 6 Mar 2015, Kathmandu
Day 8: 7 Mar 2015 (สนามบินปิด ต้องเที่ยวต่อ), Kathmandu >> Namo Bhudha (Tibetian Monastery)
Day 9: 8 Mar 2015, Kathmandu >> Bangkok
NEPAL ตั้งนานกว่าจะได้เจอ
เคยวางแผนทริปเนปาลมาแล้วก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง
ครั้งแรก จองตั๋วไว้แล้วกำลังจะไปขอวีซ่า ทางสถานฑูตตอบมาว่า “กำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ ไม่แนะนำให้เดินทางไปเที่ยวเลย เพราะอาจเกิดจราจล” เลยต้องยกเลิกตั๋วที่จองไป แล้วเปลี่ยนแผนกระทันหัน มุ่งหน้าไป “SIKKIM” แทน
ครั้งที่สอง อีก 10 วันก่อนเดินทาง จองตั๋วรอจ่ายตังค์ จองไกด์และ Porter ไว้เรียบร้อย นัดวันเวลากันแบบลงตัวมากๆ แต่โชคก็ไม่เข้าข้างพวกเราอีกครั้ง ตอนนั้นเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในบ้านเรา สนามบินแห่งชาติถูกปิดเป็นสัปดาห์ และไม่มีวี่แววว่าจะเปิดในวันที่เราจะเดินทาง ทริปที่วางเอาไว้ซะดิบดี พังลงอีกครั้ง….
ฉันกับเนปาล ก็งอนกันตั้งแต่วันนั้น ไม่คิดจะกลับไปอีกหลายปี
จะว่าไป ความโชคดีของการพลาดทริปสองครั้งนั้นก็ยังมี เพราะทราบมาว่าช่วงนั้นเนปาลชุลมุนกันมาก ประท้วงกันใหญ่โต และประกาศเคอร์ฟิว ตัดน้ำตัดไฟ(ปกติก็ตัดอยู่แล้ว) ทำให้นักท่องเที่ยวที่ติดอยู่ที่นั่นลำบากมาก หลายคนบอกว่าร้านอาหารไม่เปิดเลย หาข้าวกินไม่ได้ ถ้าหิวก็ต้องแอบเข้าไปสั่งหลังร้าน
ฟังแล้วขนลุก…..ความโชคร้าย มักจะมาพร้อมกับความโชคดีสินะ
.
.
ผ่านมาหลายปี ความโกรธของฉันกับเนปาลทุเลาลง แม้ความผิดหวังในครั้งนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำ แต่พอมีโอกาสครั้งใหม่ ก็ไม่วายคิดถึงเนปาลเป็นตัวเลือกแรก
ทริปนี้จึงเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน เมื่อการบินไทยออกตั๋วโปรโมชั่นยั่วใจนักเดินทาง เลยตกลงซื้อตั๋วโดยไม่ไถ่ถามใคร จนสุดท้ายเพื่อนสาวอีกสามคน ทนไม่ไหว ซื้อตั๋วตามกันมา
ครั้งนี้แอบมีเรื่องราวการเมืองมาทำให้หวั่นทริปล่มอีกครั้ง พอซื้อตั๋วไปไม่กี่วัน ก็มีข่าวชาวเนปาลประท้วงอีกแล้ว!!!!! กรรม!!!!! มารผจญสุดๆ แต่ก็คิดแผนไว้แล้วว่า ถ้าเค้ายังประท้วงกันอยู่ จะนั่งเครื่องต่อจาก Kathmandu ไปที่ Pokhara ซะเลย ยังไงก็จะไม่ยอมพลาดทริปนี้แน่ๆ
และการเดินทางของเราก็เริ่มขึ้น
............................................................................................................................................
Meet the Everest Mt.
ปกตินั่งเครื่องทีไรจะหลับตลอด แต่มาคราวนี้นั่งเครื่องมา3ชั่วโมงไม่ยอมนอน กลัวพลาดชมหิมาลัยจากหน้าต่าง ที่ใครๆก็ว่าเป็น A Must
จองตั๋วระบุที่นั่งตัวเองเสร็จสรรพ ขาไปให้นั่งติดหน้าต่างฝั่งขวา(แถว K) ส่วนขากลับให้นั่งฝั่งซ้าย(แถว A) เพื่อจะได้เห็นเทือกหิมาลัยจากบนเครื่อง
ต้องขอบคุณคำแนะนำดีๆอันนั้น เพราะเราได้เห็นฟ้าสวยใสมาก เทือกเขาหิมาลัยโดดเด่น แต่เพราะความจำเป็นบางอย่างจึงเอากล้องออกมาไม่ได้ ใช้มือถือถ่ายซึ่งภาพไม่ชัดเลย งานนี้เลยต้องเก็บความสวยงามไว้ด้วยตาเปล่า เหลือภาพมาฝากแบบเบลอๆ
ย้อนกลับมาเรื่องวีซ่า
เราไปทำ VISA On Arrival ค่ะ เพราะไม่มีเวลาไปขอที่สถานฑูต เลยกะจะไปตายเอาดาบหน้า ค่าใช่จ่าย 25$ พร้อมรูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 1 ใบ และวันนั้นต่อคิวไม่ยาวเท่าไหร่ อาจเพราะช่วงที่เราไปยังไม่ใช่ช่วงพีค
ตอนอยู่บนเครื่อง เราจะได้รับแจกเอกสารขาเข้าและแบบฟอร์มสำหรับขอวีซ่า ถ้าได้ไม่ครบให้ขอกับ Cabin Crew ได้เลยค่ะ ลงจากเครื่องแล้วเดินตามป้ายมา รับรองไม่มีหลง เพราะสนามบินไม่ใหญ่ เดินมาถึงimmigration hall เราจะเห็น counter สำหรับคนที่ต้องการขอวีซ่า ไปต่อคิวแล้วรอได้เลย ส่วนใครที่มีวีซ่ามาจากเมืองไทยแล้ว เดินผ่านตรวจคนเข้าเมืองแบบชิลๆกันไป
พวกเราใช้เวลาไม่นานก็ได้วีซ่าแปะมาในเล่ม ได้เวลาออกมาผจญภัยด้านหน้าสนามบินกันแล้วค่ะ
ฝ่าด่านแรก สนามบินตรีภูวัน
เราคาดการณ์ความชุลมุนวุ่นวายหน้าสนามบินไว้ก่อนเดินทาง เลยตัดสินใจจองรถที่โรงแรมมารอรับ และบอกเลยว่าคิดถูก ขี้เกียจจะไปวุ่นวายกับคนขับรถคนอื่นๆ การต่อราคาหรือโดนฟันหัวแบะตั้งแต่วันแรกของทริป อยากเริ่มต้นแบบชิลๆหน่อยดีกว่า
คนมารอรับ รออยู่นานแล้ว ระหว่างที่เรายืนรอรถมารับ ยังมีคนขับรถคันอื่นๆแวะเวียนมาทักทาย บ้างก็ “หนีห่าว” บ้างก็ถามว่า “Thailand?” แปลได้ว่าคนไทยมาเยอะจนคนที่นี่สามารถทักได้ คุยกันพอหอมปากหอมคอ ก็รีบหนีขึ้นรถเข้าเมือง
ระยะทางจากสนามบินไปย่านทาเมลไม่ไกลมาก ที่Kathmandu มีรถติดบ้างแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่ารถติด คือ “ฝุ่นควัน”
ฝุ่นดำมาก มาถึงโรงแรมแล้วเช็ดจมูกนี่ดำปี๋ น่ากลัวสุดๆ สงสารคนที่นี่อยู่แบบมีมลพิษ
โรงแรมเราอยู่ใกล้ย่านทาเมล เดินนิดเดียวถึงค่ะ โรงแรม Potala Tourist Home ตั้งอยู่ในซอยหน่อย เงียบและสงบดี ห้องพักก็สะอาด เราพักห้อง 4 คน (2 ห้องนอน ประตูเชื่อมถึงกัน มีห้องนำ 1 ห้อง) ราคาห้องละ 40$ จองผ่าน booking.com มา
พนักงานโรงแรมทุกคนน่ารักมาก คุยเก่งและเป็นกันเอง เราพักที่นี่มา 5 วัน จนกลายเป็นเพื่อนสนิทและอยู่เหมือนบ้านตัวเอง เวลาออกไปเที่ยวไหน พอกลับมาถึงโรงแรมแล้วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ใครยังไม่มีที่พักในใจ แนะนำที่นี่เลย เรื่องราคา ก็ไม่แพงมาก เค้ามีห้องเดี่ยวราคา 12$ และ 20$ ด้วย สามารถเลือกได้ตามความชอบเลยค่ะ
พนักงานโรงแรมที่ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย ชื่อ Ramesh และคนขับรถของเราชื่อ Luk เดี๋ยวจะได้ยินชื่อนี้บ่อยๆนะคะ
เก็บของที่ห้องพักเรียบร้อยแล้วก็กะว่าจะออกไปเที่ยวตามวัดต่างๆ แต่ Ramesh บอกว่าแนะนำให้เดินเที่ยวที่ Thamel และ Durbar square ก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเก็บที่อื่นๆที่เราอยากไป แล้วเค้าจะไปส่งที่ Nagarkot เลย
หลังจากสอบถามราคา(ซึ่งเค้าก็ท้าให้ไปถามในย่านทาเมลก่อนเลย ใครให้ถูกกว่าที่เค้าให้ กลับมาบอกได้)
พอเราออกไปเดินจริงๆ มัวแต่เพลิดเพลินกับบ้านเมืองเค้า ไม่ได้แวะไปถามราคาที่ไหนเลย สุดท้ายก็กลับมาตายรังกับ Ramesh นั่นแหละ
DAY 1: Nepal Street View
ออกจากโรงแรมมานิดเดียว เจอถนนบ้านเค้า เกิดอาการช็อคไป 18 วิ….ทั้งรถทั้งคนเบียดกันบนถนนเล็กๆ แถมเรายังต้องหลบพ่อค้าแม่ขายข้างทางและกลางตลาด แต่นี่คือสีสันใจกลางเมืองหลวง!!!
ขอบอกว่าเดินเพลินมาก ทุกอย่างตื่นตาไปหมด เดิน หยุด แวะ แชะ++ แล้วเดินต่อ
ยังเดินไม่ถึงไหน ท้องเริ่มร้อง เพราะอาหารมือสุดท้ายคือกินจากบนเครื่องบิน เลยชวนกันแวะร้านโมโม่ข้างทาง ตั้งใจจะมากินโมโม่ แต่ไหวสั่งเบียร์มาด้วย อาหารมื้อนั้นเลยกลายเป็น Beer Testing แล้วมีโมโม่เป็นกับแกล้มแทน
มา 4 คน สั่งBeer 4 ขวด 4ยี่ห้อ เอามาชิมขำๆ
มัวแต่นั่งจิบเบียร์กันอยู่ เสียเวลาไปพักใหญ่ เลยชักชวนกันออกเดินต่อดีกว่า ก่อนที่จะเลยเถิด แล้วไม่ได้ชมเมือง
เดินเล่นแป๊บๆ มืดซะแล้ว พอความมืดเข้าครอบคลุม มองแทบไม่เห็นทางเดิน เพราะไฟฟ้าไม่มีค่ะ เพราะที่นี่เค้ามีนโยบายปิดไฟเป็นเวลาทุกๆวัน
พวกเราต้องหาทางกลับโรงแรมแบบมืดๆ เกือบหลงทางตั้งแต่วันแรก เดินกลับมาตัวหนาวสั่น ไฟฟ้าดับน้ำอุ่นไม่มี….อยากกรีดร้องให้ก้องโลก ต้องรออาบน้ำพรุ่งนี้เช้า
น้ำไม่อาบ แต่ข้าวต้องกิน เลยสั่งข้าวที่โรงแรมมาประทังความหิว แล้วคุยเรื่องการเดินทางพรุ่งนี้และวันถัดๆไปด้วย เราตกลงซื้อทัวร์กับRamesh ทั้งหมด ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ค่ะ
- เที่ยวในเมือง Kathmandu (Swayambhudanath / Boudhanath / Pashupatinath Temple) 30$
- แวะเที่ยว Bhaktapur แล้วส่งถึง Nagarkot 30$
- ส่งรถไปรับกลับจาก Nagarkot และ Patan แล้วกลับมานอนโรงแรม 40$
- รถไป Pokhara 90$
- ตั๋วเครื่องบินกลับจาก Pokhala ด้วยสายการบิน Yeti Airline 100$*4 คน
รวมทั้งหมด 590 $ สำหรับ 4 คน
ราคาอาจจะไม่ถูกที่สุด แต่ที่ชอบคือ อัธยาศัยของ Ramesh ทำให้เราค่อนข้างสบายใจว่าไม่โดนหลอก แล้วเราก็พอใจและสะดวกใจจะจ่ายราคาเท่านี้ เลยตกลงจองไป (เพื่อนๆอาจจะหาราคาที่ถูกกว่านี้ได้นะคะ มี Travel Agency ให้เลือกหลายที่ และเห็นบางกระทู้แจ้งว่ามีเอเจนซี่ที่สามารถหาตั๋วเครื่องบินได้ในราคา 75$ แต่พวกเราขี้เกียจตามหากันเอง)
เสร็จสรรพเรียบร้อยจ่ายตังค์ คืนนี้ได้เวลาต้องนอนเก็บแรงไว้ลุยต่อวันพรุ่งนี้
[CR] [A Remarkable Journey] +++ NEPAL จังหวะช่า ช่า ช่า และมนตราหิมาลัย+++ ตอนที่ 1
นี่ไม่ใช่รีวิวแรก แต่เป็น “รีวิวทริปในฝัน” เป็นประเทศที่อยากไปมาตั้งแต่เด็กๆ ฝันว่าอยากไปนั่งเล่นริมขอบหิมาลัยซักครั้ง
นี่อาจไม่ใช่การรีวิวที่ละเอียดมากๆแบบที่หลายๆคนเคยเห็น แต่เป็นรีวิวที่ให้สัญญากับเพื่อนๆที่เนปาลไว้ว่าจะเขียนให้เสร็จ ซึ่งก็ใช้เวลาเนิ่นนานเหลือเกิน จนมาชนกับทริปถัดไป
ไปเที่ยวเนปาลมาเมื่อเดือนมีนาคม 2015 ค่ะ กลับมาพร้อมรอยยิ้มและความสุขแบบเต็มอิ่ม
และเมื่อไม่นานมานี้ เนปาลเจอวิกฤติหนัก ได้ยินข่าวครั้งแรกตกใจและเสียใจมาก เมื่อพบว่าทั้งผู้คนประสบกับความยากลำบาก หลายชีวิตสูญเสีย หลายครอบครัวพลัดพราก
ไม่รวมถึงมรดกโลกทั้งหลาย ที่เราไปยืนชื่นชมและถ่ายรูปมาเป็นที่ระลึก สถานที่เหล่านั้นพังทลายลงอย่างน่าเสียดาย
วันนี้เลยอยากทำสัญญาที่ให้ไว้ เขียนรีวิวจังหวะของความสุข ความสนุกสนานและการผจญภัยของพวกเรา ที่ประทับใจจนบอกกันว่า “พวกเราจะกลับไปเยี่ยมเนปาลอีกครั้ง”
ติชมเพิ่มเติมหรือตามมาเยี่ยมเยียนได้ที่ facebook เพจ A REMARKABLE JOURNEY นะคะ
https://www.facebook.com/ARemarkableJourney/
Instagram: aremarkablejourney
Trip Itinerary:
Day1: 28 Feb 2015 , Bangkok >> Kathmandu
Day2: 1 Mar 2015, Swayambhudanath / Boudhanath / Pashupatinath Temple / Bhaktapur / Nagarkot
Day 3: 2 Mar 2015, Nagarkot >> Patan >> Kathmandu
Day 4: 3 Mar 2015, Kathmandu >> Pokhara
Day 5: 4 Mar 2015, Pokhara >> Sarangkot
Day 6: 5 Mar 2015, Pokhara >> Kathmandu
Day 7: 6 Mar 2015, Kathmandu
Day 8: 7 Mar 2015 (สนามบินปิด ต้องเที่ยวต่อ), Kathmandu >> Namo Bhudha (Tibetian Monastery)
Day 9: 8 Mar 2015, Kathmandu >> Bangkok
เคยวางแผนทริปเนปาลมาแล้วก่อนหน้านี้ 2 ครั้ง
ครั้งแรก จองตั๋วไว้แล้วกำลังจะไปขอวีซ่า ทางสถานฑูตตอบมาว่า “กำลังจะมีการเลือกตั้งใหญ่ ไม่แนะนำให้เดินทางไปเที่ยวเลย เพราะอาจเกิดจราจล” เลยต้องยกเลิกตั๋วที่จองไป แล้วเปลี่ยนแผนกระทันหัน มุ่งหน้าไป “SIKKIM” แทน
ครั้งที่สอง อีก 10 วันก่อนเดินทาง จองตั๋วรอจ่ายตังค์ จองไกด์และ Porter ไว้เรียบร้อย นัดวันเวลากันแบบลงตัวมากๆ แต่โชคก็ไม่เข้าข้างพวกเราอีกครั้ง ตอนนั้นเกิดความขัดแย้งทางการเมืองในบ้านเรา สนามบินแห่งชาติถูกปิดเป็นสัปดาห์ และไม่มีวี่แววว่าจะเปิดในวันที่เราจะเดินทาง ทริปที่วางเอาไว้ซะดิบดี พังลงอีกครั้ง….
ฉันกับเนปาล ก็งอนกันตั้งแต่วันนั้น ไม่คิดจะกลับไปอีกหลายปี
จะว่าไป ความโชคดีของการพลาดทริปสองครั้งนั้นก็ยังมี เพราะทราบมาว่าช่วงนั้นเนปาลชุลมุนกันมาก ประท้วงกันใหญ่โต และประกาศเคอร์ฟิว ตัดน้ำตัดไฟ(ปกติก็ตัดอยู่แล้ว) ทำให้นักท่องเที่ยวที่ติดอยู่ที่นั่นลำบากมาก หลายคนบอกว่าร้านอาหารไม่เปิดเลย หาข้าวกินไม่ได้ ถ้าหิวก็ต้องแอบเข้าไปสั่งหลังร้าน
ฟังแล้วขนลุก…..ความโชคร้าย มักจะมาพร้อมกับความโชคดีสินะ
.
.
ผ่านมาหลายปี ความโกรธของฉันกับเนปาลทุเลาลง แม้ความผิดหวังในครั้งนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำ แต่พอมีโอกาสครั้งใหม่ ก็ไม่วายคิดถึงเนปาลเป็นตัวเลือกแรก
ทริปนี้จึงเกิดขึ้นอย่างกระทันหัน เมื่อการบินไทยออกตั๋วโปรโมชั่นยั่วใจนักเดินทาง เลยตกลงซื้อตั๋วโดยไม่ไถ่ถามใคร จนสุดท้ายเพื่อนสาวอีกสามคน ทนไม่ไหว ซื้อตั๋วตามกันมา
ครั้งนี้แอบมีเรื่องราวการเมืองมาทำให้หวั่นทริปล่มอีกครั้ง พอซื้อตั๋วไปไม่กี่วัน ก็มีข่าวชาวเนปาลประท้วงอีกแล้ว!!!!! กรรม!!!!! มารผจญสุดๆ แต่ก็คิดแผนไว้แล้วว่า ถ้าเค้ายังประท้วงกันอยู่ จะนั่งเครื่องต่อจาก Kathmandu ไปที่ Pokhara ซะเลย ยังไงก็จะไม่ยอมพลาดทริปนี้แน่ๆ
และการเดินทางของเราก็เริ่มขึ้น
ปกตินั่งเครื่องทีไรจะหลับตลอด แต่มาคราวนี้นั่งเครื่องมา3ชั่วโมงไม่ยอมนอน กลัวพลาดชมหิมาลัยจากหน้าต่าง ที่ใครๆก็ว่าเป็น A Must
จองตั๋วระบุที่นั่งตัวเองเสร็จสรรพ ขาไปให้นั่งติดหน้าต่างฝั่งขวา(แถว K) ส่วนขากลับให้นั่งฝั่งซ้าย(แถว A) เพื่อจะได้เห็นเทือกหิมาลัยจากบนเครื่อง
ต้องขอบคุณคำแนะนำดีๆอันนั้น เพราะเราได้เห็นฟ้าสวยใสมาก เทือกเขาหิมาลัยโดดเด่น แต่เพราะความจำเป็นบางอย่างจึงเอากล้องออกมาไม่ได้ ใช้มือถือถ่ายซึ่งภาพไม่ชัดเลย งานนี้เลยต้องเก็บความสวยงามไว้ด้วยตาเปล่า เหลือภาพมาฝากแบบเบลอๆ
เราไปทำ VISA On Arrival ค่ะ เพราะไม่มีเวลาไปขอที่สถานฑูต เลยกะจะไปตายเอาดาบหน้า ค่าใช่จ่าย 25$ พร้อมรูปถ่ายขนาด 2 นิ้ว 1 ใบ และวันนั้นต่อคิวไม่ยาวเท่าไหร่ อาจเพราะช่วงที่เราไปยังไม่ใช่ช่วงพีค
ตอนอยู่บนเครื่อง เราจะได้รับแจกเอกสารขาเข้าและแบบฟอร์มสำหรับขอวีซ่า ถ้าได้ไม่ครบให้ขอกับ Cabin Crew ได้เลยค่ะ ลงจากเครื่องแล้วเดินตามป้ายมา รับรองไม่มีหลง เพราะสนามบินไม่ใหญ่ เดินมาถึงimmigration hall เราจะเห็น counter สำหรับคนที่ต้องการขอวีซ่า ไปต่อคิวแล้วรอได้เลย ส่วนใครที่มีวีซ่ามาจากเมืองไทยแล้ว เดินผ่านตรวจคนเข้าเมืองแบบชิลๆกันไป
พวกเราใช้เวลาไม่นานก็ได้วีซ่าแปะมาในเล่ม ได้เวลาออกมาผจญภัยด้านหน้าสนามบินกันแล้วค่ะ
เราคาดการณ์ความชุลมุนวุ่นวายหน้าสนามบินไว้ก่อนเดินทาง เลยตัดสินใจจองรถที่โรงแรมมารอรับ และบอกเลยว่าคิดถูก ขี้เกียจจะไปวุ่นวายกับคนขับรถคนอื่นๆ การต่อราคาหรือโดนฟันหัวแบะตั้งแต่วันแรกของทริป อยากเริ่มต้นแบบชิลๆหน่อยดีกว่า
คนมารอรับ รออยู่นานแล้ว ระหว่างที่เรายืนรอรถมารับ ยังมีคนขับรถคันอื่นๆแวะเวียนมาทักทาย บ้างก็ “หนีห่าว” บ้างก็ถามว่า “Thailand?” แปลได้ว่าคนไทยมาเยอะจนคนที่นี่สามารถทักได้ คุยกันพอหอมปากหอมคอ ก็รีบหนีขึ้นรถเข้าเมือง
ระยะทางจากสนามบินไปย่านทาเมลไม่ไกลมาก ที่Kathmandu มีรถติดบ้างแต่สิ่งที่น่ากลัวกว่ารถติด คือ “ฝุ่นควัน”
ฝุ่นดำมาก มาถึงโรงแรมแล้วเช็ดจมูกนี่ดำปี๋ น่ากลัวสุดๆ สงสารคนที่นี่อยู่แบบมีมลพิษ
โรงแรมเราอยู่ใกล้ย่านทาเมล เดินนิดเดียวถึงค่ะ โรงแรม Potala Tourist Home ตั้งอยู่ในซอยหน่อย เงียบและสงบดี ห้องพักก็สะอาด เราพักห้อง 4 คน (2 ห้องนอน ประตูเชื่อมถึงกัน มีห้องนำ 1 ห้อง) ราคาห้องละ 40$ จองผ่าน booking.com มา
พนักงานโรงแรมทุกคนน่ารักมาก คุยเก่งและเป็นกันเอง เราพักที่นี่มา 5 วัน จนกลายเป็นเพื่อนสนิทและอยู่เหมือนบ้านตัวเอง เวลาออกไปเที่ยวไหน พอกลับมาถึงโรงแรมแล้วรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก
ใครยังไม่มีที่พักในใจ แนะนำที่นี่เลย เรื่องราคา ก็ไม่แพงมาก เค้ามีห้องเดี่ยวราคา 12$ และ 20$ ด้วย สามารถเลือกได้ตามความชอบเลยค่ะ
พนักงานโรงแรมที่ตอนนี้กลายเป็นเพื่อนกันไปโดยปริยาย ชื่อ Ramesh และคนขับรถของเราชื่อ Luk เดี๋ยวจะได้ยินชื่อนี้บ่อยๆนะคะ
เก็บของที่ห้องพักเรียบร้อยแล้วก็กะว่าจะออกไปเที่ยวตามวัดต่างๆ แต่ Ramesh บอกว่าแนะนำให้เดินเที่ยวที่ Thamel และ Durbar square ก่อนดีกว่า แล้วพรุ่งนี้ค่อยไปเก็บที่อื่นๆที่เราอยากไป แล้วเค้าจะไปส่งที่ Nagarkot เลย
หลังจากสอบถามราคา(ซึ่งเค้าก็ท้าให้ไปถามในย่านทาเมลก่อนเลย ใครให้ถูกกว่าที่เค้าให้ กลับมาบอกได้)
พอเราออกไปเดินจริงๆ มัวแต่เพลิดเพลินกับบ้านเมืองเค้า ไม่ได้แวะไปถามราคาที่ไหนเลย สุดท้ายก็กลับมาตายรังกับ Ramesh นั่นแหละ
DAY 1: Nepal Street View
ออกจากโรงแรมมานิดเดียว เจอถนนบ้านเค้า เกิดอาการช็อคไป 18 วิ….ทั้งรถทั้งคนเบียดกันบนถนนเล็กๆ แถมเรายังต้องหลบพ่อค้าแม่ขายข้างทางและกลางตลาด แต่นี่คือสีสันใจกลางเมืองหลวง!!!
ขอบอกว่าเดินเพลินมาก ทุกอย่างตื่นตาไปหมด เดิน หยุด แวะ แชะ++ แล้วเดินต่อ
ยังเดินไม่ถึงไหน ท้องเริ่มร้อง เพราะอาหารมือสุดท้ายคือกินจากบนเครื่องบิน เลยชวนกันแวะร้านโมโม่ข้างทาง ตั้งใจจะมากินโมโม่ แต่ไหวสั่งเบียร์มาด้วย อาหารมื้อนั้นเลยกลายเป็น Beer Testing แล้วมีโมโม่เป็นกับแกล้มแทน
มา 4 คน สั่งBeer 4 ขวด 4ยี่ห้อ เอามาชิมขำๆ
มัวแต่นั่งจิบเบียร์กันอยู่ เสียเวลาไปพักใหญ่ เลยชักชวนกันออกเดินต่อดีกว่า ก่อนที่จะเลยเถิด แล้วไม่ได้ชมเมือง
เดินเล่นแป๊บๆ มืดซะแล้ว พอความมืดเข้าครอบคลุม มองแทบไม่เห็นทางเดิน เพราะไฟฟ้าไม่มีค่ะ เพราะที่นี่เค้ามีนโยบายปิดไฟเป็นเวลาทุกๆวัน
พวกเราต้องหาทางกลับโรงแรมแบบมืดๆ เกือบหลงทางตั้งแต่วันแรก เดินกลับมาตัวหนาวสั่น ไฟฟ้าดับน้ำอุ่นไม่มี….อยากกรีดร้องให้ก้องโลก ต้องรออาบน้ำพรุ่งนี้เช้า
น้ำไม่อาบ แต่ข้าวต้องกิน เลยสั่งข้าวที่โรงแรมมาประทังความหิว แล้วคุยเรื่องการเดินทางพรุ่งนี้และวันถัดๆไปด้วย เราตกลงซื้อทัวร์กับRamesh ทั้งหมด ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ค่ะ
- เที่ยวในเมือง Kathmandu (Swayambhudanath / Boudhanath / Pashupatinath Temple) 30$
- แวะเที่ยว Bhaktapur แล้วส่งถึง Nagarkot 30$
- ส่งรถไปรับกลับจาก Nagarkot และ Patan แล้วกลับมานอนโรงแรม 40$
- รถไป Pokhara 90$
- ตั๋วเครื่องบินกลับจาก Pokhala ด้วยสายการบิน Yeti Airline 100$*4 คน
รวมทั้งหมด 590 $ สำหรับ 4 คน
ราคาอาจจะไม่ถูกที่สุด แต่ที่ชอบคือ อัธยาศัยของ Ramesh ทำให้เราค่อนข้างสบายใจว่าไม่โดนหลอก แล้วเราก็พอใจและสะดวกใจจะจ่ายราคาเท่านี้ เลยตกลงจองไป (เพื่อนๆอาจจะหาราคาที่ถูกกว่านี้ได้นะคะ มี Travel Agency ให้เลือกหลายที่ และเห็นบางกระทู้แจ้งว่ามีเอเจนซี่ที่สามารถหาตั๋วเครื่องบินได้ในราคา 75$ แต่พวกเราขี้เกียจตามหากันเอง)
เสร็จสรรพเรียบร้อยจ่ายตังค์ คืนนี้ได้เวลาต้องนอนเก็บแรงไว้ลุยต่อวันพรุ่งนี้