Kyushu เป็นเกาะใหญ่อันดับ3 ของญี่ปุ่น มีอะไรให้เที่ยวเยอะเลยแหละ 7วัน6คืน
ยังเที่ยวNorth Kyushuได้ไม่จุใจเลย
แต่ละวันก็จะมีที่เที่ยวคร่าวๆประมาณนี้
Day 1 : Dazaifu, Starbucks Dazaifu, Kyushu National Museum
Day 2 : Fukuoka Tower, Morizon, Momochi, Hawk town, Robot square, Marinoa outlet, Yatai
Day 3 : Huis Ten Bosch
Day 4 : Mt.Aso, Aso Boy!, Kusasenri, Kumamoto, Suizenji
Day 5 : Beppu, Yufuin, Yufuin No Mori
Day 6 : Ohori, Tochoji temple, Parco, One piece shop, Nakasu, Kawabata, Tenjin underground shopping center
Day 7 : Fukuoka Airport
------------------------------------------------------------------------------
เริ่มวันแรกเลย
วันที่ 1
ทริปนี้ไม่ได้แพลนมาก่อน พอเห็นตั๋วถูกปุ๊ปเลยซื้อกันเลย เดินทางกันด้วยสายการบิน JetStar ราคาไป-กลับคนละ 6,233 บาท (ยังไม่รวมโหลดกระเป๋า) เคยบินโปรการบินไทย 18,000 บาท ราคานี้เลยเหมือนได้ส่วนลดไปฟรีๆหมื่นกว่าบาท
เวลาออกเดินทางไฟล์ต 3K509 ออกเวลา 2.15 น. จากสุวรรณภูมิ กลับไฟล์ต3K510 เวลา 10.45 น. (เดี๋ยวไฟล์ตกลับนี่มีเรื่องให้ลุ้นด้วย)
มาถึงสุวรรณภูมิก่อนเวลาแต่ดึกขนาดนี้คนก็ยังเยอะเหมือนเดิม สำหรับด่านตม. ตอนนี้ถ้าถือPassportไทย ผ่านไปได้แบบรวดเร็วด้วยเครื่องนี้ แถวก็ไม่มี กดไฟล์ตเข้าไป แสกนลายนิ้วมือแล้วก็ผ่านไปเดินเล่น Duty Free ได้เลย
มีเวลาหลายชั่วโมงอยู่ จะซื้อDutyfreeก็ต้องหิ้วไปญี่ปุ่นอีก พอหิวจะหาอะไรกินราคาก็อัพจากข้างนอกพอสมควร แต่Starbucks อัพแก้วละ 30-40 บาทนี่ก็พอรับได้ แต่ถ้าใครมีบัตรKingPower ก็ไปนั่ง Lounge ที่ Concourse A ได้เลยอยู่แถวๆ Pizza Company,Starbucks,Dairy Queen,Burger King นั่นแหละ
ผู้ถือบัตรสามารถพาผู้ติดตามเข้าได้อีก 2 คน(รวมเป็น3คน) มากกว่าWisdom lounge ที่ให้เข้าได้กับผู้ติดตามอีก 1 คน ข้างในก็มีชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร ไว้บริการ รวมถึงของกินพวกแซนวิช ขนมปัง คุ้กกี้ พาย กินเอาอิ่มกันได้เลย มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน Internetให้เล่น ในloungeมีจอบอกเวลาไฟล์ตไหนเรียกBoardingด้วยนะ
แล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องซึ่งก็เป็นเครื่องขนาดไม่ใหญ่ แบบเดียวกับที่Air Asia ใช้บินในประเทศยังไงยังงั้น ถ้าใครบินการบินไทยก็อาจได้นั่ง Dreamliner ใหญ่แต่ก็จ่ายแพงกว่าเป็นเท่าตัว
Landing เสร็จผ่านตม. ออกมาก็มองทางขวามือไว้จะเจอCounterที่ขายพวกบัตรพาสต่างๆก็ซื้อได้ที่นี่เลย (เป็นบัตรCity Pass สำหรับรถ JR และรถBus ส่วนใหญ่นะ มีข้อจำกัดเขียนไว้ด้านหลัง) ส่วนบัตรJR Pass ที่เราใช้ขึ้นพวกShinkansen และรถไฟข้ามเมืองเราต้องไปซื้อที่สถานีHakata
เสร็จแล้วก็ต่อรถ Shuttle Bus บริเวณทางออกจากInternational arrival terminal ที่เราอยู่ ไปลงสถานีรถไฟเพื่อนั่งต่อไปที่Hakata Station (แปปเดียวถึง) แล้วมองหาที่ซื้อ JR pass ซึ่งก็จะอยู่ตรงข้ามกับร้านขายCroissant เจ้าดัง il FORNO del MIGNON ลองแล้วจะติดใจ มีทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมาต่อแถวซื้อกินกัน
ตรงที่เราซื้อ JR Pass นี่ถ้าเราจองที่นั่งไปก่อนเลยยิ่งดีนะ เพราะรถส่วนใหญ่มันจะมีทั้ง Reserved seat และ Non-Reserved seat ถ้าเราจองไปก็เข้าไปนั่งตามที่ที่ระบุไว้บนบัตรจองได้เลย หน้าตาบัตรจองจะเป็นแบบในรูป แต่ถ้าเราไม่จองไปก็ต้องไปที่ตู้Non-Reserved แย่งที่นั่งเอาเอง บางเวลาอาจต้องยืนเพราะไม่มีที่นั่ง ทางที่ดีควรจัดตารางเวลาเที่ยว ดูตารางรถล่วงหน้า ( ดูได้จาก
http://www.jrkyushu.co.jp/english/time_table/time_table.jsp )
สำหรับรถบางขบวนเช่น Aso Boy! (วิ่งระหว่าง Kumamoto – Aso) และ Yufuin No Mori (วิ่งระหว่าง Yufuin – Hakata) จะมีแต่ Reserved seat เท่านั้น ไม่จองไม่ได้ขึ้น และเป็น2ขบวน Highlight ของงานนี้ พลาดไม่ได้!
พอจองเสร็จแล้วเราก็ขึ้นรถไฟไปเที่ยว Dazaifu ห่างจากFukuokaประมาณ 30 นาที ที่นี่มี Highlight คือ Dazaifu Temple , พิพิธภัณฑ์ และร้านStarbucks
ถามว่าร้าน Starbucks มันhighlightยังไงเนี่ย ก็คือสาขาเนี้ยได้สถาปนิกชื่อดังอย่าง Kengo Kuma มาออกแบบให้ ใช้ไม้กว่าสองพันท่อนมาวางทแยงขัดกันไป แถมราคายังถูกกว่าที่ไทยอีก
Dazaifu temple เปิด 6.30-19.00 เป็นศาลเจ้าเก่าแก่สร้างขึ้นอุทิศให้Sugawara Michizane ขุนนางคนสำคัญในสมัยเฮอัน
เข้ามาใน Dazaifu Temple ก็จะต้องมาลูบเขาวัวกระทิง (ใช่ไม๊อ่ะ .. ใช่ละกัน) คนก็ลูบกันจนเป็นมันวับแบบนั้นแหละ ว่ากันว่าขอให้สอบติดก็จะติด ให้สอบได้ที่ไหนก็จะได้ ให้ทำอะไรสำเร็จก็จะสำเร็จ
เดินต่อมาตามทิศที่วัวหันไปก็จะเจอสะพาน มีปลาคาร์ฟเยอะมาก แล้วก็มีตู้กดอาหารปลา อาหารปลา 100 เยนที่นี่ทำPackageแนวดี ด้านนอกเป็นขนมปังกรอบ พอหักครึ่งก็จะมีเม็ดอาหารปลาอยู่ข้างใน
เดินเข้ามาอีกก็จะเจอแถวต่อกันโยนเหรียญและอธิษฐานขอพร เดินเล่นในวัดได้เรื่อยๆเลย ละแวกวัดก็จะมีสวนแบบเซนให้ดู
เดินต่อไปซักระยะก็จะถึง Kyushu National Museum เสียค่าเข้าคนละ 430 เยน เปิด 9.30-16.30 เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลำดับที่4 ในญี่ปุ่น มีส่วนจัดแสดงแบ่งเป็นสี่ชั้น ระหว่างทางก็จะได้ยินเสียเจ้าตัวนี้เยอะมาก (คงเพราะมาหน้าร้อนพอดี) ในพิพิธภัณฑ์ข้างในห้ามถ่ายรูป แต่มีจัดนิทรรศการแสดงอะไรเยอะดีนะ
เดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์จนเย็น ก็นั่งรถไปลง Nishitetsu Station เพื่อเดินไปกิน Ichiran Ramen หรือราเมงข้อสอบเจ้าดังนั่นเอง จริงๆมันมีหลายสาขามากเลยนะไม่ต้องแพลนมาสาขานี้ก็ได้ แต่ที่สาขานี้ข้างๆจะมีร้านยา ขายของถูกมาก ตอนที่ไปนี่โฟมล้างหน้าPerfect Whip ขายในราคาหลอดละ 276 เยนเท่านั้นเอง ถูกกว่าไทยครึ่งๆ แต่ให้ซื้อได้คนละ 2 หลอดเท่านั้น (ถ้าซื้อของครบ 5,000 เยนขึ้นไป ทำ Tax free ได้)
เข้าไปในร้าน Ichiran Ramen เราจะต้องหยอดเงินแล้วกดorderของเราก่อน ว่าจะกินแบบไหน แล้วจะได้ออกมาเป็นตั๋ว เอาไปยื่นกับพนักงานอีกทีนึง วิธีนี้ก็ดีคือเงินจะไม่ผ่านมือพนักงานเลย เห็นทำแบบนี้หลายร้านอยู่
ชุดที่ผมสั่งคือชุด 910เยน + ไข่120เยน ใครจะเพิ่มหมู เพิ่มบะหมี่ก็กดๆๆ จากตู้นี้ไปได้เลย
ยื่นตั๋วอาหารให้พนักงานแล้วเขาก็จะดูที่ว่างบนบอร์ดนี้แล้วพาเราไปนั่ง โต๊ะมันจะกั้นเป็นคอกๆเหมือนเวลาทำข้อสอบอ่ะ แล้วพนักงานก็จะเอามาเสิร์ฟจากทางข้างหน้าเรา แต่ถ้าอยากคุยกับเพื่อนก็เอาฉากกั้นออกได้นะ
ใบที่ให้เราสั่งรายละเอียดเพิ่มเติมนี่เดี๋ยวนี้มีทำเป็นภาษาจีนกับภาษาอังกฤษเตรียมไว้ให้ด้วย จากที่ก่อนหน้านี้มีแต่ภาษาญี่ปุ่นเลยมีปัญหาในการสื่อสารกันพอสมควร ที่เขาให้มามันจะมี2ใบ ใบแรกจะเหมือนสั่งรายละเอียดของที่เราorderไปแล้ว พวกความเผ็ด ความเหนียวของเส้นอะไรแบบนี้ ใบที่สองจะใช้เวลาสั่งเพิ่มเติมแล้วจ่ายเงินโดยตรงกับพนักงานเลย
และนี่ก็คือในคอกของเรา ;-]
ทางซ้ายนั่นเป็นที่กดน้ำดื่ม หยิบแก้วมาแล้วกดเท่าไหร่ก็ได้ตามสบายเลย
กินแล้วอร่อยเลยสั่งแบบซองกลับบ้านมาในราคา 5 ซอง 1,290 เยน แต่กลับมานี่ยังไม่ได้ลองแกะกินเลยแฮะเลยไม่รู้อร่อยขนาดไหน
ก่อนเข้าที่พักคืนนี้ก็แวะไปห้างCanal City แต่ไปแบบแวบๆจริงๆนะ ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมามาก แต่มีร้านขายของเยอะอยู่ เท่าที่ดูแล้วราคาไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
ห้างเปิด10.00-21.00 ร้านอาหารเปิด11.00-23.00
ที่พักสำหรับสามคืนแรก จองไว้ที่ Hakata Green Hotel Building No.2 โรงแรมนี้มีสองตึกเปิดมาตั้งแต่ปี 1974 อยู่ใกล้Hakata Stationมาก คือออกจากโรงแรมมาไม่กี่ก้าวก็ถึงส่วนของสถานีเลย ตึก1 จะออกแนวโมเดิร์นหน่อย ส่วนตึกสองที่เลือกพักจะมีทั้งห้องแบบเตียงและห้องแบบสไตล์เรียวกังแบบปูเสื่อ แต่มีห้องน้ำในตัว
อยากแนะนำให้พักที่นี่แหละเพราะมันใกล้ เดินทางสะดวก ความสะอาดโอเคเลย Staffพูดอังกฤษได้คล่อง แล้วก็ทำความสะอาดห้องให้ทุกวัน พวกกระดาษ ผ้าเช็ดตัว แชมพู ของใช้ในห้องน้ำพวกหวี แปรงสีฟัน มีดโกน ชาที่มีให้ ก็เปลี่ยนใหม่ทุกวัน ปูที่นอนใหม่ให้เรียบร้อย
เราจองผ่านAgoda 2 ห้อง 3 คน 1 ห้องราคา 9,005.67 บาทต่อสามคืน (หารแล้วตกคนละพันเอง)
และห้อง 2 คน 1 ห้อง 7,326.57 บาทต่อสามคืน (ตกคนละ 1,200 บาท/คืน)
ขนาดห้องพักกำลังดี ลากกระเป๋าใบยักษ์ๆมาก็ไม่อึดอัด เปิดประตูห้องเข้ามาฝั่งขวาจะเป็นประตูเปิดเข้าห้องน้ำ ข้างหน้าก็จะเป็นประตูบานเลื่อนเปิดเข้าห้องนอน เป็นสัดส่วนดี ตินิดนึงคือตู้เย็นไม่ค่อยเย็น แต่ก็โอเคนะราคานี้ใกล้เคียงกับHostelแต่มีทีวี ตู้เย็นให้ด้วย
ห้องน้ำเป็นโถแบบอัตโนมัติ อุ่นที่รองนั่งได้ ฉีดน้ำได้ สบายไปเลย
ส่วนพวกแชมพูก็ใช้ของShiseido ทั้งหมด อ้อ Wifiในห้องพักก็แรงดีนะ
แต่ไม่มีอาหารเช้าให้ มีเป็นส่วนลดเมื่อไปทานห้องอาหารญี่ปุ่นของโรงแรมแทน
จบรีวิววันแรกแล้วครับ เหลืออีก 6 วันแหน่ะ
จะทยอยมารีวิวให้นะ แต่ละวันจะพยายามพิมพ์ลงWordให้เสร็จแล้วลงทีเดียวครับ
[CR] [CR] รีวิวเที่ยว Fukuoka – North Kyushu 7D6N แบบละเอียดยิบ
ยังเที่ยวNorth Kyushuได้ไม่จุใจเลย
แต่ละวันก็จะมีที่เที่ยวคร่าวๆประมาณนี้
Day 1 : Dazaifu, Starbucks Dazaifu, Kyushu National Museum
Day 2 : Fukuoka Tower, Morizon, Momochi, Hawk town, Robot square, Marinoa outlet, Yatai
Day 3 : Huis Ten Bosch
Day 4 : Mt.Aso, Aso Boy!, Kusasenri, Kumamoto, Suizenji
Day 5 : Beppu, Yufuin, Yufuin No Mori
Day 6 : Ohori, Tochoji temple, Parco, One piece shop, Nakasu, Kawabata, Tenjin underground shopping center
Day 7 : Fukuoka Airport
------------------------------------------------------------------------------
เริ่มวันแรกเลย
วันที่ 1
ทริปนี้ไม่ได้แพลนมาก่อน พอเห็นตั๋วถูกปุ๊ปเลยซื้อกันเลย เดินทางกันด้วยสายการบิน JetStar ราคาไป-กลับคนละ 6,233 บาท (ยังไม่รวมโหลดกระเป๋า) เคยบินโปรการบินไทย 18,000 บาท ราคานี้เลยเหมือนได้ส่วนลดไปฟรีๆหมื่นกว่าบาท
เวลาออกเดินทางไฟล์ต 3K509 ออกเวลา 2.15 น. จากสุวรรณภูมิ กลับไฟล์ต3K510 เวลา 10.45 น. (เดี๋ยวไฟล์ตกลับนี่มีเรื่องให้ลุ้นด้วย)
มาถึงสุวรรณภูมิก่อนเวลาแต่ดึกขนาดนี้คนก็ยังเยอะเหมือนเดิม สำหรับด่านตม. ตอนนี้ถ้าถือPassportไทย ผ่านไปได้แบบรวดเร็วด้วยเครื่องนี้ แถวก็ไม่มี กดไฟล์ตเข้าไป แสกนลายนิ้วมือแล้วก็ผ่านไปเดินเล่น Duty Free ได้เลย
มีเวลาหลายชั่วโมงอยู่ จะซื้อDutyfreeก็ต้องหิ้วไปญี่ปุ่นอีก พอหิวจะหาอะไรกินราคาก็อัพจากข้างนอกพอสมควร แต่Starbucks อัพแก้วละ 30-40 บาทนี่ก็พอรับได้ แต่ถ้าใครมีบัตรKingPower ก็ไปนั่ง Lounge ที่ Concourse A ได้เลยอยู่แถวๆ Pizza Company,Starbucks,Dairy Queen,Burger King นั่นแหละ
ผู้ถือบัตรสามารถพาผู้ติดตามเข้าได้อีก 2 คน(รวมเป็น3คน) มากกว่าWisdom lounge ที่ให้เข้าได้กับผู้ติดตามอีก 1 คน ข้างในก็มีชา กาแฟ น้ำอัดลม น้ำผลไม้ น้ำสมุนไพร ไว้บริการ รวมถึงของกินพวกแซนวิช ขนมปัง คุ้กกี้ พาย กินเอาอิ่มกันได้เลย มีหนังสือพิมพ์ให้อ่าน Internetให้เล่น ในloungeมีจอบอกเวลาไฟล์ตไหนเรียกBoardingด้วยนะ
แล้วก็ถึงเวลาขึ้นเครื่องซึ่งก็เป็นเครื่องขนาดไม่ใหญ่ แบบเดียวกับที่Air Asia ใช้บินในประเทศยังไงยังงั้น ถ้าใครบินการบินไทยก็อาจได้นั่ง Dreamliner ใหญ่แต่ก็จ่ายแพงกว่าเป็นเท่าตัว
Landing เสร็จผ่านตม. ออกมาก็มองทางขวามือไว้จะเจอCounterที่ขายพวกบัตรพาสต่างๆก็ซื้อได้ที่นี่เลย (เป็นบัตรCity Pass สำหรับรถ JR และรถBus ส่วนใหญ่นะ มีข้อจำกัดเขียนไว้ด้านหลัง) ส่วนบัตรJR Pass ที่เราใช้ขึ้นพวกShinkansen และรถไฟข้ามเมืองเราต้องไปซื้อที่สถานีHakata
เสร็จแล้วก็ต่อรถ Shuttle Bus บริเวณทางออกจากInternational arrival terminal ที่เราอยู่ ไปลงสถานีรถไฟเพื่อนั่งต่อไปที่Hakata Station (แปปเดียวถึง) แล้วมองหาที่ซื้อ JR pass ซึ่งก็จะอยู่ตรงข้ามกับร้านขายCroissant เจ้าดัง il FORNO del MIGNON ลองแล้วจะติดใจ มีทั้งคนญี่ปุ่นและนักท่องเที่ยวมาต่อแถวซื้อกินกัน
ตรงที่เราซื้อ JR Pass นี่ถ้าเราจองที่นั่งไปก่อนเลยยิ่งดีนะ เพราะรถส่วนใหญ่มันจะมีทั้ง Reserved seat และ Non-Reserved seat ถ้าเราจองไปก็เข้าไปนั่งตามที่ที่ระบุไว้บนบัตรจองได้เลย หน้าตาบัตรจองจะเป็นแบบในรูป แต่ถ้าเราไม่จองไปก็ต้องไปที่ตู้Non-Reserved แย่งที่นั่งเอาเอง บางเวลาอาจต้องยืนเพราะไม่มีที่นั่ง ทางที่ดีควรจัดตารางเวลาเที่ยว ดูตารางรถล่วงหน้า ( ดูได้จาก http://www.jrkyushu.co.jp/english/time_table/time_table.jsp )
สำหรับรถบางขบวนเช่น Aso Boy! (วิ่งระหว่าง Kumamoto – Aso) และ Yufuin No Mori (วิ่งระหว่าง Yufuin – Hakata) จะมีแต่ Reserved seat เท่านั้น ไม่จองไม่ได้ขึ้น และเป็น2ขบวน Highlight ของงานนี้ พลาดไม่ได้!
พอจองเสร็จแล้วเราก็ขึ้นรถไฟไปเที่ยว Dazaifu ห่างจากFukuokaประมาณ 30 นาที ที่นี่มี Highlight คือ Dazaifu Temple , พิพิธภัณฑ์ และร้านStarbucks
ถามว่าร้าน Starbucks มันhighlightยังไงเนี่ย ก็คือสาขาเนี้ยได้สถาปนิกชื่อดังอย่าง Kengo Kuma มาออกแบบให้ ใช้ไม้กว่าสองพันท่อนมาวางทแยงขัดกันไป แถมราคายังถูกกว่าที่ไทยอีก
Dazaifu temple เปิด 6.30-19.00 เป็นศาลเจ้าเก่าแก่สร้างขึ้นอุทิศให้Sugawara Michizane ขุนนางคนสำคัญในสมัยเฮอัน
เข้ามาใน Dazaifu Temple ก็จะต้องมาลูบเขาวัวกระทิง (ใช่ไม๊อ่ะ .. ใช่ละกัน) คนก็ลูบกันจนเป็นมันวับแบบนั้นแหละ ว่ากันว่าขอให้สอบติดก็จะติด ให้สอบได้ที่ไหนก็จะได้ ให้ทำอะไรสำเร็จก็จะสำเร็จ
เดินต่อมาตามทิศที่วัวหันไปก็จะเจอสะพาน มีปลาคาร์ฟเยอะมาก แล้วก็มีตู้กดอาหารปลา อาหารปลา 100 เยนที่นี่ทำPackageแนวดี ด้านนอกเป็นขนมปังกรอบ พอหักครึ่งก็จะมีเม็ดอาหารปลาอยู่ข้างใน
เดินเข้ามาอีกก็จะเจอแถวต่อกันโยนเหรียญและอธิษฐานขอพร เดินเล่นในวัดได้เรื่อยๆเลย ละแวกวัดก็จะมีสวนแบบเซนให้ดู
เดินต่อไปซักระยะก็จะถึง Kyushu National Museum เสียค่าเข้าคนละ 430 เยน เปิด 9.30-16.30 เป็นพิพิธภัณฑ์แห่งชาติลำดับที่4 ในญี่ปุ่น มีส่วนจัดแสดงแบ่งเป็นสี่ชั้น ระหว่างทางก็จะได้ยินเสียเจ้าตัวนี้เยอะมาก (คงเพราะมาหน้าร้อนพอดี) ในพิพิธภัณฑ์ข้างในห้ามถ่ายรูป แต่มีจัดนิทรรศการแสดงอะไรเยอะดีนะ
เดินอยู่ในพิพิธภัณฑ์จนเย็น ก็นั่งรถไปลง Nishitetsu Station เพื่อเดินไปกิน Ichiran Ramen หรือราเมงข้อสอบเจ้าดังนั่นเอง จริงๆมันมีหลายสาขามากเลยนะไม่ต้องแพลนมาสาขานี้ก็ได้ แต่ที่สาขานี้ข้างๆจะมีร้านยา ขายของถูกมาก ตอนที่ไปนี่โฟมล้างหน้าPerfect Whip ขายในราคาหลอดละ 276 เยนเท่านั้นเอง ถูกกว่าไทยครึ่งๆ แต่ให้ซื้อได้คนละ 2 หลอดเท่านั้น (ถ้าซื้อของครบ 5,000 เยนขึ้นไป ทำ Tax free ได้)
เข้าไปในร้าน Ichiran Ramen เราจะต้องหยอดเงินแล้วกดorderของเราก่อน ว่าจะกินแบบไหน แล้วจะได้ออกมาเป็นตั๋ว เอาไปยื่นกับพนักงานอีกทีนึง วิธีนี้ก็ดีคือเงินจะไม่ผ่านมือพนักงานเลย เห็นทำแบบนี้หลายร้านอยู่
ชุดที่ผมสั่งคือชุด 910เยน + ไข่120เยน ใครจะเพิ่มหมู เพิ่มบะหมี่ก็กดๆๆ จากตู้นี้ไปได้เลย
ยื่นตั๋วอาหารให้พนักงานแล้วเขาก็จะดูที่ว่างบนบอร์ดนี้แล้วพาเราไปนั่ง โต๊ะมันจะกั้นเป็นคอกๆเหมือนเวลาทำข้อสอบอ่ะ แล้วพนักงานก็จะเอามาเสิร์ฟจากทางข้างหน้าเรา แต่ถ้าอยากคุยกับเพื่อนก็เอาฉากกั้นออกได้นะ
ใบที่ให้เราสั่งรายละเอียดเพิ่มเติมนี่เดี๋ยวนี้มีทำเป็นภาษาจีนกับภาษาอังกฤษเตรียมไว้ให้ด้วย จากที่ก่อนหน้านี้มีแต่ภาษาญี่ปุ่นเลยมีปัญหาในการสื่อสารกันพอสมควร ที่เขาให้มามันจะมี2ใบ ใบแรกจะเหมือนสั่งรายละเอียดของที่เราorderไปแล้ว พวกความเผ็ด ความเหนียวของเส้นอะไรแบบนี้ ใบที่สองจะใช้เวลาสั่งเพิ่มเติมแล้วจ่ายเงินโดยตรงกับพนักงานเลย
และนี่ก็คือในคอกของเรา ;-]
ทางซ้ายนั่นเป็นที่กดน้ำดื่ม หยิบแก้วมาแล้วกดเท่าไหร่ก็ได้ตามสบายเลย
กินแล้วอร่อยเลยสั่งแบบซองกลับบ้านมาในราคา 5 ซอง 1,290 เยน แต่กลับมานี่ยังไม่ได้ลองแกะกินเลยแฮะเลยไม่รู้อร่อยขนาดไหน
ก่อนเข้าที่พักคืนนี้ก็แวะไปห้างCanal City แต่ไปแบบแวบๆจริงๆนะ ไม่ค่อยได้ถ่ายรูปมามาก แต่มีร้านขายของเยอะอยู่ เท่าที่ดูแล้วราคาไม่ค่อยถูกเท่าไหร่
ห้างเปิด10.00-21.00 ร้านอาหารเปิด11.00-23.00
ที่พักสำหรับสามคืนแรก จองไว้ที่ Hakata Green Hotel Building No.2 โรงแรมนี้มีสองตึกเปิดมาตั้งแต่ปี 1974 อยู่ใกล้Hakata Stationมาก คือออกจากโรงแรมมาไม่กี่ก้าวก็ถึงส่วนของสถานีเลย ตึก1 จะออกแนวโมเดิร์นหน่อย ส่วนตึกสองที่เลือกพักจะมีทั้งห้องแบบเตียงและห้องแบบสไตล์เรียวกังแบบปูเสื่อ แต่มีห้องน้ำในตัว
อยากแนะนำให้พักที่นี่แหละเพราะมันใกล้ เดินทางสะดวก ความสะอาดโอเคเลย Staffพูดอังกฤษได้คล่อง แล้วก็ทำความสะอาดห้องให้ทุกวัน พวกกระดาษ ผ้าเช็ดตัว แชมพู ของใช้ในห้องน้ำพวกหวี แปรงสีฟัน มีดโกน ชาที่มีให้ ก็เปลี่ยนใหม่ทุกวัน ปูที่นอนใหม่ให้เรียบร้อย
เราจองผ่านAgoda 2 ห้อง 3 คน 1 ห้องราคา 9,005.67 บาทต่อสามคืน (หารแล้วตกคนละพันเอง)
และห้อง 2 คน 1 ห้อง 7,326.57 บาทต่อสามคืน (ตกคนละ 1,200 บาท/คืน)
ขนาดห้องพักกำลังดี ลากกระเป๋าใบยักษ์ๆมาก็ไม่อึดอัด เปิดประตูห้องเข้ามาฝั่งขวาจะเป็นประตูเปิดเข้าห้องน้ำ ข้างหน้าก็จะเป็นประตูบานเลื่อนเปิดเข้าห้องนอน เป็นสัดส่วนดี ตินิดนึงคือตู้เย็นไม่ค่อยเย็น แต่ก็โอเคนะราคานี้ใกล้เคียงกับHostelแต่มีทีวี ตู้เย็นให้ด้วย
ห้องน้ำเป็นโถแบบอัตโนมัติ อุ่นที่รองนั่งได้ ฉีดน้ำได้ สบายไปเลย
ส่วนพวกแชมพูก็ใช้ของShiseido ทั้งหมด อ้อ Wifiในห้องพักก็แรงดีนะ
แต่ไม่มีอาหารเช้าให้ มีเป็นส่วนลดเมื่อไปทานห้องอาหารญี่ปุ่นของโรงแรมแทน
จบรีวิววันแรกแล้วครับ เหลืออีก 6 วันแหน่ะ
จะทยอยมารีวิวให้นะ แต่ละวันจะพยายามพิมพ์ลงWordให้เสร็จแล้วลงทีเดียวครับ