ว่าด้วยการตรัสรู้โดยลำดับ....

กระทู้คำถาม
[๖๔๘] สกวาที การตรัสรู้ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับ หรือ?
             ปรวาที ถูกแล้ว
             ส. บุคคลยังโสดาปัตติมรรคให้เกิดได้โดยลำดับ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             ส. บุคคลยังโสดาปัตติมรรคให้เกิดได้โดยลำดับ หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. บุคคลกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลได้โดยลำดับ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             [๖๔๙] ส. การตรัสรู้ธรรมเป็นการตรัสรู้โดยลำดับ หรือ?
             ป. ถูกแล้ว

[๖๕๒] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ละอะไรได้ด้วยการเห็น
ทุกข์
             ป. ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และบรรดากิเลสพวก
เดียวกัน ได้ ๑ ใน ๔ ส่วน
             ส. ๑ ใน ๔ ส่วน เป็นพระโสดาบัน อีก ๓ ใน ๔ ส่วน ไม่เป็นพระโสดาบัน,
๑ ใน ๔ ส่วน ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง เข้าถึงอยู่ ถูกต้องด้วยนาม
กายอยู่ซึ่งโสดาปัตติผล อีก ๓ ใน ๔ ส่วน ไม่ถูกต้องด้วยนามกายอยู่ซึ่ง
โสดาปัตติผล, ๑ ใน ๔ ส่วน เป็นพระโสดาบันผู้สัตตขัตตุปรมะ
ผู้โกลังโกละ ผู้เอกพีชี ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวใน
พระพุทธเจ้า ฯลฯ ในพระธรรม ฯลฯ ในพระสงฆ์ ฯลฯ ประกอบด้วยอริย
กันตศีล(ศีลอันพระอริยะใคร่แล้ว คือ  ศีลที่ประกอบด้วยอริยมรรค
1 ประพฤติศีลไม่ขาด 2 ไม่ทะลุ 3 ไม่ด่าง 4 ไม่พร้อย 5 เป็นไท
6 วิญญูชนสรรเสริญ 7 ไม่ถูกจับต้องด้วยตัณหาทิฏฐิ 8 ดำเนินไปเพื่อสมาธิ)
อีก ๓ ใน ๔ ส่วน ไม่ประกอบด้วยอริยกันตศีล หรือ?
             ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             ป. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล ละอะไรได้ด้วยการเห็น
สมุทัย ฯลฯ ด้วยการเห็นนิโรธ ฯลฯ ด้วยการเห็นมรรค
             ป. ละสักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส และบรรดากิเลสพวกเดียวกัน
ได้ ๑ ใน ๔ ส่วน
             ส. ๑ ใน ๔ ส่วน เป็นพระโสดาบัน อีก ๓ ใน ๔ ส่วน ไม่เป็นพระโสดาบัน,
๑ ใน ๔ ส่วน ถึง ได้ บรรลุ ทำให้แจ้ง เข้าถึงอยู่ ถูกต้องด้วย
นามกายอยู่ซึ่งโสดาปัตติผล อีก ๓ ใน ๔ ไม่ถูกต้องด้วยนามกายอยู่
ซึ่งโสดาปัตติผล, ๑ ใน ๔ ส่วน เป็นพระโสดาบันผู้สัตตขัตตุปรมะ
ผู้โกลังโกละ ผู้เอกพีชี ประกอบด้วยความเลื่อมใสอันไม่หวั่นไหวในพระ-
พุทธเจ้า ฯลฯ ในพระธรรม ฯลฯ ในพระสงฆ์ ฯลฯ ประกอบด้วยอริย
กันตศีล อีก ๓ ใน ๔ ส่วน ไม่ประกอบด้วยอริยกันตศีล หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

[๖๕๖] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล เมื่อเห็นทุกข์พึงกล่าวว่า ผู้
ดำเนินไปแล้ว หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. เมื่อเห็นทุกข์แล้ว พึงกล่าวว่า ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             ส. เมื่อเห็นสมุทัย ฯลฯ เมื่อเห็นนิโรธ พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. เมื่อเห็นนิโรธแล้ว พึงกล่าวว่า ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

             [๖๕๗] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล เมื่อเห็นมรรค พึงกล่าวว่า
ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นมรรคแล้ว พึงกล่าวว่า ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. เมื่อเห็นทุกข์ พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นทุกข์แล้ว พึงกล่าวว่า
ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             ส. เมื่อเห็นมรรค พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นมรรคแล้ว พึงกล่าว
ว่า ผู้ตั้งอยู่แล้วในผล หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. เมื่อเห็นสมุทัย ฯลฯ เมื่อเห็นนิโรธ พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อ
เห็นนิโรธแล้ว พึงกล่าวว่า ตั้งอยู่แล้วในผล หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

             [๖๕๘] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล เมื่อเห็นทุกข์พึงกล่าวว่า ผู้
ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นทุกข์แล้ว ไม่พึงกล่าวว่า เป็นผู้ที่ควรกล่าวว่า
ตั้งอยู่แล้วในผล หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. เมื่อเห็นมรรค พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นมรรคแล้ว ไม่พึง
กล่าวว่า เป็นผู้ที่ควรกล่าวว่าตั้งอยู่แล้วในผล หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             ส. เมื่อเห็นสมุทัย ฯลฯ เมื่อเห็นนิโรธ พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อ
เห็นนิโรธแล้ว ไม่พึงกล่าวว่า เป็นผู้ที่ควรกล่าวว่าตั้งอยู่แล้วในผล
หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. เมื่อเห็นมรรค พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นมรรคแล้ว ไม่พึง
กล่าวว่า เป็นผู้ที่ควรกล่าวว่าตั้งอยู่แล้วในผล หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

             [๖๕๙] ส. บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล เมื่อเห็นทุกข์พึงกล่าวว่า ผู้
ดำเนินไปแล้ว เมื่อเห็นทุกข์แล้ว ไม่พึงกล่าวว่า เป็นผู้ที่ควรกล่าวว่า
ตั้งอยู่แล้วในผล หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. การเห็นทุกข์ไร้ประโยชน์ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             ส. เมื่อเห็นสมุทัย ฯลฯ เมื่อเห็นนิโรธ พึงกล่าวว่า ผู้ดำเนินไปแล้ว เมื่อ
เห็นนิโรธแล้ว ไม่พึงกล่าวว่า เป็นผู้ที่ควรกล่าวว่าตั้งอยู่แล้วในผล
หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. การเห็นนิโรธไร้ประโยชน์ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

             [๖๖๐] ป. เมื่อเห็นทุกข์แล้ว สัจจะ ๔ ก็เป็นอันได้เห็นแล้ว หรือ?
             ส. ถูกแล้ว
             ป. ทุกขสัจเป็นสัจจะ ๔ หรือ?
             ส. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

             [๖๖๑] ส. เมื่อเห็นรูปขันธ์โดยความไม่เที่ยงแล้ว ขันธ์ ๕ ก็เป็นอันได้เห็นโดย
ความไม่เที่ยงหรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. รูปขันธ์เป็นขันธ์ ๕ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             [๖๖๒] ส. เมื่อเห็นจักขายตนะโดยความไม่เที่ยงแล้ว อายตนะ ๑๒ ก็เป็นอันได้
เห็นโดยความไม่เที่ยง หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. จักขายตนะเป็นอายตนะ ๑๒ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

             [๖๖๓] ส. เมื่อเห็นจักขุธาตุโดยความไม่เที่ยงแล้ว ธาตุ ๑๘ ก็เป็นอันได้เห็นโดย
ความไม่เที่ยง หรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. จักขุธาตุเป็นธาตุ ๑๘ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

             [๖๖๔] ส. เมื่อเห็นจักขุนอินทรีย์โดยความไม่เที่ยงแล้ว อินทรีย์ ๒๒ ก็เป็นอันได้
เห็นโดยความไม่เที่ยงหรือ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. จักขุนทรีย์ เป็นอินทรีย์ ๒๒ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

             [๖๖๕] ส. บุคคลทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลได้ด้วยญาณ ๔ หรือ ๑- ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. โสดาปัตติผล เป็น ๔ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             ส. บุคคลทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลได้ด้วยญาณ ๘ หรือ ๒- ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. โสดาปัตติผลเป็น ๘ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             ส. บุคคลทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลได้ด้วยญาณ ๑๒ หรือ ๓- ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. โสดาปัตติผลเป็น ๑๒ หรือ?
@๑. ญาณ ๔ คือ ญาณในอริยสัจ ๔
@๒. ญาณ ๘ คือ ญาณในอริยสัจ ๔ และญาณในปฏิสัมภิทา ๔
@๓. ญาณ ๑๒ คือ ญาณในปฏิจจสมุปบาทอันมีองค์ ๑๒
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             ส. บุคคลทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลด้วยญาณ ๔๔ หรือ ๑- ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. โสดาปัตติผล เป็น ๔๔ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
             ส. บุคคลทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผลได้ด้วยญาณ ๗๗ หรือ ๒- ?
             ป. ถูกแล้ว
             ส. โสดาปัตติผลเป็น ๗๗ หรือ?
             ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ

             [๖๖๖] ป. ไม่พึงกล่าวว่า ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับ หรือ?
             ส. ถูกแล้ว
             ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มหาสมุทรลาดไปโดย
ลำดับ ลุ่มไปโดยลำดับ ลึกไปโดยลำดับ มิได้ลึกเป็นเหวแต่เบื้อง
ต้นทีเดียว แม้ฉันใด ในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นเทียวแลเป็นการศึกษา
โดยลำดับ เป็นการกระทำโดยลำดับ เป็นการปฏิบัติโดยลำดับ มิ
ได้เป็นการแทงตลอดโดยรู้ทั่วถึงแต่เบื้องต้นทีเดียว ดังนี้ ๓- เป็นสูตร
มิใช่หรือ?
             ส. ถูกแล้ว
             ป. ถ้าอย่างนั้น การตรัสรู้ธรรมก็เป็นการตรัสรู้โดยลำดับน่ะสิ
             [๖๖๗] ป. ไม่พึงกล่าวว่า ตรัสรู้ธรรมโดยลำดับ หรือ?
             ส. ถูกแล้ว
@๑. ญาณ ๔๔ คือ ญาณวัตถุ ๔๔ ที่มาในนิทานวรรค สังยุต ข้อ ๑๑๙ หน้า ๖๗
@๒. ญาณ ๗๗ คือ ญาณวัตถุ ๗๗ ที่มาในนิทานวรรค สังยุต ข้อ ๑๒๗ หน้า ๗๑
@๓. อํ. อฏฐก- ข้อ ๑๑๐ หน้า ๒๑๐
             ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ผู้เป็นปราชญ์พึงกำจัดมลทินของตนทีละ
น้อยๆ ทุกๆ ขณะโดยลำดับ ดุจช่างทองกำจัดมลทินทองฉะนั้น
ดังนี้ ๑- เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ?
             ส. ถูกแล้ว
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ศาสนา
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่