มาค่ะทุกคน วันนี้ จขกท มันมีความเสี้ยน อยากเขียนยังไงไม่รู้ ความขี้เกียจที่สะสมมาทั้งหมดหายไปไหนหมด เห้ยดี ไปแล้วอย่ากลับมานะลูกเริ่มเรื่อง! ที่เพื่อนสมัยมหาลัยหรือจะเรียกว่าเพื่อนสนิทก็พูดได้เต็มปากเต็มคำ... เพราะเหลือกันแค่นี้แล้ว มันมาชวนไปเที่ยวปีใหม่ มันบอกว่าเที่ยวที่ไหนก็ได้ที่ทำให้ปีใหม่ไม่เหงาแบบคนกรุงเทพย่านลาดพร้าว และชานเมืองอย่างสมุทรปราการ ก็เลยลองหาพวกโปรเครื่องบิน แล้วก็หาจังหวัดที่น่าไป คุยกันว่าวิวต้องสวยนะ ต้องมีอะไรทำด้วย เพราะเคยมีประสบการณ์ไปเชียงคานกัน 3วัน ไม่มีอะไรทำเลย 5555 ค่ะ…สรุปเราเลือกที่จะไป "อุบลราชธานี" เพราะที่เที่ยวสวยๆเยอะ แต่วัยรุ่นอย่างเราคะนองหนักมาก เลยวางแผนคร่าวๆว่าต้องไปต่างประเทศด้วย นั่นคือ สปป ลาว "ลาวใต้ ปากเซ"
จากนั้นเราก็ลองสำรวจคนรอบๆตัวว่าพอมีใครที่รู้จักในจังหวัดอุบลบ้าง ใกล้ตัวเลยค่ะ เจ้านาย บ้านเกิดอยู่อุบล พี่เค้าเลยจัดการอนุเคราะห์วางแผนให้ตาม list ที่เราอยากไปให้ว่าต้องไปที่ไหนก่อนไป แล้วไปยังไง (ขอบคุณนะคะพี่) เมื่อเราโทรไปรบกวนพี่เค้าเสร็จแล้ว ก็เลือกเส้นทางที่จะเดินทางไปอุบล การเดินทางขาไปได้เป็นรถบัส ขากลับเป็นเครื่องบิน เพราะช่วงนั้นเราเคาะที่เที่ยวกันช้าไปหน่อย ใกล้ปีใหม่แล้วคนเดินทางกันหนาแน่น ได้ตั๋วมาก็บุญแล้วหนูจ๋า
วันเดินทางมาถึง เรามาเจอกันที่หมอชิตตั้งแต่ 6 โมง รถออกกี่โมงจำไม่ได้แต่ไม่เกิน 8 โมงแน่ๆ ระยะทางที่จะไปถึงอุบลรวมแล้ว 8 ชั่วโมง …นั่งกันสันหลังสั่นเลยจ้า ซึ่งระหว่างทางไม่มีอะไรมากหลับ เล่นมือถือ หลับ เล่นมือถือ เราเลยได้คำคมแสนเก๋ของทริปนี้ว่า " การเดินทางนั้น จุดหมายก็สำคัญ ระยะทางไกลกว่า " คำคมไรว่ะ
โอเคตัดภาพมาตอนใกล้ถึงอุบล พี่ชายเจ้านายก็โทรมาถามว่าถึงไหนแล้ว เพราะพี่เค้าจะมารับไปส่งที่ที่พัก พอถึงไม่มีเวลาบิดขี้เกียจหรือขี้เกียจ พี่เค้าก็มารอรับตรงขนส่งแล้ว เค้าถามว่าจะไปที่ไหนบ้างที่วางแผนไว้ เราก็บอกลิสต์สถานที่ที่ดูรีวิวมาให้พี่เค้าฟัง จบด้วยเสียงขำเพราะพี่เค้าบอกว่า อุบลเนี่ยไม่ใช่เมืองเล็ก ไม่ใช่จะมานอนในเมืองแล้วไปโขงเจียมแล้วกลับมานอน มันไกลลูกเอ้ย
เอิ่ม… แผนเปลี่ยน Y___Y
ไม่เป็นไรหนูคืนนี้พักผ่อนก่อน แต่พี่ว่าถ้าจะไปลาวต้องไปเลยพรุ่งนี้ ขากลับค่อยแวะเที่ยวโขงเจียม วันนี้นอนซะพรุ่งนี้จะมีคนมารับไปกินข้าวแล้วก็ไปส่งขึ้นรถไปที่ด่านปากเซ !! เราเดินมาที่ reception โรงแรม บอกชื่อไปปุ้บ เค้าก็ให้กุญแจกับคีย์การ์ดมาเลย เพราะทางญาติเจ้านายจัดการให้แล้วเรียบร้อย จ่ายค่าห้องให้ด้วยโอ้ยยเกรงใจมาก เราเอาของเก็บอย่างลวกๆแล้ว เราก็ตะลอน ร่อนเร่หาร้านดังระแวกนั้น เพื่อนบอกเล็กนมสดเด็ดมากรีวิวบอกมา เราหาแท็กซี่กันไม่ได้สักคัน จึงตัดสินใจเดินไปตาม GPS ซึ่งพิกัดไม่ไกลจากโรงแรมหรอกค่ะ แต่ตอนกลางคืนอุบลก็แอบเงียบเหมือนกันนะถ้าไม่ใช่ดาวน์ทาวน์… เอาเห๊อะหิวอ่ะ อยากเช็คอิน 5555555
พอมาถึงเล็กนมสด ก็สั่งเมนูเด็ดมา 2-3เมนู ขนมปังหน้ามะพร้าวดีงามมากกก กินไปถ่ายรูปไปกินอิ่มก็จ่ายเงิน กำลังจะเดินกลับ แต่มันยังนอนไม่ได้เพราะยังเห่อการเดินทางอยู่ เลยแวะร้านที่2 จำชื่อร้านไม่ได้แล้วอยู่ระหว่างทางกลับโรงแรม หัวมุมถนน วัยรุ่นเยอะ พนักงานชายล้วน หล่อล้วน น่ารักล้วน <3 เอาซะหน่อย เฟรนฟรายมา1ค่ะพี่ >< อิ่มแล้วก็เดินทางกลับโรงแรม (จำชื่อโรงแรมไม่ได้นะค่าขอโทษที) มาถึงก็อาบน้ำแล้วก็วางแผนกันเล็กๆน้อยๆสุดท้ายพล่อยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า
* สรุปคืนแรก ปวดตูด ปวดหลัง แค่ได้ไกลจากกรุงเทพก็มิชชั่นคอมพลีสแล้ว
6:30 ตื่นแล้วจ้าตื่นแล้ว ไม่อยากให้ช้าไปเราเลยกินข้าวที่โรงแรม เป็นบุปเฟ่ง่ายๆ อร่อยดี สักพักก็มีคนโทรเข้ามา เค้าคือหลานของเจ้านายนั่นเอง เค้าบอกว่าจะพาไปกินข้าว แต่เราก็บอกว่ารบกวนส่งแค่ที่ขึ้นรถก็พอแล้ว เค้าก็ถามว่าสรุปจะไปไหนก่อน เลยบอกไปว่าคงไปปากเซก่อน แล้วค่อยกลับมาเที่ยวโขงเจียม สามพันโบก จริงๆอยากเค้าดาวน์ที่ปากเซ แต่ดูแล้วคงจะเหนื่อย
เมื่อถึงที่ขนส่ง เราก็หารถที่จะไปปากเซ ค่อนข้างมีปัญหาตรงนี้เพราะว่ารถที่จะพาข้ามไปปากเซเลย รับแค่คนที่มี Passport เพื่อนเรามีแต่เราไม่มี เพื่อนด่าไปหนึ่งยก หงอยเลยจ้า สรุปเราเลือกนั่งรถตู้ไปที่ด่าน เพื่อทำเอกสารข้ามแดนชั่วคราว เมื่อถึงด่านแล้ว ขณะที่คุณเดินลงมาปุ้บ จะมีคนกรูเข้ามาหาคุณประมาณ 20 คนอย่างต่ำ พยายามจะหยิบกระเป๋าคุณให้ขึ้นรถเขา อันนี้น่ากลัวมาก จะมีทั้งวินทั้งคน เยอะมากกก ระวังกันด้วยนะ
ท้ายสุด เราได้พี่วินมา2คน เค้ารับดูแลเรื่องพาไปทำ รอคิว คอยฟังชื่อให้ด้วย พอเรียบร้อยเค้าก็พามาส่งที่ ตม แลกเงินกีบกันคนละ 2500 บาท ได้มาเป็นล้าน รวยไปอีก กดเงินไทยติดตัวไปอีกคนละ 2000 เสร็จก็เข้าขั้นตอนการข้ามแดน ไม่มีอะไรเจ้าหน้าที่ก็ถามว่าไปไหน เราบอกปากเซ เค้าก็ถามกี่วัน เราก็บอกไป คือใบนี้ไปได้ไกลสุดแค่ปากเซนะถ้าจำไม่ผิด ไปไกลกว่านั้นไม่ได้ แต่ถ้าเป็น passport ก็ไปได้เลยทั่วประเทศ พอเสร็จเราก็ข้ามมาฝั่งลาว ตรงช่องข้ามด่านมันอยู่ใต้ดิน เย้ ตอนเข้าไปรู้สึกแปลกๆน่ากลัวนะ พอขึ้นมาก็โผล่ที่ต่างประเทศแล้ว เดินไปหารถที่จะเข้าไปในตัวเมืองปากเซ ระหว่างนั้นมีพี่ชาวลาวคนหนึ่งมาพูดอะไรสักอย่างเราฟังไม่ออก เพื่อนก็กลัวเลยบอกเดินหนีๆ ไปๆอย่าไปสนใจนะกลัวจะมาหลอกขายอะไรงี้อีก โอเคพอถึงรถตู้ที่จะพาเราเข้าไปที่ปากเซ เราก็ผ่อนคลายจัดที่จัดทางเอาให้นั่งสบายที่สุด รถตู้นี่ก็เป็นรถโดยสารค่ารถประมาณ 100 มีชาวลาวนั่งไปด้วยเต็มรถแหละ คล้ายบ้านเรารอให้เต็มค่อยออก ระหว่างทางก็ชมนกชมไม้ในใจคิดว่า นี่กรูส์อยู่ต่างประเทศแล้วจริงๆใช่ไหมว่ะ เหมือนอยู่แถวบ้านกรูส์เลยเนี้ย 55555 แต่ยังไม่ทันจะจินตนาการอะไรเท่าไหร่ เพื่อนก็ส่งเสียงแหลมขึ้นมาอย่างหน้าตาตื่น ‘เมิงง! เราลืมประทับตาขาเข้าประเทศ’ ด้วยความงงเพราะไม่เคยไปต่างประเทศแบบมัน แค่เชียงใหม่กูก็ตื่นเต้นล่ะ เลยถามว่ามันคืออะไรว่ะ มันก็อธิบายมา ทีนี้มันบอกอย่ากระโตกกระตาก แต่มันลนมาก แต่พี่ผู้ชายที่นั่งข้างๆได้ยินเสียงหัวใจเราเต้นแบบตื่นเต้นละมั้ง เลยถามว่า
“จะไปไสล่ะ”
“ไปปากเซค่ะพี่”
“โอ้ยบ่ เป็นหยังดอกไปได้ ไปเถอะ”
“จริงหรอจะโดนจับป่ะพี่”
“ก็ถ้าเค้าไม่รู้ก็ไม่จับ”
ไม่ทันล่ะเรื่องดังไปถึงหูคนขับ นางบอกเราว่า
“จับสิ!ทำไมจะไม่จับ เนี้ยมันข้อหาลักลอบเข้าประเทศเชียวนะน้อง น่าจะโดน 3000บาท”
“ห้ะ!!!”
“งั้นพี่กลับไปส่งให้ป่ะล่ะ แต่พี่ขอคิดอีกคนละ 250 นะ”
การต่อรองจึงเกิดขึ้น แกก็เลยยอมว่า 2 คน จ่าย 400 แต่ก็พูดให้กลัวว่าแหมนี่ถ้าผมจับคุณไปส่งตำรวจนะโดนคนละ 3000 ดีนะไม่ทำ จ้าดีแล้วจ้า พี่หนูไม่ได้ตั้งใจโน๊ะ พอมาถึงก็รีบไปประทับตราขาเข้าเสียเงินไปคนละ 100 นะถ้าจำไม่ผิด ถ้าใครจะซื้อซิมแถวๆนั้นมีขายเยอะเลย แต่เราไม่ซื้อกะหา wifi เอา เสร็จปั้บก็ไปท่ารถตู้ที่เดิม จากตรงที่ประทับตราต้องนั่งวินไป 20 บาท ตอนนั่งรถกลับเข้าตัวเมืองปากเซ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าอ๋อที่มีพี่ผู้หญิงลาวมาพูดอะไรกับเรา เค้าคงบอกว่าให้ไปปั้มตราขาเข้าด้วยแน่ๆเลยว่ะ !! (เห็นแมะ มองโลกในแง่ดีบ้างจะเป็นไรไป)
ในที่สุดค่ะ...เรามาตัวเมืองปากเซแล้ว เพื่อนทำการจองโรงแรมแถวละแวกนั้น คืนละ 550 มีแอร์ด้วย วิวโอเค มี Wifi งั้นเราตกลงพักทีนี่ทั้ง 2 คืนเลยดีกั้ว พอเก็บของเสร็จก็เย็นแล้วการไปน้ำตกต่างๆไม่ทันแน่ เลยหาอะไรกินกัน อาหารไม่ค่อยมีนะส้มตำ น้ำตก แบบที่เราคุ้น เดินหานานมากอยากกินข้าว ด้วยความที่เป็นนักท่องเที่ยวสะพายกล้อง มันก็จะดึงดูดพวกคนขับรถ คนขายของเข้ามาหาเราโดยอัตโนมัติ และเราก็จะหนีแบบอัตโนมัติ วันนั้นยืนอยู่2คน มีคนขับสามล้อเครื่องมาลุ้มอยู่ 3-4 เจ้า เราตัดสินใจเลือกลุงคนนึงบอกนางว่า อยากกินข้าวค่ะช่วยพาไปหน่อย ราคาเท่าไหร่ นางบอก 60 บาท รับกลับมาส่งโรงแรมด้วย เดี๋ยวพาไปเที่ยวห้างด้วยนะ
ว้าวว ข้อเสนอเริศไปค่ะลุงลุยกันเลย
ตอนนั่งรถก็ทำความรู้จักกับลุงได้ชื่อมาว่า ลุงแลง ลุงแลงพา2สาวมาส่งที่ร้านริมโขงแห่งนึงวิวดี อาหารประมาณร้านข้าวต้ม แพงอยู่ 200-400 ไรงี้ เราก็แอบเสียใจ จริงๆอยากกินตามสั่งง่ายๆมากกว่า ตกลงกับลุงว่าเดี๋ยวถ้ากินเสร็จจะโทรไป ลุงเอาเบอร์มา ให้เบอร์เสร็จลุงแลงก็เบิ่งรถไปอย่างไม่มองหลับหลัง แล้วจะเอาอะไรโทรละลุงจ๋า ไม่ได้ซื้อซิมลาวมาจ้า ช่างมันกินก่อนดีกว่า ทีนี่พนักงานเสิร์ฟน่ารักมาก เป็นสาวประเภทสองมีอายุแล้วนางแต่งตัวจัดมากเสื้อครอปสีสด บวกกางเกงข้าม้าเอวสูงลายลูกไม้มีเลเยอร์ ปากแดงจัด คิ้วเป๊ะสุด บริการดีพูดเพราะ แล้วจู่ๆก็มาถามเราว่ามาจากฝั่งไทยหรอ ก็เลยชวนคุยไป ป้าแกก็เล่าว่าเนี้ยป้าไปอยู่กรุงเทพมา8ปี อยู่แถวสาธรร้องเพลงในร้านอาหาร แต่ตอนนี้มาช่วยแม่ทำงาน มาอยู่กับแมไม่ได้กลับไปแล้ว แล้วก็เดินไปหลังร้านไปเอารูปมาให้ดูสมัยสาวๆ งามหลายป้าจ๋า ป้าดีมาถามตลอดกรุงเทพเป็นไงบ้างล่ะ รถติดไหม คุยไปคุยมาจนอิ่ม พออิ่มเราก็เลยยืมมือถือป้าโทรหาลุงแลง ป้าใจดีให้ยืมด้วย พอลุงแลงมาถึงก็ร่ำลากัน ป้าแกฝากความคิดถึง มาถึงกรุงเทพด้วย
ต่อเลยลุง...สถานีต่อไป ห้างสรรพสินค้า ลุงแลงขอพรีเซนต์ห้างที่ใหญ่โตของปากเซทีนี้มีอะไรขายเยอะมาก ลองเดินดูเดี๋ยวเสร็จแล้วมารอลุงนี้นะ จะมารับ เราก็เดินดูกันสักพัก ห้างที่นี่อารมณ์เหมือนพวกห้างแถวๆย่านสำเพ็ง พาหุรัด แบบนั้นค่ะ คนเยอะของแยะ แต่ราคาก็เหมือนบ้านเราแหละ ถูกสุดไม่ต่ำกว่า 20 บาท บ้างอย่างก็แพงนะ
เดินถ่ายรูปกันเสร็จก็ออกมารอลุงแลง ลุงแลงมาพอดี เพราะนัดเวลากันไว้6โมง ลุงบอกจะไหนต่อดี เลยบอกว่าตอนกลางคืนวัยรุ่นไปไหนกันลุงหนูอยากไปตรงนั้น ลุงก็เลยพาไปที่ ที่ฝรั่งอยู่เยอะๆเป็นร้านนั่งดื่ม นั่งกิน คึกคักกว่าตรงโรงแรมที่เราอยู่อีก เสียดายน่าจะอยู่ตรงนี้ แต่ก็สายไปล่ะ เราเลยบอกลุงว่าเดี๋ยวหนูเดินดูเองคะ กลับเองได้แหละรถเยอะ ลุงก็บอกไม่เป็นไรเดี๋ยวมารับไปส่งเพราะดึกๆมันอันตราย เราก็โอเคเดี๋ยวยืมโทรศัพท์คนที่ร้านโทรไป
ละแวกนั้นทัวร์นำเที่ยวเยอะ เลยวางแผนเที่ยวของวันพรุ่งนี้ เพื่อนบอกในรีวิวต้องไป 'วัดภู ตามมาด้วย ตาดเยื้อง ผาส้วม' พวกตาดๆนี่แหละสวยเด็ดขึ้นชื่อของดีปากเซ พอรู้ว่าจะไปไหนงั้นเราเลยเดินดูราคาทัวร์หลายร้าน แต่พอไปถามพี่ๆเค้าก็บอกว่าถ้าจะไปวัดภู ก็แวะน้ำตกให้ไม่ได้ เพราะมันคนละเส้นทางกัน ต้องเลือกเลยระหว่างไปวัดภู หรือไปเส้นน้ำตก ราคาก็ตกอยู่คนละ 2000 บาท คนล่ะ!!!! เอามือทาบไปที่อกเบาๆ ใจสลายพังลง ทำไมมันถึงแพงและไกลจัง แค่ที่เดียวคิด คนละ 2000 – 2500 บาท เราเดินถามได้ 3-4 ที่ คำตอบก็คล้ายกันหมด เราเลยถอดใจเดี๋ยวลองไปถามวินรถตู้เอาตอนเช้าแล้วกันวัดดวง เสร็จปุ้บก็เดินเล่นแวะหาอะไรดื่ม หา wifi เล่นกันหน่อยไม่ได้เข้าเฟสบุก ไอจี มาทั้งวันเสี้ยนมากจะลงแดง เราแวะกันหลายร้านเงียบๆไม่คึกคักจนเกินไป เพื่อนบอกว่าถ้าเทียบปากเซเป็นไทยก็คงเป็นเมืองที่ไม่ใช่ที่ท่องเที่ยว เหมือนวังเวียงที่เทียบเท่าเหมือนเชียงใหม่บ้านเรา พอตาเริ่มหย่อนจะกลับเลยบากหน้าขอยืมมือถือเด็กเสริฟ คำตอบที่ได้คือ ‘บ่มีครับ’ ไม่มี ไม่มีใครให้ยืมเลยอ่ะ ทำไงดีแล้วจะกลับยังไง งั้นพี่เด็กเสิร์ฟช่วยเรียกแท็กซี่หรือไม่ก็สามล้อให้หน่อยนะค่ะ ลองเดินแล้วไม่ไหวหลงแน่ เรารอกันนานมากแต่ไม่มีรถเลย สักพัก สวรรค์เมตตา ลุงแลงขับผ่านหน้าร้านที่เรานั่ง ลุงพยายามมองหาเรา เราสองคนตะโกนเรียก ลุงแลง เยี่ยงลุงเป็นญาติผู้ใหญ่ เสียงดังลั่นปากเซ
(ต่อค่ะ)
[CR] รีวิวเที่ยว 'ปากเซ ลาวใต้' แบบงงๆได้แฟนกลับมาคนนึง จนถึงทุกวันนี้ :)
มาค่ะทุกคน วันนี้ จขกท มันมีความเสี้ยน อยากเขียนยังไงไม่รู้ ความขี้เกียจที่สะสมมาทั้งหมดหายไปไหนหมด เห้ยดี ไปแล้วอย่ากลับมานะลูกเริ่มเรื่อง! ที่เพื่อนสมัยมหาลัยหรือจะเรียกว่าเพื่อนสนิทก็พูดได้เต็มปากเต็มคำ... เพราะเหลือกันแค่นี้แล้ว มันมาชวนไปเที่ยวปีใหม่ มันบอกว่าเที่ยวที่ไหนก็ได้ที่ทำให้ปีใหม่ไม่เหงาแบบคนกรุงเทพย่านลาดพร้าว และชานเมืองอย่างสมุทรปราการ ก็เลยลองหาพวกโปรเครื่องบิน แล้วก็หาจังหวัดที่น่าไป คุยกันว่าวิวต้องสวยนะ ต้องมีอะไรทำด้วย เพราะเคยมีประสบการณ์ไปเชียงคานกัน 3วัน ไม่มีอะไรทำเลย 5555 ค่ะ…สรุปเราเลือกที่จะไป "อุบลราชธานี" เพราะที่เที่ยวสวยๆเยอะ แต่วัยรุ่นอย่างเราคะนองหนักมาก เลยวางแผนคร่าวๆว่าต้องไปต่างประเทศด้วย นั่นคือ สปป ลาว "ลาวใต้ ปากเซ"
จากนั้นเราก็ลองสำรวจคนรอบๆตัวว่าพอมีใครที่รู้จักในจังหวัดอุบลบ้าง ใกล้ตัวเลยค่ะ เจ้านาย บ้านเกิดอยู่อุบล พี่เค้าเลยจัดการอนุเคราะห์วางแผนให้ตาม list ที่เราอยากไปให้ว่าต้องไปที่ไหนก่อนไป แล้วไปยังไง (ขอบคุณนะคะพี่) เมื่อเราโทรไปรบกวนพี่เค้าเสร็จแล้ว ก็เลือกเส้นทางที่จะเดินทางไปอุบล การเดินทางขาไปได้เป็นรถบัส ขากลับเป็นเครื่องบิน เพราะช่วงนั้นเราเคาะที่เที่ยวกันช้าไปหน่อย ใกล้ปีใหม่แล้วคนเดินทางกันหนาแน่น ได้ตั๋วมาก็บุญแล้วหนูจ๋า
วันเดินทางมาถึง เรามาเจอกันที่หมอชิตตั้งแต่ 6 โมง รถออกกี่โมงจำไม่ได้แต่ไม่เกิน 8 โมงแน่ๆ ระยะทางที่จะไปถึงอุบลรวมแล้ว 8 ชั่วโมง …นั่งกันสันหลังสั่นเลยจ้า ซึ่งระหว่างทางไม่มีอะไรมากหลับ เล่นมือถือ หลับ เล่นมือถือ เราเลยได้คำคมแสนเก๋ของทริปนี้ว่า " การเดินทางนั้น จุดหมายก็สำคัญ ระยะทางไกลกว่า " คำคมไรว่ะ
โอเคตัดภาพมาตอนใกล้ถึงอุบล พี่ชายเจ้านายก็โทรมาถามว่าถึงไหนแล้ว เพราะพี่เค้าจะมารับไปส่งที่ที่พัก พอถึงไม่มีเวลาบิดขี้เกียจหรือขี้เกียจ พี่เค้าก็มารอรับตรงขนส่งแล้ว เค้าถามว่าจะไปที่ไหนบ้างที่วางแผนไว้ เราก็บอกลิสต์สถานที่ที่ดูรีวิวมาให้พี่เค้าฟัง จบด้วยเสียงขำเพราะพี่เค้าบอกว่า อุบลเนี่ยไม่ใช่เมืองเล็ก ไม่ใช่จะมานอนในเมืองแล้วไปโขงเจียมแล้วกลับมานอน มันไกลลูกเอ้ย
เอิ่ม… แผนเปลี่ยน Y___Y
ไม่เป็นไรหนูคืนนี้พักผ่อนก่อน แต่พี่ว่าถ้าจะไปลาวต้องไปเลยพรุ่งนี้ ขากลับค่อยแวะเที่ยวโขงเจียม วันนี้นอนซะพรุ่งนี้จะมีคนมารับไปกินข้าวแล้วก็ไปส่งขึ้นรถไปที่ด่านปากเซ !! เราเดินมาที่ reception โรงแรม บอกชื่อไปปุ้บ เค้าก็ให้กุญแจกับคีย์การ์ดมาเลย เพราะทางญาติเจ้านายจัดการให้แล้วเรียบร้อย จ่ายค่าห้องให้ด้วยโอ้ยยเกรงใจมาก เราเอาของเก็บอย่างลวกๆแล้ว เราก็ตะลอน ร่อนเร่หาร้านดังระแวกนั้น เพื่อนบอกเล็กนมสดเด็ดมากรีวิวบอกมา เราหาแท็กซี่กันไม่ได้สักคัน จึงตัดสินใจเดินไปตาม GPS ซึ่งพิกัดไม่ไกลจากโรงแรมหรอกค่ะ แต่ตอนกลางคืนอุบลก็แอบเงียบเหมือนกันนะถ้าไม่ใช่ดาวน์ทาวน์… เอาเห๊อะหิวอ่ะ อยากเช็คอิน 5555555
พอมาถึงเล็กนมสด ก็สั่งเมนูเด็ดมา 2-3เมนู ขนมปังหน้ามะพร้าวดีงามมากกก กินไปถ่ายรูปไปกินอิ่มก็จ่ายเงิน กำลังจะเดินกลับ แต่มันยังนอนไม่ได้เพราะยังเห่อการเดินทางอยู่ เลยแวะร้านที่2 จำชื่อร้านไม่ได้แล้วอยู่ระหว่างทางกลับโรงแรม หัวมุมถนน วัยรุ่นเยอะ พนักงานชายล้วน หล่อล้วน น่ารักล้วน <3 เอาซะหน่อย เฟรนฟรายมา1ค่ะพี่ >< อิ่มแล้วก็เดินทางกลับโรงแรม (จำชื่อโรงแรมไม่ได้นะค่าขอโทษที) มาถึงก็อาบน้ำแล้วก็วางแผนกันเล็กๆน้อยๆสุดท้ายพล่อยหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า
* สรุปคืนแรก ปวดตูด ปวดหลัง แค่ได้ไกลจากกรุงเทพก็มิชชั่นคอมพลีสแล้ว
6:30 ตื่นแล้วจ้าตื่นแล้ว ไม่อยากให้ช้าไปเราเลยกินข้าวที่โรงแรม เป็นบุปเฟ่ง่ายๆ อร่อยดี สักพักก็มีคนโทรเข้ามา เค้าคือหลานของเจ้านายนั่นเอง เค้าบอกว่าจะพาไปกินข้าว แต่เราก็บอกว่ารบกวนส่งแค่ที่ขึ้นรถก็พอแล้ว เค้าก็ถามว่าสรุปจะไปไหนก่อน เลยบอกไปว่าคงไปปากเซก่อน แล้วค่อยกลับมาเที่ยวโขงเจียม สามพันโบก จริงๆอยากเค้าดาวน์ที่ปากเซ แต่ดูแล้วคงจะเหนื่อย
เมื่อถึงที่ขนส่ง เราก็หารถที่จะไปปากเซ ค่อนข้างมีปัญหาตรงนี้เพราะว่ารถที่จะพาข้ามไปปากเซเลย รับแค่คนที่มี Passport เพื่อนเรามีแต่เราไม่มี เพื่อนด่าไปหนึ่งยก หงอยเลยจ้า สรุปเราเลือกนั่งรถตู้ไปที่ด่าน เพื่อทำเอกสารข้ามแดนชั่วคราว เมื่อถึงด่านแล้ว ขณะที่คุณเดินลงมาปุ้บ จะมีคนกรูเข้ามาหาคุณประมาณ 20 คนอย่างต่ำ พยายามจะหยิบกระเป๋าคุณให้ขึ้นรถเขา อันนี้น่ากลัวมาก จะมีทั้งวินทั้งคน เยอะมากกก ระวังกันด้วยนะ
ท้ายสุด เราได้พี่วินมา2คน เค้ารับดูแลเรื่องพาไปทำ รอคิว คอยฟังชื่อให้ด้วย พอเรียบร้อยเค้าก็พามาส่งที่ ตม แลกเงินกีบกันคนละ 2500 บาท ได้มาเป็นล้าน รวยไปอีก กดเงินไทยติดตัวไปอีกคนละ 2000 เสร็จก็เข้าขั้นตอนการข้ามแดน ไม่มีอะไรเจ้าหน้าที่ก็ถามว่าไปไหน เราบอกปากเซ เค้าก็ถามกี่วัน เราก็บอกไป คือใบนี้ไปได้ไกลสุดแค่ปากเซนะถ้าจำไม่ผิด ไปไกลกว่านั้นไม่ได้ แต่ถ้าเป็น passport ก็ไปได้เลยทั่วประเทศ พอเสร็จเราก็ข้ามมาฝั่งลาว ตรงช่องข้ามด่านมันอยู่ใต้ดิน เย้ ตอนเข้าไปรู้สึกแปลกๆน่ากลัวนะ พอขึ้นมาก็โผล่ที่ต่างประเทศแล้ว เดินไปหารถที่จะเข้าไปในตัวเมืองปากเซ ระหว่างนั้นมีพี่ชาวลาวคนหนึ่งมาพูดอะไรสักอย่างเราฟังไม่ออก เพื่อนก็กลัวเลยบอกเดินหนีๆ ไปๆอย่าไปสนใจนะกลัวจะมาหลอกขายอะไรงี้อีก โอเคพอถึงรถตู้ที่จะพาเราเข้าไปที่ปากเซ เราก็ผ่อนคลายจัดที่จัดทางเอาให้นั่งสบายที่สุด รถตู้นี่ก็เป็นรถโดยสารค่ารถประมาณ 100 มีชาวลาวนั่งไปด้วยเต็มรถแหละ คล้ายบ้านเรารอให้เต็มค่อยออก ระหว่างทางก็ชมนกชมไม้ในใจคิดว่า นี่กรูส์อยู่ต่างประเทศแล้วจริงๆใช่ไหมว่ะ เหมือนอยู่แถวบ้านกรูส์เลยเนี้ย 55555 แต่ยังไม่ทันจะจินตนาการอะไรเท่าไหร่ เพื่อนก็ส่งเสียงแหลมขึ้นมาอย่างหน้าตาตื่น ‘เมิงง! เราลืมประทับตาขาเข้าประเทศ’ ด้วยความงงเพราะไม่เคยไปต่างประเทศแบบมัน แค่เชียงใหม่กูก็ตื่นเต้นล่ะ เลยถามว่ามันคืออะไรว่ะ มันก็อธิบายมา ทีนี้มันบอกอย่ากระโตกกระตาก แต่มันลนมาก แต่พี่ผู้ชายที่นั่งข้างๆได้ยินเสียงหัวใจเราเต้นแบบตื่นเต้นละมั้ง เลยถามว่า
“จะไปไสล่ะ”
“ไปปากเซค่ะพี่”
“โอ้ยบ่ เป็นหยังดอกไปได้ ไปเถอะ”
“จริงหรอจะโดนจับป่ะพี่”
“ก็ถ้าเค้าไม่รู้ก็ไม่จับ”
ไม่ทันล่ะเรื่องดังไปถึงหูคนขับ นางบอกเราว่า
“จับสิ!ทำไมจะไม่จับ เนี้ยมันข้อหาลักลอบเข้าประเทศเชียวนะน้อง น่าจะโดน 3000บาท”
“ห้ะ!!!”
“งั้นพี่กลับไปส่งให้ป่ะล่ะ แต่พี่ขอคิดอีกคนละ 250 นะ”
การต่อรองจึงเกิดขึ้น แกก็เลยยอมว่า 2 คน จ่าย 400 แต่ก็พูดให้กลัวว่าแหมนี่ถ้าผมจับคุณไปส่งตำรวจนะโดนคนละ 3000 ดีนะไม่ทำ จ้าดีแล้วจ้า พี่หนูไม่ได้ตั้งใจโน๊ะ พอมาถึงก็รีบไปประทับตราขาเข้าเสียเงินไปคนละ 100 นะถ้าจำไม่ผิด ถ้าใครจะซื้อซิมแถวๆนั้นมีขายเยอะเลย แต่เราไม่ซื้อกะหา wifi เอา เสร็จปั้บก็ไปท่ารถตู้ที่เดิม จากตรงที่ประทับตราต้องนั่งวินไป 20 บาท ตอนนั่งรถกลับเข้าตัวเมืองปากเซ ก็นึกขึ้นมาได้ว่าอ๋อที่มีพี่ผู้หญิงลาวมาพูดอะไรกับเรา เค้าคงบอกว่าให้ไปปั้มตราขาเข้าด้วยแน่ๆเลยว่ะ !! (เห็นแมะ มองโลกในแง่ดีบ้างจะเป็นไรไป)
ในที่สุดค่ะ...เรามาตัวเมืองปากเซแล้ว เพื่อนทำการจองโรงแรมแถวละแวกนั้น คืนละ 550 มีแอร์ด้วย วิวโอเค มี Wifi งั้นเราตกลงพักทีนี่ทั้ง 2 คืนเลยดีกั้ว พอเก็บของเสร็จก็เย็นแล้วการไปน้ำตกต่างๆไม่ทันแน่ เลยหาอะไรกินกัน อาหารไม่ค่อยมีนะส้มตำ น้ำตก แบบที่เราคุ้น เดินหานานมากอยากกินข้าว ด้วยความที่เป็นนักท่องเที่ยวสะพายกล้อง มันก็จะดึงดูดพวกคนขับรถ คนขายของเข้ามาหาเราโดยอัตโนมัติ และเราก็จะหนีแบบอัตโนมัติ วันนั้นยืนอยู่2คน มีคนขับสามล้อเครื่องมาลุ้มอยู่ 3-4 เจ้า เราตัดสินใจเลือกลุงคนนึงบอกนางว่า อยากกินข้าวค่ะช่วยพาไปหน่อย ราคาเท่าไหร่ นางบอก 60 บาท รับกลับมาส่งโรงแรมด้วย เดี๋ยวพาไปเที่ยวห้างด้วยนะ
ว้าวว ข้อเสนอเริศไปค่ะลุงลุยกันเลย
ตอนนั่งรถก็ทำความรู้จักกับลุงได้ชื่อมาว่า ลุงแลง ลุงแลงพา2สาวมาส่งที่ร้านริมโขงแห่งนึงวิวดี อาหารประมาณร้านข้าวต้ม แพงอยู่ 200-400 ไรงี้ เราก็แอบเสียใจ จริงๆอยากกินตามสั่งง่ายๆมากกว่า ตกลงกับลุงว่าเดี๋ยวถ้ากินเสร็จจะโทรไป ลุงเอาเบอร์มา ให้เบอร์เสร็จลุงแลงก็เบิ่งรถไปอย่างไม่มองหลับหลัง แล้วจะเอาอะไรโทรละลุงจ๋า ไม่ได้ซื้อซิมลาวมาจ้า ช่างมันกินก่อนดีกว่า ทีนี่พนักงานเสิร์ฟน่ารักมาก เป็นสาวประเภทสองมีอายุแล้วนางแต่งตัวจัดมากเสื้อครอปสีสด บวกกางเกงข้าม้าเอวสูงลายลูกไม้มีเลเยอร์ ปากแดงจัด คิ้วเป๊ะสุด บริการดีพูดเพราะ แล้วจู่ๆก็มาถามเราว่ามาจากฝั่งไทยหรอ ก็เลยชวนคุยไป ป้าแกก็เล่าว่าเนี้ยป้าไปอยู่กรุงเทพมา8ปี อยู่แถวสาธรร้องเพลงในร้านอาหาร แต่ตอนนี้มาช่วยแม่ทำงาน มาอยู่กับแมไม่ได้กลับไปแล้ว แล้วก็เดินไปหลังร้านไปเอารูปมาให้ดูสมัยสาวๆ งามหลายป้าจ๋า ป้าดีมาถามตลอดกรุงเทพเป็นไงบ้างล่ะ รถติดไหม คุยไปคุยมาจนอิ่ม พออิ่มเราก็เลยยืมมือถือป้าโทรหาลุงแลง ป้าใจดีให้ยืมด้วย พอลุงแลงมาถึงก็ร่ำลากัน ป้าแกฝากความคิดถึง มาถึงกรุงเทพด้วย
ต่อเลยลุง...สถานีต่อไป ห้างสรรพสินค้า ลุงแลงขอพรีเซนต์ห้างที่ใหญ่โตของปากเซทีนี้มีอะไรขายเยอะมาก ลองเดินดูเดี๋ยวเสร็จแล้วมารอลุงนี้นะ จะมารับ เราก็เดินดูกันสักพัก ห้างที่นี่อารมณ์เหมือนพวกห้างแถวๆย่านสำเพ็ง พาหุรัด แบบนั้นค่ะ คนเยอะของแยะ แต่ราคาก็เหมือนบ้านเราแหละ ถูกสุดไม่ต่ำกว่า 20 บาท บ้างอย่างก็แพงนะ
เดินถ่ายรูปกันเสร็จก็ออกมารอลุงแลง ลุงแลงมาพอดี เพราะนัดเวลากันไว้6โมง ลุงบอกจะไหนต่อดี เลยบอกว่าตอนกลางคืนวัยรุ่นไปไหนกันลุงหนูอยากไปตรงนั้น ลุงก็เลยพาไปที่ ที่ฝรั่งอยู่เยอะๆเป็นร้านนั่งดื่ม นั่งกิน คึกคักกว่าตรงโรงแรมที่เราอยู่อีก เสียดายน่าจะอยู่ตรงนี้ แต่ก็สายไปล่ะ เราเลยบอกลุงว่าเดี๋ยวหนูเดินดูเองคะ กลับเองได้แหละรถเยอะ ลุงก็บอกไม่เป็นไรเดี๋ยวมารับไปส่งเพราะดึกๆมันอันตราย เราก็โอเคเดี๋ยวยืมโทรศัพท์คนที่ร้านโทรไป
ละแวกนั้นทัวร์นำเที่ยวเยอะ เลยวางแผนเที่ยวของวันพรุ่งนี้ เพื่อนบอกในรีวิวต้องไป 'วัดภู ตามมาด้วย ตาดเยื้อง ผาส้วม' พวกตาดๆนี่แหละสวยเด็ดขึ้นชื่อของดีปากเซ พอรู้ว่าจะไปไหนงั้นเราเลยเดินดูราคาทัวร์หลายร้าน แต่พอไปถามพี่ๆเค้าก็บอกว่าถ้าจะไปวัดภู ก็แวะน้ำตกให้ไม่ได้ เพราะมันคนละเส้นทางกัน ต้องเลือกเลยระหว่างไปวัดภู หรือไปเส้นน้ำตก ราคาก็ตกอยู่คนละ 2000 บาท คนล่ะ!!!! เอามือทาบไปที่อกเบาๆ ใจสลายพังลง ทำไมมันถึงแพงและไกลจัง แค่ที่เดียวคิด คนละ 2000 – 2500 บาท เราเดินถามได้ 3-4 ที่ คำตอบก็คล้ายกันหมด เราเลยถอดใจเดี๋ยวลองไปถามวินรถตู้เอาตอนเช้าแล้วกันวัดดวง เสร็จปุ้บก็เดินเล่นแวะหาอะไรดื่ม หา wifi เล่นกันหน่อยไม่ได้เข้าเฟสบุก ไอจี มาทั้งวันเสี้ยนมากจะลงแดง เราแวะกันหลายร้านเงียบๆไม่คึกคักจนเกินไป เพื่อนบอกว่าถ้าเทียบปากเซเป็นไทยก็คงเป็นเมืองที่ไม่ใช่ที่ท่องเที่ยว เหมือนวังเวียงที่เทียบเท่าเหมือนเชียงใหม่บ้านเรา พอตาเริ่มหย่อนจะกลับเลยบากหน้าขอยืมมือถือเด็กเสริฟ คำตอบที่ได้คือ ‘บ่มีครับ’ ไม่มี ไม่มีใครให้ยืมเลยอ่ะ ทำไงดีแล้วจะกลับยังไง งั้นพี่เด็กเสิร์ฟช่วยเรียกแท็กซี่หรือไม่ก็สามล้อให้หน่อยนะค่ะ ลองเดินแล้วไม่ไหวหลงแน่ เรารอกันนานมากแต่ไม่มีรถเลย สักพัก สวรรค์เมตตา ลุงแลงขับผ่านหน้าร้านที่เรานั่ง ลุงพยายามมองหาเรา เราสองคนตะโกนเรียก ลุงแลง เยี่ยงลุงเป็นญาติผู้ใหญ่ เสียงดังลั่นปากเซ
(ต่อค่ะ)