สวัสดีค่ะ ชาวพันทิปทุกๆท่าน
นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกของเรา
ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
หลังจากช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา
เราได้ไปเที่ยวที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
ต้องบอกก่อนเลยว่า เราสองคนไป Backpack กันมาสองสามที่แล้ว
ที่แรกคือเชียงใหม่ และที่ที่สองคือ ประจวบคีรีขันธ์ (นั่งรถไฟไปทั้งนั้น)
เราสองคนชอบการเที่ยวแบบ backpack ด้วยกันทั้งคู่
เพราะเรารู้สึกว่ามันสนุกและได้ฟีลของการเดินทางจริงๆ
และเหตุที่ไปกันสองคนคือ ไม่มีใครไปด้วย 555
จะชวนเพื่อนไปก็เวลาไม่ตรงกัน และอีกอย่างข้อแม้ที่สำคัญของการ backpack ของเราคือ
เราจะไปโดย
รถไฟ เพื่อนๆเลย ไม่มีใครสนใจที่จะไป 555 เราก็เลยไปกันสองคน
ซึ่งทริปนี้ เป็นทริปที่ฉุกละหุกมากก เพราะคิดวันเดียว แล้วก็ตัดสินใจไปเลย
เหตุผลที่เลือกไปโขงเจียมเพราะ แฟนเราไปดู เฟดเฟ่ตอนที่ไปโขงเจียมมา แล้วเกิดอาการอยากไป
ประกอบกับ การนั่งรถไฟไปโขงเจียมมันดูท้าทายดี เพราะด้วยระยะทางที่ไกล
และเป็นรถไฟสายอีสานที่เราไม่เคยนั่ง อีกทั้งโขงเจียมก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อความเห็นตรงกัน เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็เลยแพ็คกระเป๋าออกเดินทางไป Slow life โขงเจียมมมม!
เราออกเดินทางในวันที่ 31 กรกฎาคม โดยไปขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพง (สถานีกรุงเทพ)
ซึ่งเป็นอะไรที่ลุ้นมาก เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาว คนเต็มสถานีเลย ที่นั่งชั้น 1 ชั้น 2 เต็มหมด เหลือแต่ชั้น 3
บอกตรงๆ เราไม่อยากนั่งรถไฟชั้น 3 ไปที่ไกลๆขนาดนี้ เพราะมันคงทรหดมาก แต่เราก็ต้องยอมเพราะไม่มีทางเลือกแล้วว T___T
เราได้รถไฟขบวนรองสุดท้าย โดยขึ้น
รถไฟขบวน 139 (เร็ว) กรุงเทพ - อุบลราชธานี ออกจากสถานีเวลา 18.55 น.
ราคาตั๋ว คนละ 205 บาท (ตั๋วยับไปหน่อยไม่ว่ากันเนอะ อิอิ)
เราใช้เวลาในการนั่งรถไฟประมาณกว่า 12 ชั่วโมง 18.55น. - 06.15น.
ตอนแรกรถไฟช้ามาก เราคิดว่าจะถึงเลท
แต่ที่ไหนได้ รถไฟมาสปีดในช่วงหลัง ถึงในเวลาประมาณที่กำหนดพอดี ไม่ถึง 7 โมง
ระหว่างเดินทางเราหลับ เพราะทั้งง่วงทั้งเพลีย โชคดีที่มีคนเฝ้า เพราะนางไม่ยอมนอน กิกิ
เราชอบการนั่งรถไฟเพราะได้เห็นผู้คนมากมาย และหลากหลาย ระหว่างทางก็มีของมาขายตลอดด
ไม่ต้องกลัวว่าจะหิวเลยจริงๆ
หลังจากที่หลับๆตื่นๆ จนคอเคล็ด เราก็มาถึง อุบลราชธานี!!!
สถานีรถไฟอุบลราชธานีอยู่ในอำเภอวารินชำราบ ซึ่งเป็นสถานีที่ใหญ่พอสมควร
เมื่อเราถึงที่สถานีปลายทางแล้ว เราก็ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย แล้วเราก็หารถสองแถวเพื่อไปที่สถานีขนส่ง
เรานั่งรถสองแถวสีขาว ที่มารอรับอยู่หน้าสถานีเพื่อไป บขส.อุบลฯ ค่ารถคนละ 10 บาท
(ค่าโดยสารถูกเหมือนระยะทางจะไม่ไกลมาก แต่เอาจริงๆแล้วก็ใช้เวลานานพอสมควร [ในความรู้สึกเรา] )
จากนั้นเราก็เดินหาคิวรถตู้เพื่อไปโขงเจียม เป็นรถตู้สาย อุบล - ช่องเม็ก ค่าโดยสารคนละ 80 บาท
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากอุบลถึงอ.โขงเจียม
เมื่อรถตู้จอดที่คิวรถตู้อำเภอโขงเจียมแถวๆตลาด (โขงเจียมไม่มีสถานีขนส่งมีแต่คิวรถตู้)
ปรากฏว่าฝนตกกก!! แต่โชคดีที่ไม่ได้ตกหนักมาก อารมณ์แบบเย็นๆ ชุ่มๆหน่อย
จากนั้นเราก็เดินเท้าเพื่อไปที่ร้าน
บ้านสเต็ก ณ โขงเจียม เพื่อไปเช่ามอเตอร์ไซค์
ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าที่ร้านบ้านสเต็ก ณ โขงเจียมนี้มีให้เช่ามอเตอร์ไซค์
เพราะตอนแรกก่อนที่เราจะตัดสินใจมาโขงเจียมเหตุผลที่สำคัญของเราคือ
ที่นี่ต้องมีร้านให้เช่ามอเตอร์ไซค์ เพราะเราไม่มีรถส่วนตัว และเราก็ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะเหมารถไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ได้
ก่อนเดินทางมา เราก็ search หาข้อมูลว่าที่โขงเจียมมีให้เช่ามอเตอร์ไซค์มั้ย
ซึ่งเราก็เจอว่ามีจริงๆ แต่พอเราโทรไปสอบถามที่นั่น
เค้าก็บอกว่าตอนนี้ไม่มีแล้ว ใจเรานี่แป้วเลย (ตอนที่โทรก็กำลังนั่งอยู่บนรถตู้จากอุบลไปโขงเจียมอีกต่างหาก)
เราก็เลยลองถามว่าแถวนั้นมีที่ไหนให้เช่าอีกมั้ย เค้าก็บอกว่ามี เป็นที่ร้าน บ้านสเต็ก ณ โขงเจียม
เรานี่ยิ้มเลย นึกว่าทริปนี้จะเฟลซะแล้ว จากนั้นเราก็หาข้อมูลร้าน บ้านสเต็ก ณ โขงเจียม ใน google
แล้วก็ได้เบอร์มา เราก็โทรไปสอบถาม เค้าก็บอกว่ามีให้เช่าแล้วเหลือคันสุดท้ายพอดี (น้ำตาจะไหลล T__T)
เราก็เลยบอกพี่เค้าไว้ ว่าอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเราจะไปเช่า พี่เค้าก็โอเคเก็บรถไว้ให้เรา
พอถึงเราก็เดินหาร้านตามที่พี่เค้าบอก เราก็ยังไม่เจอ เราเลยรอตรงหน้า 7-11 แล้วโทรหาพี่เค้า พี่เค้าก็ขี่รถมารับเรา
จากนั้นเราก็จัดการเช่ามอเตอร์ไซค์ โดยเราเช่า 2 วัน วันละ 300 บาท ซึ่งทางร้านก็เติมน้ำมันไว้ให้เต็มถัง
โดยจากการที่เราคุยกับพี่เค้า พี่เค้าเปิดร้านขายสเต็ก แต่มีบริการเสริมคือ ให้เช่ามอเตอร์ไซค์ สำหรับนักท่องเที่ยว
เพราะพี่เค้าอยากให้คนมาเที่ยวที่โขงเจียมเยอะๆ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วคนที่มาเที่ยวโขงเจียมจะมารถยนต์ส่วนตัวกัน
น้อยมากที่จะมาเที่ยวเองแบบนี้ พี่เค้าก็เลยอยากให้คนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวมาเที่ยวโขงเจียมบ้าง
เลยลงทุนเอามอเตอร์ไซค์มาให้เช่า รถที่ร้านพี่เค้านอกจากจะเป็นมอเตอร์ไซค์ธรรมดาแล้ว ยังมีมอเตอร์ไซค์แบบวิบากด้วยนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้นี่คือร้านบ้านสเต็กที่เราไปเช่ามอเตอร์ไซค์ (รูปจากแฟนเพจร้าน)
พอเราเช่ามอเตอร์ไซค์เสร็จเรียบร้อยเราก็ขี่รถหาที่พัก โดยที่พักที่เราอยากได้คือที่พักที่ไม่แพงมาก และอยู่ติดแม่น้ำ
เราขี่รถหาอยู่สักพักก็เจอที่ๆหนึ่ง ที่บรรยากาศดีตามที่เราต้องการ คือที่
ริมมูล ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท
สอบถามราคาแล้วแค่คืนละ 500 บาทเอง (เราถือว่าราคาถูกนะในช่วงวันหยุดแบบนี้ มีวิวติดแม่น้ำ แถมยังเป็นบ้านเดี่ยวอีกด้วย คุ้มสุดๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ภาพบรรยากาศที่พัก จากแฟนเพจ
จากนั้นเราก็นอนพักผ่อน เพื่อเก็บแรงไปสำรวจโขงเจียมในตอนเย็น
เมื่อพักผ่อนเต็มที่แล้วก็ขี่รถไปที่ชมแม่น้ำสองสี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมาก โดยอยู่ในบริเวณวัดโขงเจียม
เป็นความโชคดีของเราที่ไปในช่วงที่เค้าออกเรือหาปลากันพอดี คือจะมีแค่ 7 วัน ในรอบ 1 ปีเท่านั้น
พอไปถึงก็มีเรือชาวบ้านออกมาหาปลากันเยอะพอสมควร
จากภาพจะเห็นไม่เยอะมาก เพราะเราถ่ายมาไม่หมด
ซึ่งแม่น้ำสองสีที่เราเห็นนั้น คือสีครามและสีปูน
ด้วยเหตุที่เรียกว่าแม่น้ำสองสี เพราะ เกิดจากแม่น้ำสองสีมาบรรจบกัน
คือ แม่น้ำมูลที่มีสีคราม กับแม่น้ำโขงที่มีขุ่นๆเหมือนปูน
ตามชื่อ "โขงสีปูน มูลสีคราม" นั่นเอง
ซึ่งถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นแม่น้ำเป็นสองสีชัดมาก
โดยบริเวณที่เรามองก็เห็นเหมือนกัน คือเห็นเป็นสองสีตัดกันเลย
จากนั้นเราก็ไปหาอะไรกินที่ตลาดโขงเจียม แล้วก็มาปาร์ตี้เล็กๆที่รีสอร์ท [เล็กมากจริงๆ เพราะมีสมาชิกกันสองคน 555]
[Backpack] นั่งรถไฟไป SLOW LIFE ที่โขงเจียม (หน้าฝน) : เมืองน่าอยู่ ผู้คนน่ารัก
สวัสดีค่ะ ชาวพันทิปทุกๆท่าน
นี่เป็นการตั้งกระทู้ครั้งแรกของเรา
ผิดพลาดประการใด ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะคะ
มาเริ่มกันเลยดีกว่า
หลังจากช่วงวันหยุดยาวที่ผ่านมา
เราได้ไปเที่ยวที่อำเภอโขงเจียม จังหวัดอุบลราชธานี
ต้องบอกก่อนเลยว่า เราสองคนไป Backpack กันมาสองสามที่แล้ว
ที่แรกคือเชียงใหม่ และที่ที่สองคือ ประจวบคีรีขันธ์ (นั่งรถไฟไปทั้งนั้น)
เราสองคนชอบการเที่ยวแบบ backpack ด้วยกันทั้งคู่
เพราะเรารู้สึกว่ามันสนุกและได้ฟีลของการเดินทางจริงๆ
และเหตุที่ไปกันสองคนคือ ไม่มีใครไปด้วย 555
จะชวนเพื่อนไปก็เวลาไม่ตรงกัน และอีกอย่างข้อแม้ที่สำคัญของการ backpack ของเราคือ
เราจะไปโดยรถไฟ เพื่อนๆเลย ไม่มีใครสนใจที่จะไป 555 เราก็เลยไปกันสองคน
ซึ่งทริปนี้ เป็นทริปที่ฉุกละหุกมากก เพราะคิดวันเดียว แล้วก็ตัดสินใจไปเลย
เหตุผลที่เลือกไปโขงเจียมเพราะ แฟนเราไปดู เฟดเฟ่ตอนที่ไปโขงเจียมมา แล้วเกิดอาการอยากไป
ประกอบกับ การนั่งรถไฟไปโขงเจียมมันดูท้าทายดี เพราะด้วยระยะทางที่ไกล
และเป็นรถไฟสายอีสานที่เราไม่เคยนั่ง อีกทั้งโขงเจียมก็มีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อย
เมื่อความเห็นตรงกัน เช้าวันรุ่งขึ้นเราก็เลยแพ็คกระเป๋าออกเดินทางไป Slow life โขงเจียมมมม!
เราออกเดินทางในวันที่ 31 กรกฎาคม โดยไปขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพง (สถานีกรุงเทพ)
ซึ่งเป็นอะไรที่ลุ้นมาก เพราะเป็นช่วงวันหยุดยาว คนเต็มสถานีเลย ที่นั่งชั้น 1 ชั้น 2 เต็มหมด เหลือแต่ชั้น 3
บอกตรงๆ เราไม่อยากนั่งรถไฟชั้น 3 ไปที่ไกลๆขนาดนี้ เพราะมันคงทรหดมาก แต่เราก็ต้องยอมเพราะไม่มีทางเลือกแล้วว T___T
เราได้รถไฟขบวนรองสุดท้าย โดยขึ้นรถไฟขบวน 139 (เร็ว) กรุงเทพ - อุบลราชธานี ออกจากสถานีเวลา 18.55 น.
ราคาตั๋ว คนละ 205 บาท (ตั๋วยับไปหน่อยไม่ว่ากันเนอะ อิอิ)
เราใช้เวลาในการนั่งรถไฟประมาณกว่า 12 ชั่วโมง 18.55น. - 06.15น.
ตอนแรกรถไฟช้ามาก เราคิดว่าจะถึงเลท
แต่ที่ไหนได้ รถไฟมาสปีดในช่วงหลัง ถึงในเวลาประมาณที่กำหนดพอดี ไม่ถึง 7 โมง
ระหว่างเดินทางเราหลับ เพราะทั้งง่วงทั้งเพลีย โชคดีที่มีคนเฝ้า เพราะนางไม่ยอมนอน กิกิ
เราชอบการนั่งรถไฟเพราะได้เห็นผู้คนมากมาย และหลากหลาย ระหว่างทางก็มีของมาขายตลอดด
ไม่ต้องกลัวว่าจะหิวเลยจริงๆ
หลังจากที่หลับๆตื่นๆ จนคอเคล็ด เราก็มาถึง อุบลราชธานี!!!
สถานีรถไฟอุบลราชธานีอยู่ในอำเภอวารินชำราบ ซึ่งเป็นสถานีที่ใหญ่พอสมควร
เมื่อเราถึงที่สถานีปลายทางแล้ว เราก็ทำธุระส่วนตัวให้เรียบร้อย แล้วเราก็หารถสองแถวเพื่อไปที่สถานีขนส่ง
เรานั่งรถสองแถวสีขาว ที่มารอรับอยู่หน้าสถานีเพื่อไป บขส.อุบลฯ ค่ารถคนละ 10 บาท
(ค่าโดยสารถูกเหมือนระยะทางจะไม่ไกลมาก แต่เอาจริงๆแล้วก็ใช้เวลานานพอสมควร [ในความรู้สึกเรา] )
จากนั้นเราก็เดินหาคิวรถตู้เพื่อไปโขงเจียม เป็นรถตู้สาย อุบล - ช่องเม็ก ค่าโดยสารคนละ 80 บาท
ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงจากอุบลถึงอ.โขงเจียม
เมื่อรถตู้จอดที่คิวรถตู้อำเภอโขงเจียมแถวๆตลาด (โขงเจียมไม่มีสถานีขนส่งมีแต่คิวรถตู้)
ปรากฏว่าฝนตกกก!! แต่โชคดีที่ไม่ได้ตกหนักมาก อารมณ์แบบเย็นๆ ชุ่มๆหน่อย
จากนั้นเราก็เดินเท้าเพื่อไปที่ร้าน บ้านสเต็ก ณ โขงเจียม เพื่อไปเช่ามอเตอร์ไซค์
ตอนแรกเราก็ไม่รู้หรอกว่าที่ร้านบ้านสเต็ก ณ โขงเจียมนี้มีให้เช่ามอเตอร์ไซค์
เพราะตอนแรกก่อนที่เราจะตัดสินใจมาโขงเจียมเหตุผลที่สำคัญของเราคือ
ที่นี่ต้องมีร้านให้เช่ามอเตอร์ไซค์ เพราะเราไม่มีรถส่วนตัว และเราก็ไม่ได้มีเงินมากพอที่จะเหมารถไปเที่ยวที่นั่นที่นี่ได้
ก่อนเดินทางมา เราก็ search หาข้อมูลว่าที่โขงเจียมมีให้เช่ามอเตอร์ไซค์มั้ย
ซึ่งเราก็เจอว่ามีจริงๆ แต่พอเราโทรไปสอบถามที่นั่น
เค้าก็บอกว่าตอนนี้ไม่มีแล้ว ใจเรานี่แป้วเลย (ตอนที่โทรก็กำลังนั่งอยู่บนรถตู้จากอุบลไปโขงเจียมอีกต่างหาก)
เราก็เลยลองถามว่าแถวนั้นมีที่ไหนให้เช่าอีกมั้ย เค้าก็บอกว่ามี เป็นที่ร้าน บ้านสเต็ก ณ โขงเจียม
เรานี่ยิ้มเลย นึกว่าทริปนี้จะเฟลซะแล้ว จากนั้นเราก็หาข้อมูลร้าน บ้านสเต็ก ณ โขงเจียม ใน google
แล้วก็ได้เบอร์มา เราก็โทรไปสอบถาม เค้าก็บอกว่ามีให้เช่าแล้วเหลือคันสุดท้ายพอดี (น้ำตาจะไหลล T__T)
เราก็เลยบอกพี่เค้าไว้ ว่าอีกประมาณ 1 ชั่วโมงเราจะไปเช่า พี่เค้าก็โอเคเก็บรถไว้ให้เรา
พอถึงเราก็เดินหาร้านตามที่พี่เค้าบอก เราก็ยังไม่เจอ เราเลยรอตรงหน้า 7-11 แล้วโทรหาพี่เค้า พี่เค้าก็ขี่รถมารับเรา
จากนั้นเราก็จัดการเช่ามอเตอร์ไซค์ โดยเราเช่า 2 วัน วันละ 300 บาท ซึ่งทางร้านก็เติมน้ำมันไว้ให้เต็มถัง
โดยจากการที่เราคุยกับพี่เค้า พี่เค้าเปิดร้านขายสเต็ก แต่มีบริการเสริมคือ ให้เช่ามอเตอร์ไซค์ สำหรับนักท่องเที่ยว
เพราะพี่เค้าอยากให้คนมาเที่ยวที่โขงเจียมเยอะๆ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วคนที่มาเที่ยวโขงเจียมจะมารถยนต์ส่วนตัวกัน
น้อยมากที่จะมาเที่ยวเองแบบนี้ พี่เค้าก็เลยอยากให้คนที่ไม่มีรถยนต์ส่วนตัวมาเที่ยวโขงเจียมบ้าง
เลยลงทุนเอามอเตอร์ไซค์มาให้เช่า รถที่ร้านพี่เค้านอกจากจะเป็นมอเตอร์ไซค์ธรรมดาแล้ว ยังมีมอเตอร์ไซค์แบบวิบากด้วยนะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอเราเช่ามอเตอร์ไซค์เสร็จเรียบร้อยเราก็ขี่รถหาที่พัก โดยที่พักที่เราอยากได้คือที่พักที่ไม่แพงมาก และอยู่ติดแม่น้ำ
เราขี่รถหาอยู่สักพักก็เจอที่ๆหนึ่ง ที่บรรยากาศดีตามที่เราต้องการ คือที่ ริมมูล ริเวอร์ไซด์ รีสอร์ท
สอบถามราคาแล้วแค่คืนละ 500 บาทเอง (เราถือว่าราคาถูกนะในช่วงวันหยุดแบบนี้ มีวิวติดแม่น้ำ แถมยังเป็นบ้านเดี่ยวอีกด้วย คุ้มสุดๆ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
จากนั้นเราก็นอนพักผ่อน เพื่อเก็บแรงไปสำรวจโขงเจียมในตอนเย็น
เมื่อพักผ่อนเต็มที่แล้วก็ขี่รถไปที่ชมแม่น้ำสองสี ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากที่พักมาก โดยอยู่ในบริเวณวัดโขงเจียม
เป็นความโชคดีของเราที่ไปในช่วงที่เค้าออกเรือหาปลากันพอดี คือจะมีแค่ 7 วัน ในรอบ 1 ปีเท่านั้น
พอไปถึงก็มีเรือชาวบ้านออกมาหาปลากันเยอะพอสมควร
จากภาพจะเห็นไม่เยอะมาก เพราะเราถ่ายมาไม่หมด
ซึ่งแม่น้ำสองสีที่เราเห็นนั้น คือสีครามและสีปูน
ด้วยเหตุที่เรียกว่าแม่น้ำสองสี เพราะ เกิดจากแม่น้ำสองสีมาบรรจบกัน
คือ แม่น้ำมูลที่มีสีคราม กับแม่น้ำโขงที่มีขุ่นๆเหมือนปูน
ตามชื่อ "โขงสีปูน มูลสีคราม" นั่นเอง
ซึ่งถ้ามองจากมุมสูงจะเห็นแม่น้ำเป็นสองสีชัดมาก
โดยบริเวณที่เรามองก็เห็นเหมือนกัน คือเห็นเป็นสองสีตัดกันเลย
จากนั้นเราก็ไปหาอะไรกินที่ตลาดโขงเจียม แล้วก็มาปาร์ตี้เล็กๆที่รีสอร์ท [เล็กมากจริงๆ เพราะมีสมาชิกกันสองคน 555]