วันนี้...
ฉันเปิดเจอหัวข้อข่าวคุณแม่มือใหม่เปิดแอร์จ่อหน้าลูก ทำให้ใบหน้าเป็นอัมพาตไปครึ่งซีก
ฉันอดคิดไม่ได้ว่า เค้าไม่รู้จริงๆ เค้าสะเพร่าจริงๆ เค้าจะเสียใจแค่ไหนนะ แล้วเด็กคนนี้จะเป็นยังไงต่อ ตัวฉันเองมีลูกสองคน ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันพอทำได้คือแบ่งปันความรู้เล็กๆ ในการเลี้ยงเด็กแบบที่ฉันเข้าใจ ให้พ่อๆ แม่ๆ มือใหม่ ได้เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมความพร้อม มันอาจช่วยอะไรไม่ได้มาก ถ้าคุณมีผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน และคอยบอกคอยสอนเรื่องการเลี้ยงเด็กกับคุณอยู่แล้ว แต่สำหรับคุณแม่หลายคนที่ต้องเลี้ยงลูกเอง อ่านจากตำราอย่างเดียว ฉันคิดว่าบทความของฉันเรื่องทิปเล็กๆ พวกนี้น่าจะช่วยได้มากค่ะ
------------------------------------------------------------------------------------------
ทิปเล็กๆ ดูแลเด็กอ่อน
จากคุณแม่มือเก่า ถึงคุณแม่มือใหม่
- เด็กต้องการอากาศ "สบาย"
คำว่าความสบายคือ ลมโชยอ่อนๆ ไม่ร้อนไป ไม่เย็นไป อย่าเปิดแอร์ หรือพัดลมจ่อไปทางเด็กเล็กๆ เด็กอ่อนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลยังหันคอไม่ได้ ถ้าคุณเปิดพัดลมหรือแอร์พัดไปตรงหน้าเค้าตรงๆ มันจะทำให้เค้าอึดอัดมาก ฉันเคยอ่านเจอว่าคุณแม่ท่านนึงเปิดแอร์จ่อทารกไว้ทั้งคืน ทำให้ใบหน้าข้างที่โดนแอร์จ่อ เป็นอัมพาตไปครึ่งซีก
นึกภาพคุณอุ้มทารกออกจากโรงพยาบาลกลับมาบ้าน คุณวางเค้าลงที่เตียง เปิดหน้าต่างให้อากาศบริสุทธิ์เข้ามา และเปิดพัดลมหันไปทางผนังห้อง พัดลมช่วยให้อากาศไหลเวียนไปทั่วห้อง เมื่อคุณรู้สึกว่าร้อนเกินไป คุณเปิดแอร์เบาๆ อุณหภูมิประมาณ 25 คุณเอาผ้าห่อตัวทารกน้อยๆ จัดมุมที่เค้านอนอย่าให้โดนลมแอร์โดยตรง ตอนฉันพาลูกน้อยๆ กลับจากโรงพยาบาล ฉันวางเค้าลงในเตียงเด็ก จุดที่เค้านอนโดนลมแอร์เป่าตรงๆ มันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ฉันเอามุ้งมาครอบเค้า เอาผ้าอ้อมพาดแปะไปบนมุ้งตรงที่ลมเป่า แค่นี้ก็ได้ความเย็นสบาย แต่ไม่โดนลมแอร์โดยตรง ช่วงที่เค้าตื่น ฉันปิดแอร์ เปิดประตู เปิดหน้าต่าง ให้อากาศภายนอกไหลเวียนมาทดแทนอากาศเก่าในห้อง ลมพัดมาจากทางหน้าต่าง ผ่านออกประตูไป มันช่วยได้มากจริงๆ
- เด็กมีความ "อยากรู้" "อยากเห็น"
เมื่อทารกกลับมาบ้านได้สักสัปดาห์ ทุกวัน... ช่วงเช้าหรือเย็น อุ้มเค้าออกไปเดินนอกบ้านบ้าง อาจจะแค่หน้าบ้านก็ได้ค่ะ ให้เค้าได้สัมผัสที่ต่างไปจากการอยู่ในบ้าน จริงอยู่ที่สายตาของทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่ เค้ายังมองเห็นไม่ชัด แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเค้าสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่ในห้องเดิม หรือในบ้าน เหมือนการได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านแบบทริปเล็กๆ เค้าอาจจะได้ยินเสียงนกคุยกันหน้าบ้าน เสียงใบไม้ไหว ลมเอื่อยพัดมาโดนแก้มน้อยๆ
สำหรับชีวิตเล็กๆ แค่นี้ก็คือการ "ไปเที่ยว" แล้วค่ะ
- เด็กต้องการให้ "อุ้ม"
เมื่อทารกร้อง อุ้มเค้าเถอะค่ะ มีความเชื่อบางอย่างว่าอย่าอุ้มมาก เดี๋ยวจะติดมือ ก็ไม่ผิดนะคะ แต่การที่เค้าติดแม่ตอนเป็นเด็กๆ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอคะ มันคงดีกว่าให้เค้าติดหมอน หรือผ้าห่ม การที่เค้าติดแม่ หมายถึงเค้าวางใจว่าแม่ดูแลเค้าได้ แม่ทำให้เค้ารู้สึกปลอดภัย เค้ายังเป็นแค่เด็กเล็กๆ วันนึงเมื่อวัยมาถึง เค้าจะอยากผละจากแม่ไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ เอง ไม่จำเป็นที่เราต้องผลักไสเค้าตั้งแต่ตอนนี้ เด็กทารกวัยแบเบาะต้องการการตอบสนองทันที เค้าเพิ่งออกมาจากท้องอุ่นๆ ของแม่ มีท้องของแม่โอบรอบตัวเค้าตลอดเก้าเดือน เมื่อเค้าออกมาสู่โลกภายนอก เค้ายังไม่คุ้นชิน เค้าอยากได้ความรู้สึก โอบกอด ชิดใกล้ เหมือนสัมผัสตอนอยู่ในท้อง
ตอนลูกแบเบาะของฉันร้อง มีอยู่ครั้งนึง ฉันอุ้มก็แล้ว กอดก็แล้ว เค้าก็ยังร้องอยู่ ชั้นฝากเค้าไว้กับอาม่า แล้วไปห้องน้ำ กลับมาอีกที อาม่าวางเค้าไว้บนหมอนนุ่มๆ อันใหญ่ เอาหมอนอีกสามสี่ใบดันประคองซ้ายขวาบนล่าง เค้าหลับปุ๋ย อมยิ้มนอนสบาย ฉันคิดเอาเองว่าเค้าคงรู้สึกเหมือนได้อยู่ในท้องแม่อีกครั้ง แต่วางเค้ากับหมอนเยอะๆ แบบนี้ต้องระวังเรื่องหมอนปิดหน้าด้วยนะคะ
เมื่อเค้าร้อง นอกเหนือจากมีไข้ไม่สบาย ก็มีแค่ไม่กี่อย่าง เค้าอาจจะหิว เค้ามีลมในท้อง เค้าอยากให้คุณอุ้มเค้าจะได้เรอได้ หรือเค้าอาจจะรู้สึกไม่สบายตัว อยากได้สัมผัสจากแม่
แต่มีคำแนะนำอีกนิดนึง อย่าตาลีตาเหลือกลนลานรีบเข้าไปอุ้มเค้า ซึ่งฉันเองก็เคยเป็นตอนลูกคนแรก เมื่อเค้าอยู่กับคุณมาได้ซักพัก คุณจะตีความเสียงร้องของเค้าถูก บางครั้งมดกัด เสียงร้องของเค้าจะเป็นเสียงร้องแบบที่คุณต้องวิ่งเข้าไปหาทันที เมื่อเค้าหิวนม หรืออยากให้อุ้ม เสียงร้องของเค้าจะต่างออกไป ถ้าเป็นอย่างหลัง คุณค่อยๆ วางงานในมือลง เดินเข้าไปหาเค้า จับตัวเค้า ตบก้นเค้าเบาๆ บางทีเค้าอาจต้องการแค่นี้ แต่ถ้าเค้ายังร้องอยู่ คุณก็เช๊คดูผ้าอ้อมหรือแพมเพอรส์ดูซักหน่อย ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ เค้าอาจอยากให้คุณอุ้มจริงๆ ที่ไม่แนะนำให้ตาลีตาเหลือกอุ้มเค้า เพราะหนึ่ง เค้าต้องเรียนรู้ที่จะรอบ้าง เรียนรู้ที่จะวางใจบ้าง เค้าจะค่อยๆ รู้ว่าร้องแค่นี้ก็พอ เดี๋ยวแม่ก็มาแล้ว และสอง เค้าสัมผัสความลนลานของคุณได้ เค้าอาจจะร้องหนักขึ้นเมื่อคุณอุ้ม เพราะเค้าสัมผัสถึงความตระหนกตกใจที่อยู่ในตัวคุณ อยากแนะนำให้คุณแม่ช่างลนลาน ซึ่งรวมถึงตัวฉันเองด้วย ^_^ ตั้งสติดีๆ เดินเข้าไปหาเค้า สัมผัสเค้า อุ้มเค้า กอดเค้า ด้วยอารมณ์ "มั่นคง" มันช่วยให้เค้านิ่งง่ายขึ้น
- วางใจใน "น้ำนม"
เชื่อเถอะว่าแม่ทุกคนมีน้ำนมพอเลี้ยงลูก นึกถึงว่าตอนนี้คุณอยู่ในยุคที่ยังไม่มีใครคิดค้นขวดนมขึ้นมา สองเต้านี้เท่านั้นที่จะเป็นแหล่งอาหารเลี้ยงดูลูก สำหรับคุณแม่ที่น้ำหนักดี น้ำนมมาทันทีหลังคลอด ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่คุณแม่ตัวเล็กๆ ผอมๆ มักจะกังวลเรื่องนี้กัน ฉันเองก็ด้วย ตัวฉันเองน้ำหนัก 38 ก่อนท้อง และ 52 ตอนคลอด มันน่าเครียดจริงๆ เรื่องน้ำนม สำหรับคนนมน้อยๆ แบบเรา ลูกดูดนมครั้งแรกได้น้ำนมกระจิ๊ดเดียว คำว่ากระจิ๊ดเดียวหมายถึงช้อนชาเดียวเองนะ แค่ครั้งแรกฉันก็แพนิคแล้ว ยิ่งได้อ่านเยอะๆ ว่าคุณแม่คนนั้นปั๊มพ์ได้เท่านี้ คนนี้ปั๊มพ์ได้เท่านั้น มีตัวเลขเป็นออนซ์ มาคุยกัน ฉันนี่แอบเข้ามุมไปเลย น้ำนมฉันมีไม่เยอะ ปกติปั๊มพ์ได้ 3-4 ออนซ์ เคยปั๊มพ์ได้ 5 ออนซ์คือสูงสุดแล้ว ฉันก็อาศัยว่าให้เค้าดูดบ่อยๆ เก่าไปใหม่มา น้ำนมถึงมีน้อย แต่ก็ไม่เคยขาด แต่ลูกต้องอยู่ติดตัวตลอดเวลา บางคืนเค้านอนยาว ไม่กินนมเลย ก็ต้องตื่นมาปั๊มพ์ทิ้งบ้าง เก็บบ้าง บางทีที่ต้องแยกจากลูกไปทำธุระ ก็ต้องเอาที่ปั๊มพ์มือติดไปด้วย บางครั้งลืมเครื่องปั๊มพ์ไว้ที่บ้าน แต่คัดเต้าเหลือเกินก็ต้องเข้าห้องน้ำบีบทิ้งเอา
สำคัญมากคืออย่าปล่อยให้เต้าคัด มันจะเป็นก้อนแข็งอุดตันท่อน้ำนม เอาออกยาก เวลาลูกดูดให้หันด้านที่เป็นก้อนไปทางคางลูก พอช่วยได้ แต่ท่าอาจพิศดารไปหน่อย คุณแม่ก็ต้องพลิกแพลงกันดูค่ะ
เรื่องน้ำนม ความกังวลห้ามกันไม่ได้ บางครั้งความกังวลมีมากจริงๆ รู้ว่าอย่ากังวลแต่ทำยังไงล่ะ มันเป็นความรู้สึกนี่นา ไม่รู้จะห้ามมันยังไง ก็นมมันไม่ยอมมาจริงๆ มันน้อยจริงๆ กลัวลูกไม่พอกินจริงๆ ก็นมผงเลยค่ะ เอาไว้ทดแทนนมแม่ แต่ไม่มีอะไรดีเท่านมแม่แล้วจริงๆ เชียร์อัพให้ทำทุกทางอย่างดีที่สุด ก่อนมาลงเอยที่นมผงนะคะ
เรื่องสำคัญอีกอย่าง "ถ้าคุณได้ทำอย่างถึงที่สุดแล้ว" อย่ารู้สึกผิดที่ต้องให้ลูกกินนมผง ฉันอ่านชีวประวัติคนดังระดับโลกหลายคนที่บ้านยากจน ต้องกินนมข้นหวานตอนเป็นเด็กเล็กๆ จะนมแม่ นมกระป๋อง หรือนมข้นหวาน ก็โตมายิ่งใหญ่ได้ไม่แพ้กัน
- ผ้าอ้อม vs แพมเพอรส์
ฉันกับสามีเลี้ยงลูกคนแรกในเดือนแรก ด้วยการใช้ผ้าอ้อมล้วนๆ ไม่ยอมใช้แพมเพอร์สเลย เราซื้อเครื่องซักผ้าไซส์มินิไว้เครื่องนึง มีหน้าที่ซักผ้าอ้อมเด็กอย่างเดียว พอครบเดือนเครื่องซักผ้าก็พัง ไม่รู้ว่าเพราะเครื่องไม่ดีพอ หรือมันทนผ้าอ้อมเราไม่ไหวจริงๆ 😋 แล้วเราก็เปลี่ยนไปใช้แพมเพอรส์เต็ม 100%
เด็กแบเบาะช่วงเดือนแรก่อยมากค่ะ สำหรับตอนกลางวันใช้ผ้าอ้อมบ้างก็ดี ไม่อับชื้น แต่ควรมีแผ่นรองซับฉี่ไว้กันเลอะที่นอนอีกชั้นนะคะ ใช้แพมเพอรส์บ้างเวลาที่เราคาดว่าเค้าน่าจะนอนยาวหน่อย สำหรับกลางคืนแพมเพอรส์อย่างเดียวเลย ช่วยให้เค้านอนยาวขึ้น ไม่ตื่นเพราะฉี่ครั้งเดียว
ผ้าอ้อมนับเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ทีเดียวสำหรับเด็กแบเบาะ หลังๆ ฉันไม่ได้ใช้ผ้าอ้อมทำหน้าที่โดยตรงของมันเลย ส่วนใหญ่ฉันเอาไว้พาดบ่าซับน้ำลายเค้าเวลาอุ้ม บางทีก็เอาไว้ปิดหน้าบังแดด บางทีก็เอาไว้เช็ดอาหารที่เค้าทำเลอะเทอะตัวเอง แต่ด้วยความบางของผ้าอ้อมทำให้มันซักง่ายใช้สะดวกมากกว่าผ้าขนหนู เวลาออกนอกบ้านฉันจะพกผ้าอ้อม 2-3 ผืน กับผ้าขนหนูผืนกลางๆ ผืนนึง สำหรับเด็กอ่อนแล้ว มีเยอะไปดีกว่าไม่มีนะคะ
------------------------------------------------------------------------------------------
จริงๆ การเลี้ยงเด็กมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะ ตอนนี้ฉันนึกออกเท่านี้ค่ะ ถ้านึกอะไรออกอีกจะมาเขียนต่อนะคะ
"ทิปเล็กๆ ดูแลเด็กอ่อน" - จากคุณแม่มือเก่า ถึงคุณแม่มือใหม่
ฉันเปิดเจอหัวข้อข่าวคุณแม่มือใหม่เปิดแอร์จ่อหน้าลูก ทำให้ใบหน้าเป็นอัมพาตไปครึ่งซีก
ฉันอดคิดไม่ได้ว่า เค้าไม่รู้จริงๆ เค้าสะเพร่าจริงๆ เค้าจะเสียใจแค่ไหนนะ แล้วเด็กคนนี้จะเป็นยังไงต่อ ตัวฉันเองมีลูกสองคน ฉันคิดว่าสิ่งที่ฉันพอทำได้คือแบ่งปันความรู้เล็กๆ ในการเลี้ยงเด็กแบบที่ฉันเข้าใจ ให้พ่อๆ แม่ๆ มือใหม่ ได้เตรียมตัวเตรียมใจและเตรียมความพร้อม มันอาจช่วยอะไรไม่ได้มาก ถ้าคุณมีผู้ใหญ่อยู่ในบ้าน และคอยบอกคอยสอนเรื่องการเลี้ยงเด็กกับคุณอยู่แล้ว แต่สำหรับคุณแม่หลายคนที่ต้องเลี้ยงลูกเอง อ่านจากตำราอย่างเดียว ฉันคิดว่าบทความของฉันเรื่องทิปเล็กๆ พวกนี้น่าจะช่วยได้มากค่ะ
------------------------------------------------------------------------------------------
ทิปเล็กๆ ดูแลเด็กอ่อน
จากคุณแม่มือเก่า ถึงคุณแม่มือใหม่
- เด็กต้องการอากาศ "สบาย"
คำว่าความสบายคือ ลมโชยอ่อนๆ ไม่ร้อนไป ไม่เย็นไป อย่าเปิดแอร์ หรือพัดลมจ่อไปทางเด็กเล็กๆ เด็กอ่อนที่เพิ่งออกจากโรงพยาบาลยังหันคอไม่ได้ ถ้าคุณเปิดพัดลมหรือแอร์พัดไปตรงหน้าเค้าตรงๆ มันจะทำให้เค้าอึดอัดมาก ฉันเคยอ่านเจอว่าคุณแม่ท่านนึงเปิดแอร์จ่อทารกไว้ทั้งคืน ทำให้ใบหน้าข้างที่โดนแอร์จ่อ เป็นอัมพาตไปครึ่งซีก
นึกภาพคุณอุ้มทารกออกจากโรงพยาบาลกลับมาบ้าน คุณวางเค้าลงที่เตียง เปิดหน้าต่างให้อากาศบริสุทธิ์เข้ามา และเปิดพัดลมหันไปทางผนังห้อง พัดลมช่วยให้อากาศไหลเวียนไปทั่วห้อง เมื่อคุณรู้สึกว่าร้อนเกินไป คุณเปิดแอร์เบาๆ อุณหภูมิประมาณ 25 คุณเอาผ้าห่อตัวทารกน้อยๆ จัดมุมที่เค้านอนอย่าให้โดนลมแอร์โดยตรง ตอนฉันพาลูกน้อยๆ กลับจากโรงพยาบาล ฉันวางเค้าลงในเตียงเด็ก จุดที่เค้านอนโดนลมแอร์เป่าตรงๆ มันเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ฉันเอามุ้งมาครอบเค้า เอาผ้าอ้อมพาดแปะไปบนมุ้งตรงที่ลมเป่า แค่นี้ก็ได้ความเย็นสบาย แต่ไม่โดนลมแอร์โดยตรง ช่วงที่เค้าตื่น ฉันปิดแอร์ เปิดประตู เปิดหน้าต่าง ให้อากาศภายนอกไหลเวียนมาทดแทนอากาศเก่าในห้อง ลมพัดมาจากทางหน้าต่าง ผ่านออกประตูไป มันช่วยได้มากจริงๆ
- เด็กมีความ "อยากรู้" "อยากเห็น"
เมื่อทารกกลับมาบ้านได้สักสัปดาห์ ทุกวัน... ช่วงเช้าหรือเย็น อุ้มเค้าออกไปเดินนอกบ้านบ้าง อาจจะแค่หน้าบ้านก็ได้ค่ะ ให้เค้าได้สัมผัสที่ต่างไปจากการอยู่ในบ้าน จริงอยู่ที่สายตาของทารกยังพัฒนาไม่เต็มที่ เค้ายังมองเห็นไม่ชัด แต่เชื่อเถอะค่ะว่าเค้าสัมผัสได้ว่านี่ไม่ใช่ในห้องเดิม หรือในบ้าน เหมือนการได้ออกไปเที่ยวนอกบ้านแบบทริปเล็กๆ เค้าอาจจะได้ยินเสียงนกคุยกันหน้าบ้าน เสียงใบไม้ไหว ลมเอื่อยพัดมาโดนแก้มน้อยๆ
สำหรับชีวิตเล็กๆ แค่นี้ก็คือการ "ไปเที่ยว" แล้วค่ะ
- เด็กต้องการให้ "อุ้ม"
เมื่อทารกร้อง อุ้มเค้าเถอะค่ะ มีความเชื่อบางอย่างว่าอย่าอุ้มมาก เดี๋ยวจะติดมือ ก็ไม่ผิดนะคะ แต่การที่เค้าติดแม่ตอนเป็นเด็กๆ มันก็เป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอคะ มันคงดีกว่าให้เค้าติดหมอน หรือผ้าห่ม การที่เค้าติดแม่ หมายถึงเค้าวางใจว่าแม่ดูแลเค้าได้ แม่ทำให้เค้ารู้สึกปลอดภัย เค้ายังเป็นแค่เด็กเล็กๆ วันนึงเมื่อวัยมาถึง เค้าจะอยากผละจากแม่ไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆ เอง ไม่จำเป็นที่เราต้องผลักไสเค้าตั้งแต่ตอนนี้ เด็กทารกวัยแบเบาะต้องการการตอบสนองทันที เค้าเพิ่งออกมาจากท้องอุ่นๆ ของแม่ มีท้องของแม่โอบรอบตัวเค้าตลอดเก้าเดือน เมื่อเค้าออกมาสู่โลกภายนอก เค้ายังไม่คุ้นชิน เค้าอยากได้ความรู้สึก โอบกอด ชิดใกล้ เหมือนสัมผัสตอนอยู่ในท้อง
ตอนลูกแบเบาะของฉันร้อง มีอยู่ครั้งนึง ฉันอุ้มก็แล้ว กอดก็แล้ว เค้าก็ยังร้องอยู่ ชั้นฝากเค้าไว้กับอาม่า แล้วไปห้องน้ำ กลับมาอีกที อาม่าวางเค้าไว้บนหมอนนุ่มๆ อันใหญ่ เอาหมอนอีกสามสี่ใบดันประคองซ้ายขวาบนล่าง เค้าหลับปุ๋ย อมยิ้มนอนสบาย ฉันคิดเอาเองว่าเค้าคงรู้สึกเหมือนได้อยู่ในท้องแม่อีกครั้ง แต่วางเค้ากับหมอนเยอะๆ แบบนี้ต้องระวังเรื่องหมอนปิดหน้าด้วยนะคะ
เมื่อเค้าร้อง นอกเหนือจากมีไข้ไม่สบาย ก็มีแค่ไม่กี่อย่าง เค้าอาจจะหิว เค้ามีลมในท้อง เค้าอยากให้คุณอุ้มเค้าจะได้เรอได้ หรือเค้าอาจจะรู้สึกไม่สบายตัว อยากได้สัมผัสจากแม่
แต่มีคำแนะนำอีกนิดนึง อย่าตาลีตาเหลือกลนลานรีบเข้าไปอุ้มเค้า ซึ่งฉันเองก็เคยเป็นตอนลูกคนแรก เมื่อเค้าอยู่กับคุณมาได้ซักพัก คุณจะตีความเสียงร้องของเค้าถูก บางครั้งมดกัด เสียงร้องของเค้าจะเป็นเสียงร้องแบบที่คุณต้องวิ่งเข้าไปหาทันที เมื่อเค้าหิวนม หรืออยากให้อุ้ม เสียงร้องของเค้าจะต่างออกไป ถ้าเป็นอย่างหลัง คุณค่อยๆ วางงานในมือลง เดินเข้าไปหาเค้า จับตัวเค้า ตบก้นเค้าเบาๆ บางทีเค้าอาจต้องการแค่นี้ แต่ถ้าเค้ายังร้องอยู่ คุณก็เช๊คดูผ้าอ้อมหรือแพมเพอรส์ดูซักหน่อย ถ้าไม่มีอะไรผิดปกติ เค้าอาจอยากให้คุณอุ้มจริงๆ ที่ไม่แนะนำให้ตาลีตาเหลือกอุ้มเค้า เพราะหนึ่ง เค้าต้องเรียนรู้ที่จะรอบ้าง เรียนรู้ที่จะวางใจบ้าง เค้าจะค่อยๆ รู้ว่าร้องแค่นี้ก็พอ เดี๋ยวแม่ก็มาแล้ว และสอง เค้าสัมผัสความลนลานของคุณได้ เค้าอาจจะร้องหนักขึ้นเมื่อคุณอุ้ม เพราะเค้าสัมผัสถึงความตระหนกตกใจที่อยู่ในตัวคุณ อยากแนะนำให้คุณแม่ช่างลนลาน ซึ่งรวมถึงตัวฉันเองด้วย ^_^ ตั้งสติดีๆ เดินเข้าไปหาเค้า สัมผัสเค้า อุ้มเค้า กอดเค้า ด้วยอารมณ์ "มั่นคง" มันช่วยให้เค้านิ่งง่ายขึ้น
- วางใจใน "น้ำนม"
เชื่อเถอะว่าแม่ทุกคนมีน้ำนมพอเลี้ยงลูก นึกถึงว่าตอนนี้คุณอยู่ในยุคที่ยังไม่มีใครคิดค้นขวดนมขึ้นมา สองเต้านี้เท่านั้นที่จะเป็นแหล่งอาหารเลี้ยงดูลูก สำหรับคุณแม่ที่น้ำหนักดี น้ำนมมาทันทีหลังคลอด ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล แต่คุณแม่ตัวเล็กๆ ผอมๆ มักจะกังวลเรื่องนี้กัน ฉันเองก็ด้วย ตัวฉันเองน้ำหนัก 38 ก่อนท้อง และ 52 ตอนคลอด มันน่าเครียดจริงๆ เรื่องน้ำนม สำหรับคนนมน้อยๆ แบบเรา ลูกดูดนมครั้งแรกได้น้ำนมกระจิ๊ดเดียว คำว่ากระจิ๊ดเดียวหมายถึงช้อนชาเดียวเองนะ แค่ครั้งแรกฉันก็แพนิคแล้ว ยิ่งได้อ่านเยอะๆ ว่าคุณแม่คนนั้นปั๊มพ์ได้เท่านี้ คนนี้ปั๊มพ์ได้เท่านั้น มีตัวเลขเป็นออนซ์ มาคุยกัน ฉันนี่แอบเข้ามุมไปเลย น้ำนมฉันมีไม่เยอะ ปกติปั๊มพ์ได้ 3-4 ออนซ์ เคยปั๊มพ์ได้ 5 ออนซ์คือสูงสุดแล้ว ฉันก็อาศัยว่าให้เค้าดูดบ่อยๆ เก่าไปใหม่มา น้ำนมถึงมีน้อย แต่ก็ไม่เคยขาด แต่ลูกต้องอยู่ติดตัวตลอดเวลา บางคืนเค้านอนยาว ไม่กินนมเลย ก็ต้องตื่นมาปั๊มพ์ทิ้งบ้าง เก็บบ้าง บางทีที่ต้องแยกจากลูกไปทำธุระ ก็ต้องเอาที่ปั๊มพ์มือติดไปด้วย บางครั้งลืมเครื่องปั๊มพ์ไว้ที่บ้าน แต่คัดเต้าเหลือเกินก็ต้องเข้าห้องน้ำบีบทิ้งเอา
สำคัญมากคืออย่าปล่อยให้เต้าคัด มันจะเป็นก้อนแข็งอุดตันท่อน้ำนม เอาออกยาก เวลาลูกดูดให้หันด้านที่เป็นก้อนไปทางคางลูก พอช่วยได้ แต่ท่าอาจพิศดารไปหน่อย คุณแม่ก็ต้องพลิกแพลงกันดูค่ะ
เรื่องน้ำนม ความกังวลห้ามกันไม่ได้ บางครั้งความกังวลมีมากจริงๆ รู้ว่าอย่ากังวลแต่ทำยังไงล่ะ มันเป็นความรู้สึกนี่นา ไม่รู้จะห้ามมันยังไง ก็นมมันไม่ยอมมาจริงๆ มันน้อยจริงๆ กลัวลูกไม่พอกินจริงๆ ก็นมผงเลยค่ะ เอาไว้ทดแทนนมแม่ แต่ไม่มีอะไรดีเท่านมแม่แล้วจริงๆ เชียร์อัพให้ทำทุกทางอย่างดีที่สุด ก่อนมาลงเอยที่นมผงนะคะ
เรื่องสำคัญอีกอย่าง "ถ้าคุณได้ทำอย่างถึงที่สุดแล้ว" อย่ารู้สึกผิดที่ต้องให้ลูกกินนมผง ฉันอ่านชีวประวัติคนดังระดับโลกหลายคนที่บ้านยากจน ต้องกินนมข้นหวานตอนเป็นเด็กเล็กๆ จะนมแม่ นมกระป๋อง หรือนมข้นหวาน ก็โตมายิ่งใหญ่ได้ไม่แพ้กัน
- ผ้าอ้อม vs แพมเพอรส์
ฉันกับสามีเลี้ยงลูกคนแรกในเดือนแรก ด้วยการใช้ผ้าอ้อมล้วนๆ ไม่ยอมใช้แพมเพอร์สเลย เราซื้อเครื่องซักผ้าไซส์มินิไว้เครื่องนึง มีหน้าที่ซักผ้าอ้อมเด็กอย่างเดียว พอครบเดือนเครื่องซักผ้าก็พัง ไม่รู้ว่าเพราะเครื่องไม่ดีพอ หรือมันทนผ้าอ้อมเราไม่ไหวจริงๆ 😋 แล้วเราก็เปลี่ยนไปใช้แพมเพอรส์เต็ม 100%
เด็กแบเบาะช่วงเดือนแรก่อยมากค่ะ สำหรับตอนกลางวันใช้ผ้าอ้อมบ้างก็ดี ไม่อับชื้น แต่ควรมีแผ่นรองซับฉี่ไว้กันเลอะที่นอนอีกชั้นนะคะ ใช้แพมเพอรส์บ้างเวลาที่เราคาดว่าเค้าน่าจะนอนยาวหน่อย สำหรับกลางคืนแพมเพอรส์อย่างเดียวเลย ช่วยให้เค้านอนยาวขึ้น ไม่ตื่นเพราะฉี่ครั้งเดียว
ผ้าอ้อมนับเป็นผ้าสารพัดประโยชน์ทีเดียวสำหรับเด็กแบเบาะ หลังๆ ฉันไม่ได้ใช้ผ้าอ้อมทำหน้าที่โดยตรงของมันเลย ส่วนใหญ่ฉันเอาไว้พาดบ่าซับน้ำลายเค้าเวลาอุ้ม บางทีก็เอาไว้ปิดหน้าบังแดด บางทีก็เอาไว้เช็ดอาหารที่เค้าทำเลอะเทอะตัวเอง แต่ด้วยความบางของผ้าอ้อมทำให้มันซักง่ายใช้สะดวกมากกว่าผ้าขนหนู เวลาออกนอกบ้านฉันจะพกผ้าอ้อม 2-3 ผืน กับผ้าขนหนูผืนกลางๆ ผืนนึง สำหรับเด็กอ่อนแล้ว มีเยอะไปดีกว่าไม่มีนะคะ
------------------------------------------------------------------------------------------
จริงๆ การเลี้ยงเด็กมีรายละเอียดปลีกย่อยเยอะ ตอนนี้ฉันนึกออกเท่านี้ค่ะ ถ้านึกอะไรออกอีกจะมาเขียนต่อนะคะ