สู้เพื่อแม่..จากเด็กยากจนสู่เจ้าของแบรนด์คอมพิวเตอร์ระดับพันล้าน “จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000088620
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
10 สิงหาคม 2558 10:45 น. (แก้ไขล่าสุด 10 สิงหาคม 2558 14:02 น.)
ชายหนุ่มวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านี้ แว่บแรกที่เราได้เห็นนั้น เป็นบุคคลที่มีภูมิฐานอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งการแต่งกายที่ดูเรียบร้อยสมกับความเป็นนักธุรกิจที่เป็นอยู่ และ หน้าที่การงานที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะเขาคนนี้เป็นเจ้าของกิจการด้านไอที ที่มีผลประกอบการสูงถึงกว่า 6,000 ล้านบาท จนอาจจะเรียกได้ว่า มีชีวิตที่เพียบพร้อม เป็นที่นับหน้าถือตาทั้งในและนอกสังคม อย่างไม่ต้องสงสัย
สู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ลุยงานมาหลากรูปแบบ ไล่ตั้งแต่รับจ้างปอกมะพร้าว, อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ในสถานะสามเณร, อดีตนักมวยไทยผู้เจนเวทีมากว่า 5 ปี หรือ พนักงานธนาคารฝ่ายสินเชื่อ ซึ่งอาชีพทั้งหมดที่กล่าวมา คืออาชีพที่เขาได้ดำรงตำแหน่งมา ก่อนที่จะมาพบกับสิ่งที่เรียกว่า “คอมพิวเตอร์” ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง
สู้เพื่อแม่..จากเด็กยากจนสู่เจ้าของแบรนด์คอมพิวเตอร์ระดับพันล้าน “จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต
ณ วันนี้ “สมยศ เชาวลิต” หรือ “จิ๊บ J.I.B.” คือชายผู้นั้นที่เรากล่าวถึง เพราะเขาผู้นี้ เป็นเจ้าของกิจการในด้านเทคโนโลยีไอทีนาม บริษัท เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด หรือ J.I.B. Computer Group ผู้ซึ่งผ่านอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ดั่งที่ได้กล่าวไปข้างต้น ด้วยจากการไม่มีอะไรเลย ให้กลายมาเป็น ผู้นำแห่งคอมพิวเตอร์อีกเจ้าหนึ่งของเมืองไทย จนกลายเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง มาจนถึงปัจจุบันนี้
นับเป็นเวลากว่า 14 ปี ของ J.I.B. สมยศ ยังคงเดินหน้าในการดำเนินธุรกิจดังกล่าวต่อไปอย่างมั่นคงและแข็งแรง และ ยังคงต่อสู้ในสถานะ “นักธุรกิจ” ต่อไปเช่นเดิม และนั่นคือบทพิสูจน์ได้ว่า “การประสบความสำเร็จ” คงจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้ายังมีความมุ่งมั่นและความอุตสาหะอย่างเพียงพอ...
ความจน คือเกราะชั้นดี
42 ปีก่อน เด็กชายสมยศ ได้ถือกำเนิดขึ้นที่อำเภอลานสกา นครศรีธรรมราช ในครอบครัวที่ปากกัดตีนถีบ ซึ่งถือเป็นปฐมบทแห่งการเพาะบ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองในสถานะแห่งคนสู้ชีวิต
“ตั้งแต่จำความได้ ก็ต้องทำงานเลย คือแม่ก็ใช้ทำนู่นทำนี่ ตี 4 นี่แม่ปลุกแล้วนะ มาทำงานทำนู่นนี่ บางทีเรายังรู้สึกโกรธแม่มาก แต่ถ้าไม่ตื่นนี่โดนนะ คือแม่เขาเคี่ยวเข็ญมากในตอนนั้น ทำเป็นทุกอย่าง หุงข้าวเอง หาข้าวกินเอง ล้างจานเอง ซักผ้าเอง อะไรอย่างงี้ งานบ้านหลักๆ นี่ ทำเองหมด ตั้งแต่จำความได้ ก็ต้องทำแบบนี้มาตลอด พอโตขึ้นก็ไปช่วยแม่ แม่จะทำรับจ้าง เราก็ติดสอยห้อยตามไปช่วยในด้านต่างๆ”
“พอโตขึ้นมาในระดับที่ใช้กำลังแรงได้แล้ว ก็เริ่มปอกมะพร้าวเลย ด้วยการเอาเหล็กปักพื้นดิน แล้วก็ปอก 100 ลูกได้ 10 บาท วันนึงก็ปอกได้ประมาณ 1000 ลูก ก็ได้ค่าแรง 100 บาท คือสัมผัสอารมณ์แบบนี้ ปอกมะพร้าวกลางสายฝน ไม่ได้หยุดนะ แม่บอกไม่ต้องหยุด ยกเว้นอย่างเดียวตอนเวลามีฟ้าผ่าต้องไปหลบภัย”
ด้วยฐานะของทางบ้านที่อยู่ในสภาพอยู่ไปวันๆ เช่นนี้ ทำให้สมยศมีภารกิจหลักในวัยเด็ก นั่นคือ “การทำงาน” มาอยู่ในพจนานุกรมหลักของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในขณะเดียวกัน ความสนุกสนานของช่วงเวลาวัยเด็ก ก็ปิดประตูแบบสนิทตายไปโดยปริยาย
สู้เพื่อแม่..จากเด็กยากจนสู่เจ้าของแบรนด์คอมพิวเตอร์ระดับพันล้าน “จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต
“ไม่รู้สึกเลย เพราะว่า คือเราเห็นแม่เราทำงานหนัก เราจะรู้สึกสงสารในตอนนั้น สงสารแม่ ทำอะไรก็ได้ที่อยากช่วยเขา เพราะฉะนั้นเราก็จะตัดความสนุกในวัยเด็กออกไป ของเล่นไม่เคยมี ขนมก็ไม่ค่อยกิน คือไม่ถึงกับไม่เคยหรอก แต่มันน้อยมาก คือใช้เท่าที่จำเป็น แล้วก็อยากจะช่วยให้แม่เค้าไม่เหนื่อยมาก อันนี้เป็นตั้งแต่เด็กๆ อีกอย่าง คือถ้าเราทำงานแบบนี้ เราก็โตเกินวัยไปโดยอัตโนมัติ เราก็รู้สึกเลยว่า โตมาก็ทำงานแล้ว มันลำบากแล้ว แต่ไม่ถึงกับอดนะ มันเหนื่อย รู้สึกว่าต้องทำงานตลอด”
“ทำงานปอกมะพร้าวไปได้ประมาณนึง พอโตขึ้นมาหน่อย แม่ก็ซื้อรถไถ เมื่อก่อนมันเป็นเดินตาม ล้อเป็นเหล็กน่ะ เป็นคูโบต้า สตาร์ทแล้วกดคลัช จำได้รอบก็เสียงดังเลย ทำตรงนั้นด้วย ตอนนั้นทำรับจ้าง แม่ก็ซื้อรถมาแล้ว มารับจ้างถอย คือเวลาไถนา พอฝนตกหรืออะไรก็ต้องทำ ต้องแบบทั้งฝน นั่นก็หนักมากอีกอย่างนึง คือหนักขึ้นตามแรงที่เรามี ตอนเด็กๆ งานหนักทำมาหมด ทำทุกอย่าง เลยไม่กลัวความลำบาก”
หนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้สมยศ มีภูมิต้านทานทางร่างกายและจิตใจมาตั้งแต่เด็กๆ นั่น คือ การแยกทางของพ่อและแม่ในระหว่างที่เขาเรียนระดับชั้นประถมศึกษา จนในที่สุด มารดาของสมยศต้องรับหน้าที่เป็นกำลังหลักของครอบครัว บวกกับการเป็นลูกชายคนโตของบ้านด้วยแล้ว ทำให้เขาต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างให้มากกว่าเดิม ด้วยเหตุผลเดียว “เพื่อคนในครอบครัว” เท่านั้น
“พ่อกับแม่ เขาเลิกกันตั้งแต่ผมอยู่ ป.3-ป.4 เวลาทำอะไร เราก็รู้สึกสงสารแม่ คือพ่อก็ค่อนข้างมีตังค์นะ แต่พอเลิกกันปุ๊บ ก็ไม่เหลืออะไร เลี้ยงลูกทั้งหมด 4 คน มันก็ทำให้แบบ ทำไมพ่อไม่ช่วยเลย เราก็เลยช่วยแม่เต็มที่ เพราะผมสงสารแม่มากกว่า แรงบันดาลใจทั้งหมด มาจากตรงนั้น เพราะว่า เราอยากให้เขาสบาย คือทำอะไรก็ได้ แต่อยากให้เขาสบายแค่นั้น”
ในเวลาต่อมา เมื่อเขาได้ช่วยทางบ้านทำงานมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว สมยศก็ได้เดินทางเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ด้วยการบวชเป็นสามเณร เป็นเวลากว่า 2 ปี โดยเริ่มมาจากการบวชภาคฤดูร้อน ซึ่งเลยความตั้งใจ ที่จะบวชเพียงแค่ 7 วัน เท่านั้น โดยการบวชดังกล่าว ก็ได้สร้างประสบการณ์ทางธรรมะให้กับเขาได้พอสมควร
“พอเราเรียนจบ ป.6 มันก็จะมีแบบ บวชภาคฤดูร้อน ผมชอบ เพราะ เห็นเพื่อนๆ บวช ก็อยากจะบวชบ้าง เนื่องจากมันบวชแค่ 7 วันเอง ทีนี้พอบวชเรียบร้อย บังเอิญเจอหลวงตาที่เป็นตาแท้ๆ ของเรา ท่านก็บวชเป็นเวลานาน แล้วท่านก็เห็นผมบวชพอดี เลยชวนมาอยู่ที่กรุงเทพฯ จำวัดที่วัดหงส์รัตนาราม ตรงบริเวณบางกอกใหญ่ ก็ไม่ต้องเรียนหนังสือแล้ว บวชยาวเลย 2 ปี แต่ตอนบวชก็ได้อะไรเยอะมากนะ เพราะว่า เราได้เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท ได้เปรียญ 1 และ 2 ประโยค คือเรียนแล้วก็ชอบมากเลย อยู่ในหลักธรรมะเลย ได้ท่อง ได้เรียน มันสงบ ได้นั่งสมาธิ ซึ่งวัดที่นี่ค่อนข้างเคร่งนะ ไม่ได้เหมือนวัดอื่นที่มีเณรเตะบอลอะไรกัน แต่ที่นี่จะเคร่งมาก พระต้องอยู่ในวินัย ท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าคุณ จริงจังมากกับเรื่องพวกนี้ ในการประชุมแต่ละครั้ง เขาจะบอกบ่อยเลยว่า พระและเณรที่นี่จะต้องสำรวม ห้ามไปเดินห้างเด็ดขาด และก็ในส่วนการเรียน ก็ห้ามเรียนทางโลกด้วยนะ ทางโลก หมายถึง บางคนบวชพระ แต่ยังเรียน ม.1-2-3 ได้ แต่วัดนี้ ไม่ให้เรียน ถ้าคุณจะบวชพระ คุณต้องเรียนทางธรรมะเท่านั้น”
การบวชเรียนของสามเณรสมยศ ได้สร้างความสุขทางใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก จนทำให้มีความคิดที่ว่าถ้าได้เป็นสามเณรนักเทศน์แล้วจะมีความเท่ และมีความมุ่งมั่นพอที่จะทำตามที่คิด แต่ในที่สุดสามเณรสมยศก็ต้องลาสิกขาออกมา เพียงเพราะคำสอนของพระพยอมทางวิทยุในวันนั้น...
“ทีนี้ตอนที่บวช เราก็อยากจะเป็นนักเทศน์ รู้สึกว่าสามเณรที่บวชไม่นานแล้วเทศน์ได้ รู้สึกเท่ อยากจะเทศน์ได้บ้าง ก็เลยฟังเทศน์บ่อย แล้วมีช่วงหนึ่ง ได้ฟังพระพยอมเทศน์ทางวิทยุ ท่านบอกเลยว่า บางคนมาบวช แต่พ่อแม่ยังลำบากอยู่เลย ตัวเองมาอยู่ในศาสนาแล้วบวชเนี่ย จริงๆ ถ้าเราไปช่วยพ่อแม่น่าจะได้บุญกว่าบวชอีก พอเราได้ฟังแล้ว ก็คิดเลยว่า จะต้องออกไปช่วยแม่ ก็เลยลาสิกขาออกมา และก็กลับบ้านไปช่วยแม่ทำงาน”
สู้เพื่อแม่..จากเด็กยากจนสู่เจ้าของแบรนด์คอมพิวเตอร์ระดับพันล้าน “จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต
ถึงแม้ว่าจะลาสิกขามาช่วยงานที่บ้านดั่งที่ตั้งใจแล้ว แต่ด้วยวัยที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น สมยศได้เล็งเห็นถึงการศึกษาของตัวเอง เนื่องจากในช่วงที่บวชเรียนอยู่นั้น ตัวเขาแทบไม่ได้ศึกษาอย่างเช่นคนอื่นเลย และนั่นจึงทำให้เขาได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ นั่นคือ “การหนีออกจากบ้านเพื่อการเรียนของตัวเอง”
“ช่วงที่ช่วยแม่หนึ่งปี ผมเรียนจบแค่ ป.6 แล้วบวชเณร 2 ปี พอสึกออกมา ก็เท่ากับเด็ก ม.3 นะ ผมก็เรียน กศน. 1 ปี แล้วจบมัธยมต้น แถมยังจบมาแบบไม่ค่อยรู้เรื่องอีก ประกอบกับช่วงเป็นช่วงที่คาบเกี่ยวตรงที่ เราเรียนจบแล้วอยากเรียนต่อ แต่แม่อยากให้ทำงาน ก็จะมีปัญหากันนิดหน่อย เนื่องจากตอนนั้นเราเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว แต่แม่ก็อยากช่วยงานที่บ้าน เพราะเริ่มมีงานรับจ้างเข้ามาให้ทำนั่นนี่ เพราะแม่มีหัวคิดทางการค้า สุดท้าย เราก็เลยหนีออกจากบ้าน นั่งรถไฟขึ้นกรุงเทพฯแบบลุยเดี่ยวเลย ตอนนั้นนั่งรถไฟสนุกมาก 18 ชั่วโมง ออกที่นั่นบ่ายๆ ถึงนี่เช้าอีกวันหนึ่ง”
• คือหนีออกจากบ้านมา แล้วไม่ได้บอกกับใครเลย
ไม่ได้บอก แต่แม่ก็รู้ว่ามันก็มีอยู่ที่เดียว คือที่วัดที่หลวงตาท่านอยู่นั่นแหละ เอาวุฒิเดิมมาด้วย ก็เลยมาเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนอนันต์ แต่แม่ก็ไม่ได้ส่งเงินมานะ ซึ่งพอผ่านไป 1 ปี แม่ก็ส่งเงินมา ตอนนั้นยังส่งแบบธนาณัติอยู่เลยก็ต้องเอาจดหมายธนาณัติไปรับที่ไปรษณีย์แลกเป็นเงิน แต่ก็ไม่ได้อะไรเยอะหรอก ส่งมาเดือนหนึ่งก็ 300 บาท หรือ 500 บาท ก็ใช้ไม่พอหรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้
• ปัจจัยหนึ่งที่อยากเรียนต่อ คือ เล็งเห็นอนาคตแล้วว่าไม่รุ่ง
เรามองว่า การทำงานแบบนี้ โอกาสรวยมันยากมาก เนื่องจาก การเป็นกรรมการมันเป็นความเสี่ยง ถ้าวันไหนเราป่วยก็อาจจะไม่ได้เงิน คือไม่ใช่ดูถูกนะ แต่ถ้าแบบวันไหนเราเหนื่อยหรือป่วย ก็จะไม่ได้เงินนะ มันไม่เหมือนเวลาเราทำงานประจำ ทำเป็นลูกจ้างเป็นรายเดือน คือป่วยแล้วลาได้อะไรได้ ซึ่งจุดนี้ เลยตัดสินใจที่ขอแม่มาเรียนต่อ
สู้เพื่อแม่..จากเด็กยากจนสู่เจ้าของแบรนด์คอมพิวเตอร์ระดับพันล้าน “จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต
“คอมพิวเตอร์” เปลี่ยนชีวิต
เมื่อเดินทางมาศึกษาต่อในระดับมัธยมปลาย ที่กรุงเทพฯ ก็ใช่ว่าราบเรียบง่ายนัก อาจจะเป็นเพราะถูกร่างกายอยู่บ่อยครั้ง สมยศจึงหาทางปกป้องตนเองเพื่อไม่ให้ถูกรังแก นั่นคือการเป็นนักมวยไทย
“ตอนนั้นเป็นช่วงอยู่วัด เด็กที่อยู่ข้างวัดที่เราอยู่ เป็นพวกดมกาว กวนตีน ชอบหาเรื่อง มันอาจจะมองว่า ผมหน้าตาดีก็ได้มั้งในตอนนั้นนะ (หัวเราะ) หมั่นไส้ หาว่าไปมองหน้าบ้าง กวนตีนบ้าง แล้วเราจะโดนประจำเลย ในวัดมีสนามบอลเล็กๆ ผมก็ไปยืนดูเขาแข่งฟุตบอลกัน ขอเล่นด้วยมันไม่ให้เล่น เราก็กลับ มันก็หาว่ากวนตีนมันอีก ก็มารุมผม เราไม่มีความรู้การต่อสู้เลยก็รู้สึกเลยว่า ไม่ไหวว่ะ โดนอย่างงี้บ่อยๆ โดนไม้ไล่บ้างอะไรบ้าง มาตี แล้วทีนี้กลุ่มนักเลงรอบวัด มันมี 2-3 กลุ่ม แล้วเราก็จะเจอ ไม่กลุ่มใดก็กลุ่มหนึ่ง อยู่เสมอ แต่เราต้องเดินอยู่แถวนั้น เพราะว่าไปเรียน ตอนกลับต้องระวังมากเลย ใครอยู่ตรงไหนอะไร คอยวิ่งตลอดเวลา ทีนี้พอเริ่มแบบนี้ชักไม่ปลอดภัยแล้ว ประกอบกับในวัดจะเพื่อนเด็กวัดที่เป็นนักมวยอยู่ 2-3 คน ที่เขาไปซ้อมมวยแล้วชกไปด้วย วันนึง เพื่อนมันก็ชวนผมไปดูที่ค่าย ว่าซ้อมกันยังไง ผมก็ไปดู และก็ไปดูอยู่หลายวันเลย”
“จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต จากเด็กยากจนสู่เจ้าของแบรนด์คอมพิวเตอร์ระดับพันล้าน
http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9580000088620
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
10 สิงหาคม 2558 10:45 น. (แก้ไขล่าสุด 10 สิงหาคม 2558 14:02 น.)
ชายหนุ่มวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้านี้ แว่บแรกที่เราได้เห็นนั้น เป็นบุคคลที่มีภูมิฐานอย่างสมบูรณ์แบบ ทั้งการแต่งกายที่ดูเรียบร้อยสมกับความเป็นนักธุรกิจที่เป็นอยู่ และ หน้าที่การงานที่ถือได้ว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะเขาคนนี้เป็นเจ้าของกิจการด้านไอที ที่มีผลประกอบการสูงถึงกว่า 6,000 ล้านบาท จนอาจจะเรียกได้ว่า มีชีวิตที่เพียบพร้อม เป็นที่นับหน้าถือตาทั้งในและนอกสังคม อย่างไม่ต้องสงสัย
สู้ชีวิตมาตั้งแต่เด็ก ลุยงานมาหลากรูปแบบ ไล่ตั้งแต่รับจ้างปอกมะพร้าว, อยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ในสถานะสามเณร, อดีตนักมวยไทยผู้เจนเวทีมากว่า 5 ปี หรือ พนักงานธนาคารฝ่ายสินเชื่อ ซึ่งอาชีพทั้งหมดที่กล่าวมา คืออาชีพที่เขาได้ดำรงตำแหน่งมา ก่อนที่จะมาพบกับสิ่งที่เรียกว่า “คอมพิวเตอร์” ซึ่งเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขาอย่างสิ้นเชิง
สู้เพื่อแม่..จากเด็กยากจนสู่เจ้าของแบรนด์คอมพิวเตอร์ระดับพันล้าน “จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต
ณ วันนี้ “สมยศ เชาวลิต” หรือ “จิ๊บ J.I.B.” คือชายผู้นั้นที่เรากล่าวถึง เพราะเขาผู้นี้ เป็นเจ้าของกิจการในด้านเทคโนโลยีไอทีนาม บริษัท เจ.ไอ.บี. คอมพิวเตอร์ กรุ๊ป จำกัด หรือ J.I.B. Computer Group ผู้ซึ่งผ่านอุปสรรคขวากหนามต่างๆ ดั่งที่ได้กล่าวไปข้างต้น ด้วยจากการไม่มีอะไรเลย ให้กลายมาเป็น ผู้นำแห่งคอมพิวเตอร์อีกเจ้าหนึ่งของเมืองไทย จนกลายเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง มาจนถึงปัจจุบันนี้
นับเป็นเวลากว่า 14 ปี ของ J.I.B. สมยศ ยังคงเดินหน้าในการดำเนินธุรกิจดังกล่าวต่อไปอย่างมั่นคงและแข็งแรง และ ยังคงต่อสู้ในสถานะ “นักธุรกิจ” ต่อไปเช่นเดิม และนั่นคือบทพิสูจน์ได้ว่า “การประสบความสำเร็จ” คงจะอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม ถ้ายังมีความมุ่งมั่นและความอุตสาหะอย่างเพียงพอ...
ความจน คือเกราะชั้นดี
42 ปีก่อน เด็กชายสมยศ ได้ถือกำเนิดขึ้นที่อำเภอลานสกา นครศรีธรรมราช ในครอบครัวที่ปากกัดตีนถีบ ซึ่งถือเป็นปฐมบทแห่งการเพาะบ่มความแข็งแกร่งให้แก่ตนเองในสถานะแห่งคนสู้ชีวิต
“ตั้งแต่จำความได้ ก็ต้องทำงานเลย คือแม่ก็ใช้ทำนู่นทำนี่ ตี 4 นี่แม่ปลุกแล้วนะ มาทำงานทำนู่นนี่ บางทีเรายังรู้สึกโกรธแม่มาก แต่ถ้าไม่ตื่นนี่โดนนะ คือแม่เขาเคี่ยวเข็ญมากในตอนนั้น ทำเป็นทุกอย่าง หุงข้าวเอง หาข้าวกินเอง ล้างจานเอง ซักผ้าเอง อะไรอย่างงี้ งานบ้านหลักๆ นี่ ทำเองหมด ตั้งแต่จำความได้ ก็ต้องทำแบบนี้มาตลอด พอโตขึ้นก็ไปช่วยแม่ แม่จะทำรับจ้าง เราก็ติดสอยห้อยตามไปช่วยในด้านต่างๆ”
“พอโตขึ้นมาในระดับที่ใช้กำลังแรงได้แล้ว ก็เริ่มปอกมะพร้าวเลย ด้วยการเอาเหล็กปักพื้นดิน แล้วก็ปอก 100 ลูกได้ 10 บาท วันนึงก็ปอกได้ประมาณ 1000 ลูก ก็ได้ค่าแรง 100 บาท คือสัมผัสอารมณ์แบบนี้ ปอกมะพร้าวกลางสายฝน ไม่ได้หยุดนะ แม่บอกไม่ต้องหยุด ยกเว้นอย่างเดียวตอนเวลามีฟ้าผ่าต้องไปหลบภัย”
ด้วยฐานะของทางบ้านที่อยู่ในสภาพอยู่ไปวันๆ เช่นนี้ ทำให้สมยศมีภารกิจหลักในวัยเด็ก นั่นคือ “การทำงาน” มาอยู่ในพจนานุกรมหลักของเขาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในขณะเดียวกัน ความสนุกสนานของช่วงเวลาวัยเด็ก ก็ปิดประตูแบบสนิทตายไปโดยปริยาย
สู้เพื่อแม่..จากเด็กยากจนสู่เจ้าของแบรนด์คอมพิวเตอร์ระดับพันล้าน “จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต
“ไม่รู้สึกเลย เพราะว่า คือเราเห็นแม่เราทำงานหนัก เราจะรู้สึกสงสารในตอนนั้น สงสารแม่ ทำอะไรก็ได้ที่อยากช่วยเขา เพราะฉะนั้นเราก็จะตัดความสนุกในวัยเด็กออกไป ของเล่นไม่เคยมี ขนมก็ไม่ค่อยกิน คือไม่ถึงกับไม่เคยหรอก แต่มันน้อยมาก คือใช้เท่าที่จำเป็น แล้วก็อยากจะช่วยให้แม่เค้าไม่เหนื่อยมาก อันนี้เป็นตั้งแต่เด็กๆ อีกอย่าง คือถ้าเราทำงานแบบนี้ เราก็โตเกินวัยไปโดยอัตโนมัติ เราก็รู้สึกเลยว่า โตมาก็ทำงานแล้ว มันลำบากแล้ว แต่ไม่ถึงกับอดนะ มันเหนื่อย รู้สึกว่าต้องทำงานตลอด”
“ทำงานปอกมะพร้าวไปได้ประมาณนึง พอโตขึ้นมาหน่อย แม่ก็ซื้อรถไถ เมื่อก่อนมันเป็นเดินตาม ล้อเป็นเหล็กน่ะ เป็นคูโบต้า สตาร์ทแล้วกดคลัช จำได้รอบก็เสียงดังเลย ทำตรงนั้นด้วย ตอนนั้นทำรับจ้าง แม่ก็ซื้อรถมาแล้ว มารับจ้างถอย คือเวลาไถนา พอฝนตกหรืออะไรก็ต้องทำ ต้องแบบทั้งฝน นั่นก็หนักมากอีกอย่างนึง คือหนักขึ้นตามแรงที่เรามี ตอนเด็กๆ งานหนักทำมาหมด ทำทุกอย่าง เลยไม่กลัวความลำบาก”
หนึ่งปัจจัยสำคัญ ที่ทำให้สมยศ มีภูมิต้านทานทางร่างกายและจิตใจมาตั้งแต่เด็กๆ นั่น คือ การแยกทางของพ่อและแม่ในระหว่างที่เขาเรียนระดับชั้นประถมศึกษา จนในที่สุด มารดาของสมยศต้องรับหน้าที่เป็นกำลังหลักของครอบครัว บวกกับการเป็นลูกชายคนโตของบ้านด้วยแล้ว ทำให้เขาต้องทำทุกสิ่งทุกอย่างให้มากกว่าเดิม ด้วยเหตุผลเดียว “เพื่อคนในครอบครัว” เท่านั้น
“พ่อกับแม่ เขาเลิกกันตั้งแต่ผมอยู่ ป.3-ป.4 เวลาทำอะไร เราก็รู้สึกสงสารแม่ คือพ่อก็ค่อนข้างมีตังค์นะ แต่พอเลิกกันปุ๊บ ก็ไม่เหลืออะไร เลี้ยงลูกทั้งหมด 4 คน มันก็ทำให้แบบ ทำไมพ่อไม่ช่วยเลย เราก็เลยช่วยแม่เต็มที่ เพราะผมสงสารแม่มากกว่า แรงบันดาลใจทั้งหมด มาจากตรงนั้น เพราะว่า เราอยากให้เขาสบาย คือทำอะไรก็ได้ แต่อยากให้เขาสบายแค่นั้น”
ในเวลาต่อมา เมื่อเขาได้ช่วยทางบ้านทำงานมาเป็นเวลาพอสมควรแล้ว สมยศก็ได้เดินทางเข้าสู่ร่มกาสาวพักตร์ด้วยการบวชเป็นสามเณร เป็นเวลากว่า 2 ปี โดยเริ่มมาจากการบวชภาคฤดูร้อน ซึ่งเลยความตั้งใจ ที่จะบวชเพียงแค่ 7 วัน เท่านั้น โดยการบวชดังกล่าว ก็ได้สร้างประสบการณ์ทางธรรมะให้กับเขาได้พอสมควร
“พอเราเรียนจบ ป.6 มันก็จะมีแบบ บวชภาคฤดูร้อน ผมชอบ เพราะ เห็นเพื่อนๆ บวช ก็อยากจะบวชบ้าง เนื่องจากมันบวชแค่ 7 วันเอง ทีนี้พอบวชเรียบร้อย บังเอิญเจอหลวงตาที่เป็นตาแท้ๆ ของเรา ท่านก็บวชเป็นเวลานาน แล้วท่านก็เห็นผมบวชพอดี เลยชวนมาอยู่ที่กรุงเทพฯ จำวัดที่วัดหงส์รัตนาราม ตรงบริเวณบางกอกใหญ่ ก็ไม่ต้องเรียนหนังสือแล้ว บวชยาวเลย 2 ปี แต่ตอนบวชก็ได้อะไรเยอะมากนะ เพราะว่า เราได้เรียนนักธรรมตรี นักธรรมโท ได้เปรียญ 1 และ 2 ประโยค คือเรียนแล้วก็ชอบมากเลย อยู่ในหลักธรรมะเลย ได้ท่อง ได้เรียน มันสงบ ได้นั่งสมาธิ ซึ่งวัดที่นี่ค่อนข้างเคร่งนะ ไม่ได้เหมือนวัดอื่นที่มีเณรเตะบอลอะไรกัน แต่ที่นี่จะเคร่งมาก พระต้องอยู่ในวินัย ท่านเจ้าอาวาส ท่านเจ้าคุณ จริงจังมากกับเรื่องพวกนี้ ในการประชุมแต่ละครั้ง เขาจะบอกบ่อยเลยว่า พระและเณรที่นี่จะต้องสำรวม ห้ามไปเดินห้างเด็ดขาด และก็ในส่วนการเรียน ก็ห้ามเรียนทางโลกด้วยนะ ทางโลก หมายถึง บางคนบวชพระ แต่ยังเรียน ม.1-2-3 ได้ แต่วัดนี้ ไม่ให้เรียน ถ้าคุณจะบวชพระ คุณต้องเรียนทางธรรมะเท่านั้น”
การบวชเรียนของสามเณรสมยศ ได้สร้างความสุขทางใจให้กับเขาเป็นอย่างมาก จนทำให้มีความคิดที่ว่าถ้าได้เป็นสามเณรนักเทศน์แล้วจะมีความเท่ และมีความมุ่งมั่นพอที่จะทำตามที่คิด แต่ในที่สุดสามเณรสมยศก็ต้องลาสิกขาออกมา เพียงเพราะคำสอนของพระพยอมทางวิทยุในวันนั้น...
“ทีนี้ตอนที่บวช เราก็อยากจะเป็นนักเทศน์ รู้สึกว่าสามเณรที่บวชไม่นานแล้วเทศน์ได้ รู้สึกเท่ อยากจะเทศน์ได้บ้าง ก็เลยฟังเทศน์บ่อย แล้วมีช่วงหนึ่ง ได้ฟังพระพยอมเทศน์ทางวิทยุ ท่านบอกเลยว่า บางคนมาบวช แต่พ่อแม่ยังลำบากอยู่เลย ตัวเองมาอยู่ในศาสนาแล้วบวชเนี่ย จริงๆ ถ้าเราไปช่วยพ่อแม่น่าจะได้บุญกว่าบวชอีก พอเราได้ฟังแล้ว ก็คิดเลยว่า จะต้องออกไปช่วยแม่ ก็เลยลาสิกขาออกมา และก็กลับบ้านไปช่วยแม่ทำงาน”
สู้เพื่อแม่..จากเด็กยากจนสู่เจ้าของแบรนด์คอมพิวเตอร์ระดับพันล้าน “จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต
ถึงแม้ว่าจะลาสิกขามาช่วยงานที่บ้านดั่งที่ตั้งใจแล้ว แต่ด้วยวัยที่เข้าสู่ช่วงวัยรุ่น สมยศได้เล็งเห็นถึงการศึกษาของตัวเอง เนื่องจากในช่วงที่บวชเรียนอยู่นั้น ตัวเขาแทบไม่ได้ศึกษาอย่างเช่นคนอื่นเลย และนั่นจึงทำให้เขาได้ตัดสินใจครั้งสำคัญ นั่นคือ “การหนีออกจากบ้านเพื่อการเรียนของตัวเอง”
“ช่วงที่ช่วยแม่หนึ่งปี ผมเรียนจบแค่ ป.6 แล้วบวชเณร 2 ปี พอสึกออกมา ก็เท่ากับเด็ก ม.3 นะ ผมก็เรียน กศน. 1 ปี แล้วจบมัธยมต้น แถมยังจบมาแบบไม่ค่อยรู้เรื่องอีก ประกอบกับช่วงเป็นช่วงที่คาบเกี่ยวตรงที่ เราเรียนจบแล้วอยากเรียนต่อ แต่แม่อยากให้ทำงาน ก็จะมีปัญหากันนิดหน่อย เนื่องจากตอนนั้นเราเริ่มเข้าสู่วัยรุ่นแล้ว แต่แม่ก็อยากช่วยงานที่บ้าน เพราะเริ่มมีงานรับจ้างเข้ามาให้ทำนั่นนี่ เพราะแม่มีหัวคิดทางการค้า สุดท้าย เราก็เลยหนีออกจากบ้าน นั่งรถไฟขึ้นกรุงเทพฯแบบลุยเดี่ยวเลย ตอนนั้นนั่งรถไฟสนุกมาก 18 ชั่วโมง ออกที่นั่นบ่ายๆ ถึงนี่เช้าอีกวันหนึ่ง”
• คือหนีออกจากบ้านมา แล้วไม่ได้บอกกับใครเลย
ไม่ได้บอก แต่แม่ก็รู้ว่ามันก็มีอยู่ที่เดียว คือที่วัดที่หลวงตาท่านอยู่นั่นแหละ เอาวุฒิเดิมมาด้วย ก็เลยมาเรียนมัธยมปลายที่โรงเรียนสวนอนันต์ แต่แม่ก็ไม่ได้ส่งเงินมานะ ซึ่งพอผ่านไป 1 ปี แม่ก็ส่งเงินมา ตอนนั้นยังส่งแบบธนาณัติอยู่เลยก็ต้องเอาจดหมายธนาณัติไปรับที่ไปรษณีย์แลกเป็นเงิน แต่ก็ไม่ได้อะไรเยอะหรอก ส่งมาเดือนหนึ่งก็ 300 บาท หรือ 500 บาท ก็ใช้ไม่พอหรอก แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้
• ปัจจัยหนึ่งที่อยากเรียนต่อ คือ เล็งเห็นอนาคตแล้วว่าไม่รุ่ง
เรามองว่า การทำงานแบบนี้ โอกาสรวยมันยากมาก เนื่องจาก การเป็นกรรมการมันเป็นความเสี่ยง ถ้าวันไหนเราป่วยก็อาจจะไม่ได้เงิน คือไม่ใช่ดูถูกนะ แต่ถ้าแบบวันไหนเราเหนื่อยหรือป่วย ก็จะไม่ได้เงินนะ มันไม่เหมือนเวลาเราทำงานประจำ ทำเป็นลูกจ้างเป็นรายเดือน คือป่วยแล้วลาได้อะไรได้ ซึ่งจุดนี้ เลยตัดสินใจที่ขอแม่มาเรียนต่อ
สู้เพื่อแม่..จากเด็กยากจนสู่เจ้าของแบรนด์คอมพิวเตอร์ระดับพันล้าน “จิ๊บ J.I.B.” สมยศ เชาวลิต
“คอมพิวเตอร์” เปลี่ยนชีวิต
เมื่อเดินทางมาศึกษาต่อในระดับมัธยมปลาย ที่กรุงเทพฯ ก็ใช่ว่าราบเรียบง่ายนัก อาจจะเป็นเพราะถูกร่างกายอยู่บ่อยครั้ง สมยศจึงหาทางปกป้องตนเองเพื่อไม่ให้ถูกรังแก นั่นคือการเป็นนักมวยไทย
“ตอนนั้นเป็นช่วงอยู่วัด เด็กที่อยู่ข้างวัดที่เราอยู่ เป็นพวกดมกาว กวนตีน ชอบหาเรื่อง มันอาจจะมองว่า ผมหน้าตาดีก็ได้มั้งในตอนนั้นนะ (หัวเราะ) หมั่นไส้ หาว่าไปมองหน้าบ้าง กวนตีนบ้าง แล้วเราจะโดนประจำเลย ในวัดมีสนามบอลเล็กๆ ผมก็ไปยืนดูเขาแข่งฟุตบอลกัน ขอเล่นด้วยมันไม่ให้เล่น เราก็กลับ มันก็หาว่ากวนตีนมันอีก ก็มารุมผม เราไม่มีความรู้การต่อสู้เลยก็รู้สึกเลยว่า ไม่ไหวว่ะ โดนอย่างงี้บ่อยๆ โดนไม้ไล่บ้างอะไรบ้าง มาตี แล้วทีนี้กลุ่มนักเลงรอบวัด มันมี 2-3 กลุ่ม แล้วเราก็จะเจอ ไม่กลุ่มใดก็กลุ่มหนึ่ง อยู่เสมอ แต่เราต้องเดินอยู่แถวนั้น เพราะว่าไปเรียน ตอนกลับต้องระวังมากเลย ใครอยู่ตรงไหนอะไร คอยวิ่งตลอดเวลา ทีนี้พอเริ่มแบบนี้ชักไม่ปลอดภัยแล้ว ประกอบกับในวัดจะเพื่อนเด็กวัดที่เป็นนักมวยอยู่ 2-3 คน ที่เขาไปซ้อมมวยแล้วชกไปด้วย วันนึง เพื่อนมันก็ชวนผมไปดูที่ค่าย ว่าซ้อมกันยังไง ผมก็ไปดู และก็ไปดูอยู่หลายวันเลย”