อีกมุมมอง ของ Fantastic 4

กระทู้คำถาม
มีคนรีวิว Fantastic 4 ไว้ น่าสนใจมาก ในอีกมุมนึง มาให้อ่านคับ

Fantastic Four ของปี 2015 คือการรีบูทใหม่ของหัวการ์ตูนชื่อเดียวกันของ Marvel Comics แต่ตัวหนังสร้างโดย 20th Fox เป็นการรีบูทครั้งที่สองแล้ว... (ถ้านับเวอร์ชั่นแรกของปี 1994 ด้วยนะ)

และ FF ของ 2015 “มันแย่” อย่างที่เขาร่ำลือจริงๆ

ผมให้ 4.5/10 แบบไม่ลังเล

แต่!
แต่!
โดยรวมแล้วผมไม่ได้เกลียดหนังเรื่องนี้!

ฉะนั้นมันคงจะท้าทายกว่าถ้าผมจะลองขุดด้านที่ชอบในหนังเรื่องนี้ออกมาพูดกัน แทนที่จะด่าเพียงอย่างเดียว!

จริงๆกลับคิดว่ามันมีจุดที่น่าสนใจหลายอย่างมาก ได้ยินข่าวลือว่า FF 2015 มีปัญหาเรื่องความคิดสร้างสรรค์ระหว่างผู้กำกับกับสตูดิโอไม่ตรงกัน เลยมีการถ่ายทำซ่อมหลายอย่าง มีหลายส่วนที่เทคนิค CG ยังไม่เสร็จ มันเลยถูกตัดออกไปจนหนังเหลือเพียงแค่ 100 นาทีซึ่งถือว่าสั้นมากสำหรับหนังที่มีตัวละครหลักถึง 5 ตัว (รวมตัวร้ายด้วย)  

แต่เราลองมาดูกันว่าผมชอบอะไรใน FF 2015 กันบ้าง

1. ผมชอบอารมณ์สยองขวัญในหนังฮีโร่!

ผมชอบอ่านคอมมิคอเมริกา ผมไม่ได้อ่าน Fantastic Four แต่ผมชอบที่ในคอมมิคอเมริกา ฮีโร่แต่ละตัวจะมีโทนในแบบของตัวเอง เป็นแนวขำขัน, แนวดราม่า, แนวผจญภัยอวกาศ, แนวสายลับ, แนวสยองขวัญ ฯลฯ
ฉะนั้นถ้า FF 2015 จะเป็นโทนสยองขวัญ ผมก็หาติดใจแต่อย่างใดไม่!
ผมสนใจมากถึงมากที่สุด!

ผมชอบตอนที่พวกตัวเอกของเรื่องตัดสินใจไปสำรวจดาวที่อยู่อีกมิติโดยพละการ ไม่ขออนุญาตใครก่อน

ผมชอบตอนที่การสำรวจกลายเป็นวินาทีสุดสยองขวัญ ดร.ดูมตกลงไปในบ่อพลังงานสีเขียวของดาวนั่น, เบน กริมม์ถูกหินซัดเข้าใส่, จอห์นนี่ สตอร์มถูกไฟครอกย่างสด อารมณ์ตอนนั้นยิ้มสุดยอด!

กำลังจะหลับอยู่ดีๆ ตื่นเลย!

หลังจากอุบัติเหตุคราวนั้น ทุกคนถูกเอากลับมายังโลกแล้วก็ถูกจับทดลอง รี้ด ริชาร์ดถูกจับขึงผืดในสภาพมนุษย์ยางยืด, เบน กริมม์ติดอยู่ในสภาพกลายเป็นหิน ได้แต่ร้องโอดครวญ ขยับตัวไปไหนไม่ได้, ซูซาน สตอร์มนอนสลบในสภาพล่องหน, จอห์นนี่ สตอร์มทุกข์ทรมานกับการถูกไฟคลอกชนิดไม่ยอมดับ
ยิ้มโคตรได้อารมณ์เลย!
แต่หลังจากนั้นเหรอครับ?
ก็ “1 ปีให้หลัง” ไงครับ!
ยิ้มโคตรเกลียดไอ้ “1 ปีให้หลัง” นี่เลย!
เหมือนสตูดิโอบอกว่า เฮ้ย สยองเกินไปแล้ว ตัดๆๆๆ เอาตอนเป็นซูเปอร์ฮีโร่มาเร็วๆเถอะ!
เจตนาอยากจะสร้างความบันเทิงให้คนดูน่ะ มันดี
แต่ไอ้การตัดทิ้งแบบฉีกกระชาก มันทำให้คนดูกลับรู้สึกเหมือน “หนังคนละม้วน” อยู่ดีๆมันโค้งหักศอกเกินไป กลายเป็นอารมณ์เก่ายังค้างไม่ทันหาย อารมณ์ใหม่ก็ถูกตามเข้ามาแทนแล้ว มัน... หายนะว่ะ!

2. ฉากเปิดเรื่อง

ผมชอบฉากเปิดเรื่องของเรื่องนี้ มันเป็นตอนที่รี้ด ริชาร์ด เด็กนักเรียนโคตรจะเนิร์ดต้องออกไปพูดหน้าชั้น ว่าตัวเองต้องการจะสร้างเครื่องเทเลพอร์ตขึ้นมา แล้วเด็กทุกคนในชั้นรวมถึงคุณครูก็มองรี้ดแบบแปลกๆ
ผมจี้ดว่ะ ฉากนี้ผมจี้ด วิธีการแสดงของเด็ก มุมกล้อง การตัดต่อ หรือเพลง ผมรู้สึกว่าฉากนี้มันเวิร์กสำหรับผม ผมรู้สึกและเข้าใจในตัวรี้ดสุดๆ เข้าใจว่าคนที่ถูกมองว่าเพ้อเจ้อหรือแปลกประหลาด รู้สึกว่าการต้องเป็นคนแปลกแยกน่ะ มันเป็นยังไง!

ฉากนี้เวิร์กมากถึงเวิร์กที่สุด มันทำให้ผมรู้สึกเสียดายว่า หนังไม่ได้เล่นประเด็นนี้ของรี้ดอีกเลย! ทิ้งไปอย่างน่าเสียดาย!

ลองคิดดูสิครับ ถ้าหนังเล่นประเด็นนี้ต่อไป เล่นประเด็นว่าเด็กเนิร์ดจอมเพ้อเจ้ออย่างรี้ด ถึงจะโดนเพื่อนโดนครูมองว่าประหลาด แต่ก็ยังพยายามจนสร้างเครื่องเทเลพอร์ตได้สำเร็จ แต่พอสร้างเครื่องเทเลพอร์ตไปยังมิติอื่นได้สำเร็จ กลับต้อง “กลายมาเป็นตัวประหลาด” ของจริง กลายเป็นมนุษย์ที่ยืดตัวได้ (Mr.fantastic หรือ “คนพลังกายสิทธิ์”) รี้ดจะรับมือประเด็นนี้อย่างไร

แต่ในเวอร์ชั่น 2015 ได้ทิ้ง “ความรู้สึกแปลกแยก” ของรี้ดทิ้งไปเลย ทิ้งหายไปเลย เป็นแค่เด็กเนิร์ดคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในการสร้างเครื่องเทเลพอร์ต แต่ก็เจออุบัติเหตุจนกลายเป็นมนุษย์ยืดได้หดได้... แล้ว... ก็เท่านั้น ไม่มีอะไรมากกว่านั้น ไม่หือไม่อือ ไม่ได้ยินดีไม่ได้ทุกข์ระทม แค่หนีออกจากฐานทัพแล้วก็เร่ร่อนไปเรื่อยเพราะกลัวการถูกทางการไปใช้งาน...

มันไม่ได้แย่หรอกครับ แค่รู้สึกว่ามัน “เสียของ”

3. ปูมหลังของเบน กริมม์

ผมเกลียดการแสดงของคนที่เล่นเป็น เบน กริมม์ (The Thing หรือ “คนพลังภูผาหิน”) ยิ้มเล่นเป็นหินตลอดเรื่องตั้งแต่ต้นยันจบ ชนิดที่เรียกว่า กรูทใน Guardian of the Galaxy ที่พูดแค่สามคำคือ I. AM. GROOT. ยังจะมีสีหน้าท่าทางที่สื่ออารมณ์มากกว่าไอ้หมอนี่อีก!

แต่ผมสนใจปูมหลังของเบน กริมม์ครับ

ในตอนต้นของหนัง ตอนที่รี้ดพูดเรื่องเครื่องเทเลพอร์ตหน้าชั้นเรียนแล้วทุกคนมองรี้ดเหมือนตัวประหลาด เบนกลับเป็นคนเดียวที่สนใจในตัวรี้ด
หนังไม่ได้อธิบาย ซึ่งถือว่าน่าเสียดาย แต่ผมมองออกว่าทำไม...

เบนเป็นเกย์? ไม่ใช่หรอก

เขาเป็นเรื่องเด็กคนหนึ่งที่ต้องใช้ชีวิตอย่างน่าเบื่อ ครอบครัวไม่ได้อบอุ่น มีพี่ชอบข่มเหงน้อง ตั้งใจจะใช้ความรุนแรงกับน้องอยู่ตลอด เพราะฉะนั้นวันหนึ่งพอเจอเพื่อนอย่างรี้ด เพื่อนที่โคตรจะแนว โคตรจะสุดโต่ง เด็กที่ต้องการ “ออกไปจากชีวิตน่าเบื่อแบบเดิมๆ” ก็ต้องสนใจเด็กเนิร์ดสุดโต่งแบบรี้ดเป็นของธรรมดา ยิ่งตอนที่เห็นว่ารี้ดสามารถเทเลพอร์ตรถของเล่นคันแรกได้สำเร็จ ก็ยิ่งแล้วใหญ่

เบนกับรี้ดกลายเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็กยันโต อยู่กับโปรเจกต์เครื่องเทเลพอร์ตด้วยกันมาตลอด สุดท้ายก็ทำได้สำเร็จ เบนร่วมเดินทางข้ามมิติไปยังอีกมิติกับรี้ดด้วย แต่หลังเกิดอุบัติเหตุขึ้น เขาก็กลายเป็น “The Thing” มนุษย์ที่มีร่างกายเป็นหิน

เขาถูกจับอยู่ในห้องทดลอง แล้วก็เห็นรี้ดสามารถหลบหนีได้สำเร็จ แต่ว่ารี้ดไม่มีจังหวะจะช่วยเบนได้ เบนได้แต่ร้องว่า “ช่วยด้วย” แต่รี้ดไม่รู้จะช่วยอย่างไร จึงได้แต่หนีไปคนเดียว

เพราะฉะนั้นเบนย่อมต้องรู้สึกเหมือน “ถูกหักหลัง”... ถูก “เพื่อนรักเพียงคนเดียวในชีวิตหักหลัง”!

ลองคิดดูสิครับว่าไอ้ประเด็นตรงนี้ “ยิ้มโคตรน่าสนใจเลย”!

แต่ไม่ครับ หนังกลับทิ้งอารมณ์ตรงนี้ไปอย่างกับขยะ เรารู้ว่าเบนโกรธรี้ด แต่อารมณ์และสีหน้าท่าทางยิ้มไม่ได้บอกเลยว่ามันโกรธ หน้ายิ้มแสดงเป็นหินตั้งแต่ตอนเป็นคนจนกระทั่งเป็นมนุษย์หิน

ตอนที่เบนถูกทางการสั่งให้ไปจับตัวรี้ดที่แอบหนีไปคนเดียว จริงๆตอนนั้นน่าจะเป็นอารมณ์ดราม่าที่เข้มข้นได้

แต่เปล่าเลย! อารมณ์ตอนนั้นยิ้มแห้งมาก! เบนด่าริชาร์ดเพียงเบาๆ หลังจากนั้นตอนเผชิญหน้ากับดร.ดูม ก็มีประชดรี้ดเพียงเบาๆประมาณว่า “จะหนีกันอีกเหรอ” เพียงแค่นั้น แต่ยิ้มโคตรไร้อารมณ์เลยว่ะ!

แล้วยังไอ้ “1 ปีให้หลังอีก”

คือหลังจากที่รี้ดหนีไป อีกสามคนที่เหลือที่ได้พลังต้องถูกทางการทดลอง และเบนก็ถูกใช้ให้ไปทำงานทางด้านทหาร ผมรู้สึกว่าชอบประเด็นตรงนี้มาก รู้สึกว่าถ้ามันขยายตรงนี้อีกนิด แสดงให้เห็นว่า เบนโกรธรี้ดที่หนีไป แล้วเอาพลังทั้งหมดไปทุ่มกับการทำลายล้างรถถังเอย กองทหารเอย ผมรู้สึกว่ามันจะเวิร์กมากถึงมากที่สุด!

เสียของมาก!

4. ซูซาน VS จอห์นนี่

ผมไม่ติดใจเรื่องที่สองคนนี้ไม่ใช่พี่น้องกันจริงๆแบบในหนังสือการ์ตูนหรือหนังเวอร์ชั่นก่อนหน้านี้

ผมไม่ติดใจที่จอห์นนี่เป็นคนดำ

ตรงกันข้าม ผมสนใจเรื่องของพี่น้องคู่นี้

ซูซานเห็นชัดว่าเป็นลูกรักของแฟรงคลิน สตอร์มทั้งที่เธอเป็นลูกบุญธรรม เธอตั้งใจ เธอทุ่มเทให้กับโปรเจกต์อย่างที่แฟรงคลินต้องการ
แต่จอห์นนี่กลับเอาเวลาไป “แว๊น” ทำตัวเกกมะเหรกเกเรซะงั้น

ผมสนใจที่หลังจอห์นนี่ได้เข้ามาร่วมทีมพัฒนาเครื่องเทเลพอร์ต เขารู้สึกภาคภูมิใจในตัวเองมากขึ้น แล้วหลังจากเขากลายเป็นมนุษย์เพลิง (Human Torch หรือ “คนพลังไฟ”) แล้ว เขารู้สึกเหมือนว่า “นี่คือที่ที่เขาจะอยู่” มันคือโอกาสที่เขาจะได้เป็นอะไรสักอย่างที่ตัวเองจะภาคภูมิใจ เป็นไปในแนวทางของตัวเองในแบบที่ตัวเองต้องการ “ได้เลือกชีวิตในแบบที่ตัวเองต้องการ”

ในขณะที่ซูซาน หลังกลายเป็นมนุษย์ล่องหน (Invisible Woman หรือ “สาวน้อยพลังล่องหน”) เธอได้ฝึกควบคุมพลังก็จริง แต่ในขณะเดียวก็จะหาโอกาส “กลับไปสู่ชีวิตแบบเก่า” ซึ่งเป็นสิ่งที่พ่อต้องการด้วยเช่นกัน

เห็นความขัดแย้งกันตรงนี้ไหมครับ ระหว่างเด็กสาวบุญธรรมที่เดินตามเส้นทางของพ่อ กับลูกชายที่ขัดแย้งกับพ่อไปหมดซะทุกอย่างและต้องการหาจุดยืนของตัวเอง

ผมชอบว่ะ!

แต่เพราะหนังมันมีแค่ 100 นาทีและหมดไปกับไอ้ “1 ปีให้หลัง” เส็งเคร็งนั่น มันเลยไม่ได้ถูกพัฒนาไปในจุดที่น่าสนใจกว่านี้

เสียของอีกเหมือนกัน

5. ดร.ดูมอาละวาด

ผมเกลียดด็อกเตอร์วิคเตอร์ วอน ดูม เวอร์ชั่นนี้

ยิ้มโคตรจะแบน น่าเบื่อ ไม่มีอะไรน่าสนใจ

แต่...

ผมรู้สึกว่าตัวละครตัวนี้ ตอนแรกเริ่มผู้กำกับตั้งใจจะให้มันมาเป็นตัวคู่ขนานกันกับรี้ด ริชาร์ด

ทั้งคู่อัจฉริยะเหมือนกัน

ทั้งคู่คิดเรื่องเครื่องเทเลพอร์ตเหมือนกัน

ทั้งคู่เป็นคนแปลกแยกเหมือนกัน

ทั้งคู่สนใจในตัวซูซาน สตอร์มเหมือนกัน

แต่ในขณะที่รี้ดเป็นคนมองโลกในแง่ดี พยายามทุ่มเทไปเรื่อยๆจนได้ดี วิคเตอร์กลับกลายเป็น “ฮิกกี้ (ฮิคิโคโมริ)” ขังตัวเองอยู่ในห้อง ไม่อาบน้ำอาบท่า

ในขณะที่ซูซานสนใจในตัวรี้ด วิคเตอร์กลับต้องแห้ว

เห็นไหมครับว่ามันเป็นคู่ขนานกันไป

แต่ไอ้ประเด็นนี้กลับหายไปเลยครับ! หายไปเลย!

หลังจากวิคเตอร์ไปสำรวจโลกต่างมิติ เขาก็ตกลงไปในบ่อพลังงานของดาวแล้วก็ถูกทิ้งให้อยู่ในมิตินั้นต่อไป “1 ปีให้หลัง” พอทีมสำรวจกลับไปยังที่นั่นได้อีกครั้ง เขาได้พบกับด็อกเตอร์ดูมในสภาพที่เหมือนกลายเป็นเหล็กทั้งตัว

นี่คือช่วงเวลาที่ผมชอบมาก!

ดร.ดูมถูกพากลับมายังโลก แต่เขาไม่ได้ต้องการกลับมายังโลกเลยสักนิด เขาชอบพลังของที่นั่น เพราะฉะนั้นเมื่อพลังที่มหาศาลบวกเข้ากับจิตใจทีบิดเบี้ยว เขาก็กลายเป็นสัตว์ประหลาด ฆ่าคนไม่เลี้ยง!

อย่างที่บอก ผมไม่แคร์ว่ามันจะมีอารมณ์หนังสยองขวัญในหนังฮีโร่ และผมก็ชอบที่ไอ้ด็อกเตอร์ดูมอาละวาด ฆ่าคนไม่เลี้ยงแบบนี้ มันดูน่ากลัว ดูโหด

แต่ไอ้อารมณ์นี่กลับถูกเขี่ยไปอีกแล้ว!! เหมือนสตูดิโอบอกว่า ไม่ๆๆๆๆ มันโหดไป ไม่เอาๆ

ลองคิดดูง่ายๆสิครับ ถ้าซีเควนซ์นี้ทั้งหมดมีการเล่าเรื่องให้ดร.ดูมเดินหน้าฆ่าคนไปเรื่อยๆ แล้วพวกรี้ดทั้งสี่คนต้องหาทางรับมือกับด็อกเตอร์ดูมแบบคนละทีสองที ตอนนี้มันจะเพิ่ม “ความน่ากลัว” ของดร.ดูมได้ถึงขนาดไหน!

อารมณ์น่ากลัวของดร.ดูมถูกทิ้งไปยังไม่พอ ไอ้เหตุผลอยากจะทำลายล้างโลกใบนี้ยิ้มก็... ประหลาดเหลือเกิน โคตรจะผู้ร้ายการ์ตูน
ตูเกลียดโลกนี้ ตูจะทำลายล้างละ จบละโลกนี้ มีปัญหาไรป่ะ
มัน... โอเค ถ้าอยากจะให้เป็นแบบนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ผมคิดว่ามันจะดีกว่านี้มาก ถ้าสามารถเอาไอ้ “ปมของดูม” ที่อยู่ตอนต้นๆเรื่องเอามาสร้างน้ำหนักในการทำลายล้างให้มัน... มากกว่านี้หน่อย ผมจะรู้สึกว่ามันเข้าท่ามากเลยนะ
เสียของอีกแล้ว!

6. วิธีการต่อสู้ตอนท้ายเรื่อง

โอเค หลายคนไม่ชอบองก์สามของเรื่อง รู้สึกว่ามันเละเทะแบบสุด
แต่ผมชอบวิธีการต่อสู้ของฉากไคลแม็กซ์นะ

รี้ดเห็นว่าดร.ดูมแข็งแกร่งจนเกินไป เพราะฉะนั้นถึงต้องร่วมมือกัน จอห์นนี่ปล่อยลูกไฟ ซูซานสร้างเกราะพลังงานหุ้มลูกไฟเพื่อป้องกันลูกไฟเอาไว้ พอลูกไฟไปคลอกตัวดร.ดูม ซูซานก็สร้างพลังงานรอบตัวดร.ดูม ทำให้ไฟคลอกรุนแรงขึ้น แล้วก็มีการอำพรางเบนด้วยพลังของซูซาน พอดร.ดูมกำลังเสียสมาธิ เบนก็โผล่ร่างออกมา

ตูม!

ซัดดร.ดูมกระเด็นในระยะประชิดตัว!

โอ้แม่เจ้า! ผมชอบแนวความคิดในการต่อสู้ในฉากไคลแม็กซ์นี่นะ!

แต่ก็อย่างว่า... โดยรวมแล้วมันเสียของพิลึก!

ขอบคุณเจ้าของกระทู้ด้วยนะคับ
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=pandakun&month=08-08-2015&group=15&gblog=9#
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่