สวัสดีค่ะ วันนี้อยากจะมาเล่ามุมคิดจากละครญี่ปุ่น ละครเรื่องนี้เป็นละครที่เคยฉายมานานมากแล้ว เป็นละครแนว School ชื่อดังของญี่ปุ่นค่ะ เรื่องที่ว่านี้ก็คือ "Dragon Zakura" เป็นเรื่องราวของเด็กมัธยมปลายที่มุ่งมั่นสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียว ละครเรื่องนี้จะมาทำให้เราได้เห็นภาพชีวิตของเด็กมัธยมปลายให้เห็นถึงมิตรภาพ ความลำบาก การต่อสู้ พร้อมทั้งความสำคัญของมหาวิทยาลัยว่า ทำไมเด็กญี่ปุ่นส่วนใหญ่ถึงต้องดิ้นรนสอบเข้าให้ได้ถึงขนาดนั้น แล้วถ้าเกิดสอบไม่ได้ล่ะ เด็กๆ เขาจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไร ละครเรื่องนี้ค่อนข้างชี้แนะแนวทางให้กับเด็กวัยรุ่นได้เป็นอย่างดีคะ
"Dragon Zakura" เป็นเรื่องราวของโรงเรียนแห่งหนึ่งที่กำลังล้มละลาย โรงเรียนจึงว่าจ้าง "Sakuragi Kenji" ทนายความคนหนึ่งมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ และหนทางเดียวที่จะทำให้โรงเรียนนี้อยู่รอดต่อไปได้ก็คือ
"ต้องทำให้มีนักเรียนในโรงเรียนนี้สอบเข้าโทได หรือมหาวิทยาลัยโตเกียวให้ได้"
(มหาวิทยาลัยโตเกียวเป็นมหาวิทยาลัยดันดับ 1 ของญี่ปุ่นค่ะ)
แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวไม่ใช่เรื่องง่าย และที่ยากยิ่งกว่าคือ เด็กของโรงเรียนนี้เป็นเด็กระดับ "บ๊วย" ตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนมายังไม่เคยมีใครสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้เลย! ทนาย Sakuragi เลยตัดสินใจที่จะพานักเรียนของที่นี่ก้าวเข้าสู่ "โทได" หรือ "มหาวิทยาลัยโตเกียว" ให้ได้ โดยเขาได้ก่อตั้งห้องเรียนพิเศษ มีนักเรียน 6 คน มาติวเข้ม กวดวิชาอย่างเข้มข้น เพื่อให้สอบเข้าโทไดให้ได้ และเขาได้ให้คำมั่นสัญญากับผอ.ว่า ต้องทำให้ 5 ใน 6 คนสอบเข้าให้ได้ไม่เช่นนั้น
เขาจะขอลาออก!
แล้วปฏิบัติการติวเข้มก็เริ่มขึ้น เด็กที่ไปคัดมาเข้าห้องพิเศษก็เป็นเด็กที่ไม่เอาไหนค่ะ บางคนก็ไม่สนใจอยากจะเข้าโทไดแต่ไหนแต่ไร แต่ทนาย Sakuragi ได้พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า
"หากต้องการจะเปลี่ยนชีวิตและไม่อยากให้ใครมากำหนดชะตาชีวิตของตัวเองในสังคม
จงลุกขึ้นต่อสู้เพื่อตัวเองด้วยการเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวให้ได้"
"Yajima Yusuke" เด็กหนุ่มที่ไม่คิดจะเรียนต่ออยู่แล้ว พอเจอประโยคนี้ก็ตัดสินใจหันหน้าเข้าหาหนังสืออีกครั้ง เพราะว่าชีวิตปัจจุบันของเขา พ่อได้สร้างหนี้ไว้ให้กับครอบครัวมากมาย ชีวิตเป็นไปอย่างยากลำบาก เขาต้องทำงานพิเศษแบกหามในตอนกลางคืน ด้วยความรู้สึก "ไม่อยากลำบาก" "อยากให้แม่สบาย" และ "ไม่อยากถูกกดขี่" เขาจึงตัดสินใจที่สอบเข้าโทไดให้ได้ รวมถึงเพื่อนอื่นๆ อีก 5 คน ที่มีพื้นเพชีวิตที่ต่างกันมีปมปัญหาที่ต่างกัน แต่พวกเขาขอเลือกที่จะสร้างชีวิตที่ดีกว่า ด้วยการเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย และไม่ใช่มหาวิทยาลัยธรรมดา แต่เป็นมหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของญี่ปุ่น! นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของเด็กเหลือขอพวกนี้ที่ไม่เคยสนใจอะไร ลุกขึ้นมาจริงใจกับเขาดูสักครั้งการกวดวิชาเป็นไปอย่างเข้มข้นพวกเขาแทบไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่น แต่มันก็คุ้มค่าถ้าสิ่งนี้ทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง
จากละครเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตจริงของคนญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยค่อนข้างมีผลในการสมัครงานค่ะ สถาบันการศึกษาบอกอะไรกับเราได้
บอกได้ว่าเราเก่งยังงั้นหรือเปล่า คงไม่ใช่ทั้งหมดค่ะ สิ่งสำคัญของมหาวิทยาลัยที่มากกว่านั้นคือ ทำให้เราได้เห็นถึงความเพียร มุมานะของเด็กคนหนึ่ง
เพราะ "โทได" ไม่ได้เข้ากันง่ายๆ ฉะนั้น เด็กที่สอบเข้าไปได้ ต้องมีความเพียรพยายาม ความสามารถ และตั้งใจ รวมทั้งน่าจะเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงที่ขยันอ่านหนังสือหามรุ่งหามคำได้ (อันนี้ไม่นับรวมคนที่ฉลาดหลักแหลมมากๆ ไม่อ่านก็สอบได้นะคะ) เพราะมหาวิทยาลัยสามารถบอกได้ถึงตัวตนของคนคนนั้น มหาวิทยาลัยจึงมีความสำคัญมากๆ สำหรับเด็กญี่ปุ่นค่ะ แล้วคนญี่ปุ่นก็มีความเชื่อว่า ถ้าสอบเข้าโทไดไปได้ ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปแน่นอน ทั้งสถานะทางสังคม ชีวิตความเป็น และหน้าที่การงาน เหมือนที่ทนาย Sakuragi ได้กล่าวไว้
แต่ช้าแต่ค่ะ ถึงแม้ว่า "โทได" จะเปลี่ยนชีวิตได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต เพราะชีวิตเราไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ในจำนวนเด็กทั้ง 6 คน มีทั้งคนที่สอบได้และสอบไม่ได้เหมือนกับชีวิตของคนเราที่มีทั้งคนที่สมหวังและผิดหวัง และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในจำนวนเด็กที่สอบได้ มีไม่ถึง 5 คน แถมมีคนสละสิทธิ์! แน่นอนว่าพอทนาย Sakuragi ไม่สามารถทำให้เด็กสอบเข้าได้ถึง 5 คน เขาจึงต้องลาออกไปโดยปริยาย แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาได้ทิ้งท้ายสอนเด็กๆ ไว้อย่างหนึ่งด้วยค่ะว่า...
"ในข้อสอบมีคำตอบที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว แต่ในชีวิตจริงนั่นต่างกัน คำตอบที่ดีที่สุด ไม่ได้มีแค่ข้อเดียวเสมอไป"
หลังจากสิ้นสุดคำพูดของ ทนาย Sakuragi เด็กๆ แต่ละคนก็ค่อยๆ เผยเส้นทางชีวิตของตัวเองค่ะ เริ่มจากเด็กหนึ่งคนในกลุ่มที่สอบเข้าโทไดได้ แต่กลับขอสละสิทธิ์ น่าสงสัยใช่ไหมล่ะคะว่าทำไม เหตุผลอีกด้านหนึ่งก็คือ...
แม้จะสอบเข้าได้ แต่ก็ไม่มีเงินเรียน การเรียนต่อมหาวิทยาลัยค่อนข้างมีค่าใช้จ่ายสูง และเด็กคนนั้นค้นพบตัวเองเจอแล้วว่า อยากโตขึ้นเป็น "ทนาย" เขาเลยตัดสินใจเลือกเดินอีกเส้นทางหนึ่งคือ เรียนด้วยตัวเอง และไปสอบทนายให้ได้ ส่วนเด็กคนอื่นๆ ก็มีหนทางชีวิตที่ต่างกันไปค่ะ คนที่สอบไม่ได้ ก็เสียใจ แต่เขากลับเปลี่ยนความเสียใจนั้น ให้เป็นแรงฮึดสู้ แล้วขอเริ่มต้นใหม่อีกสักครั้ง ปีนี้เข้าไม่ได้ ปีหน้าก็ยังมีอยู่
จากละครเรื่องนี้ ทำให้เห็นสิ่งที่ได้จากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย นั่นก็คือการเติบโตของเด็กๆ ที่โตขึ้นไปอีก 1 ขั้นค่ะ สิ่งที่นอกเหนือจากการอ่านหนังสือสอบก็คือ การ
"ลิขิตชะตาชีวิต" ของตัวเองนั่นเอง รู้จักคิดวางแผนในอนาคตตัวเองว่าจะทำอะไรต่อไป และสิ่งสำคัญก็คือ เด็กแต่ละคนควรที่จะคิดเอง ทำเองได้ ไม่ใช่ทำตามที่คนรอบข้างสั่ง การมีชีวิตเป็นของตัวเอง คือการมีสิทธิ์ได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างสมบูรณ์
สุดท้าย อยากจะบอกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถือเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าในช่วงชีวิตวัยรุ่นค่ะ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้หันมาจริงจังกับเรื่องๆ หนึ่งอย่างเต็มที่ มหาวิทยาลัยจะใช่หรือไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ก็ขอให้เราได้เข้าไปสัมผัสกับตัวเองดูสักครั้ง ตอบตัวเองให้ได้ว่า...ทำไมเราถึงคิดเช่นนั้น
สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าเราต้องตอบเหมือนใคร...
"เพราะชีวิตจริงไม่ได้มีแค่คำตอบเดียว"
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใครสนใจอยากเม้าท์มอย หรืออยากติดตามอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับละครญี่ปุ่น
ไปคุยกันต่อได้ที่ เพจ Sakura Dramas นะคะ >>>https://www.facebook.com/sakuradramas
[ข้อคิดจากละครญี่ปุ่น] มหาวิทยาลัย "เปลี่ยนชีวิต" เราได้ แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต
"Dragon Zakura" เป็นเรื่องราวของโรงเรียนแห่งหนึ่งที่กำลังล้มละลาย โรงเรียนจึงว่าจ้าง "Sakuragi Kenji" ทนายความคนหนึ่งมาช่วยกอบกู้สถานการณ์ และหนทางเดียวที่จะทำให้โรงเรียนนี้อยู่รอดต่อไปได้ก็คือ
(มหาวิทยาลัยโตเกียวเป็นมหาวิทยาลัยดันดับ 1 ของญี่ปุ่นค่ะ)
แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวไม่ใช่เรื่องง่าย และที่ยากยิ่งกว่าคือ เด็กของโรงเรียนนี้เป็นเด็กระดับ "บ๊วย" ตั้งแต่ก่อตั้งโรงเรียนมายังไม่เคยมีใครสอบเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวได้เลย! ทนาย Sakuragi เลยตัดสินใจที่จะพานักเรียนของที่นี่ก้าวเข้าสู่ "โทได" หรือ "มหาวิทยาลัยโตเกียว" ให้ได้ โดยเขาได้ก่อตั้งห้องเรียนพิเศษ มีนักเรียน 6 คน มาติวเข้ม กวดวิชาอย่างเข้มข้น เพื่อให้สอบเข้าโทไดให้ได้ และเขาได้ให้คำมั่นสัญญากับผอ.ว่า ต้องทำให้ 5 ใน 6 คนสอบเข้าให้ได้ไม่เช่นนั้นเขาจะขอลาออก!
แล้วปฏิบัติการติวเข้มก็เริ่มขึ้น เด็กที่ไปคัดมาเข้าห้องพิเศษก็เป็นเด็กที่ไม่เอาไหนค่ะ บางคนก็ไม่สนใจอยากจะเข้าโทไดแต่ไหนแต่ไร แต่ทนาย Sakuragi ได้พูดออกมาประโยคหนึ่งว่า
จงลุกขึ้นต่อสู้เพื่อตัวเองด้วยการเข้ามหาวิทยาลัยโตเกียวให้ได้"
"Yajima Yusuke" เด็กหนุ่มที่ไม่คิดจะเรียนต่ออยู่แล้ว พอเจอประโยคนี้ก็ตัดสินใจหันหน้าเข้าหาหนังสืออีกครั้ง เพราะว่าชีวิตปัจจุบันของเขา พ่อได้สร้างหนี้ไว้ให้กับครอบครัวมากมาย ชีวิตเป็นไปอย่างยากลำบาก เขาต้องทำงานพิเศษแบกหามในตอนกลางคืน ด้วยความรู้สึก "ไม่อยากลำบาก" "อยากให้แม่สบาย" และ "ไม่อยากถูกกดขี่" เขาจึงตัดสินใจที่สอบเข้าโทไดให้ได้ รวมถึงเพื่อนอื่นๆ อีก 5 คน ที่มีพื้นเพชีวิตที่ต่างกันมีปมปัญหาที่ต่างกัน แต่พวกเขาขอเลือกที่จะสร้างชีวิตที่ดีกว่า ด้วยการเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย และไม่ใช่มหาวิทยาลัยธรรมดา แต่เป็นมหาวิทยาลัยโตเกียว มหาวิทยาลัยอันดับ1 ของญี่ปุ่น! นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกของเด็กเหลือขอพวกนี้ที่ไม่เคยสนใจอะไร ลุกขึ้นมาจริงใจกับเขาดูสักครั้งการกวดวิชาเป็นไปอย่างเข้มข้นพวกเขาแทบไม่มีเวลาไปเที่ยวเล่นเหมือนเด็กคนอื่น แต่มันก็คุ้มค่าถ้าสิ่งนี้ทำให้ฝันของพวกเขาเป็นจริง
จากละครเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตจริงของคนญี่ปุ่น มหาวิทยาลัยค่อนข้างมีผลในการสมัครงานค่ะ สถาบันการศึกษาบอกอะไรกับเราได้
บอกได้ว่าเราเก่งยังงั้นหรือเปล่า คงไม่ใช่ทั้งหมดค่ะ สิ่งสำคัญของมหาวิทยาลัยที่มากกว่านั้นคือ ทำให้เราได้เห็นถึงความเพียร มุมานะของเด็กคนหนึ่ง
เพราะ "โทได" ไม่ได้เข้ากันง่ายๆ ฉะนั้น เด็กที่สอบเข้าไปได้ ต้องมีความเพียรพยายาม ความสามารถ และตั้งใจ รวมทั้งน่าจะเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงที่ขยันอ่านหนังสือหามรุ่งหามคำได้ (อันนี้ไม่นับรวมคนที่ฉลาดหลักแหลมมากๆ ไม่อ่านก็สอบได้นะคะ) เพราะมหาวิทยาลัยสามารถบอกได้ถึงตัวตนของคนคนนั้น มหาวิทยาลัยจึงมีความสำคัญมากๆ สำหรับเด็กญี่ปุ่นค่ะ แล้วคนญี่ปุ่นก็มีความเชื่อว่า ถ้าสอบเข้าโทไดไปได้ ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนไปแน่นอน ทั้งสถานะทางสังคม ชีวิตความเป็น และหน้าที่การงาน เหมือนที่ทนาย Sakuragi ได้กล่าวไว้
แต่ช้าแต่ค่ะ ถึงแม้ว่า "โทได" จะเปลี่ยนชีวิตได้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต เพราะชีวิตเราไม่ได้โรยไปด้วยกลีบกุหลาบ ในจำนวนเด็กทั้ง 6 คน มีทั้งคนที่สอบได้และสอบไม่ได้เหมือนกับชีวิตของคนเราที่มีทั้งคนที่สมหวังและผิดหวัง และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือ ในจำนวนเด็กที่สอบได้ มีไม่ถึง 5 คน แถมมีคนสละสิทธิ์! แน่นอนว่าพอทนาย Sakuragi ไม่สามารถทำให้เด็กสอบเข้าได้ถึง 5 คน เขาจึงต้องลาออกไปโดยปริยาย แต่ก่อนที่เขาจะไป เขาได้ทิ้งท้ายสอนเด็กๆ ไว้อย่างหนึ่งด้วยค่ะว่า...
หลังจากสิ้นสุดคำพูดของ ทนาย Sakuragi เด็กๆ แต่ละคนก็ค่อยๆ เผยเส้นทางชีวิตของตัวเองค่ะ เริ่มจากเด็กหนึ่งคนในกลุ่มที่สอบเข้าโทไดได้ แต่กลับขอสละสิทธิ์ น่าสงสัยใช่ไหมล่ะคะว่าทำไม เหตุผลอีกด้านหนึ่งก็คือ...
แม้จะสอบเข้าได้ แต่ก็ไม่มีเงินเรียน การเรียนต่อมหาวิทยาลัยค่อนข้างมีค่าใช้จ่ายสูง และเด็กคนนั้นค้นพบตัวเองเจอแล้วว่า อยากโตขึ้นเป็น "ทนาย" เขาเลยตัดสินใจเลือกเดินอีกเส้นทางหนึ่งคือ เรียนด้วยตัวเอง และไปสอบทนายให้ได้ ส่วนเด็กคนอื่นๆ ก็มีหนทางชีวิตที่ต่างกันไปค่ะ คนที่สอบไม่ได้ ก็เสียใจ แต่เขากลับเปลี่ยนความเสียใจนั้น ให้เป็นแรงฮึดสู้ แล้วขอเริ่มต้นใหม่อีกสักครั้ง ปีนี้เข้าไม่ได้ ปีหน้าก็ยังมีอยู่
จากละครเรื่องนี้ ทำให้เห็นสิ่งที่ได้จากการสอบเข้ามหาวิทยาลัย นั่นก็คือการเติบโตของเด็กๆ ที่โตขึ้นไปอีก 1 ขั้นค่ะ สิ่งที่นอกเหนือจากการอ่านหนังสือสอบก็คือ การ "ลิขิตชะตาชีวิต" ของตัวเองนั่นเอง รู้จักคิดวางแผนในอนาคตตัวเองว่าจะทำอะไรต่อไป และสิ่งสำคัญก็คือ เด็กแต่ละคนควรที่จะคิดเอง ทำเองได้ ไม่ใช่ทำตามที่คนรอบข้างสั่ง การมีชีวิตเป็นของตัวเอง คือการมีสิทธิ์ได้ใช้ชีวิตของตัวเองอย่างสมบูรณ์
สุดท้าย อยากจะบอกว่าการสอบเข้ามหาวิทยาลัย ถือเป็นประสบการณ์อันล้ำค่าในช่วงชีวิตวัยรุ่นค่ะ อย่างน้อยก็ทำให้เราได้หันมาจริงจังกับเรื่องๆ หนึ่งอย่างเต็มที่ มหาวิทยาลัยจะใช่หรือไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิต ก็ขอให้เราได้เข้าไปสัมผัสกับตัวเองดูสักครั้ง ตอบตัวเองให้ได้ว่า...ทำไมเราถึงคิดเช่นนั้น
สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าเราต้องตอบเหมือนใคร...
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้