เรื่องเล่าเคล้าคุณธรรมจากพ่อ "ปักกำ"

พ่อของผมมักเล่าเรื่องราวในชีวิตให้ผมฟังเสมอ โดยเฉพาะเรื่องเล่าในวัยเด็กที่แฝงไปด้วยคุณธรรม เรื่องปักกำก็เป็นอีกเรื่องที่พ่อเคยเล่าให้ฟังครับ และพ่อได้พิมพ์ไว้ด้วย พอดีกับที่ผมยืม external hard disks ของพ่อมาใช้แล้วเห็นเรื่องนี้พี่พ่อพิมพ์ไว้พอดีเลยขอเอามาแบ่งปันให้ทุกคนได้อ่านกันครับ
เดี๋ยวจะยอน(เชียร์)ให้พ่อเขียนเรื่องอื่นๆไว้อีกครับ

===========================================================================                                                                 
    เรื่องปักกำ

                   ตั้งแต่พ่อจำความได้ก็ได้ยินคำอบรมสั่งสอนจากพ่อเฒ่าแม่เฒ่าซึ่งเป็นคนเลี้ยงพ่อตอนเป็นเด็ก  ทั้งสองคนคอยตักเตือนให้พ่อทำความดี  รู้จักเสียสละ  ไม่เอาเปรียบผู้อื่น  ไม่ให้ลักขโมย  ไม่ให้ฉ้อโกง  ให้เคารพเชื่อฟังผู้ใหญ่  วันพระก็พาพ่อไปวัด  สิ่งเหล่านี้ถูกตอกย้ำทบทวนอยู่บ่อย ๆ  จนพ่อรู้สึกว่ามันมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของพ่อมาจนถึงทุกวันนี้          การอบรมสั่งสอนความดีแก่ลูกหลานของพ่อเฒ่าแม่เฒ่าไม่ใช่พูดกันเพียงลมปาก     แต่ท่านยังทำให้ดูเป็นตัวอย่าง
อีกมากมาย  โดยเฉพาะการทำความดีในการดำรงชีพประจำวัน      เรื่องปักกำที่จะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งในหลาย  ๆ  เรื่องของการทำความดี  
                   ปักกำ  คือการนำไม้ขนาดเท่าด้ามมีดพร้ายาวประมาณเมตรครึ่งถึงสองเมตรมาบักลงในที่ดินโล่งมองเห็นได้ชัดแล้วผ่าปลายนำกิ่งไม้ใบไม้ประมาณกำมือหนึ่งยาวประมาณหนึ่งฟุตหนีบไว้ในรอยผ่านั้น  เพื่อให้คนมองเห็นได้ง่าย     การปักกำเป็นการทำเครื่องหมายจองสิ่งของที่เกิดขึ้นเองในธรรมชาติซึ่งยังไม่มีใครเป็นเจ้าของให้ผู้อื่นรู้ว่ามีผู้ต้องการเก็บเกี่ยวสิ่งเหล่านั้นแล้ว
                   สิ่งที่มักมีการปักกำจับจองเมื่อไปพบในช่วงที่ยังไม่ถึงกำหนดเก็บเกี่ยวและต้องการเก็บเกี่ยวในวันหน้าเมื่อถึงช่วงที่เหมาะสม   เช่น  ต้นไม้  ผลไม้  รังผึ้ง  เป็นต้น
                   วันหนึ่ง  พ่อเฒ่าพาพ่อไปทำไร่  ระยะทางจากบ้านไปถึงไร่ประมาณห้าถึงเจ็ดกิโลเมตร  ต้องเดินกันไปในป่า  ทางเดินเป็นดินล้วน ๆ วัว  ควาย  ช้าง  ที่ลากไม้จากป่าไปยังหมู่บ้านก็ใช้ทางเดียวกันนี้  ทางจึงเป็นร่องลึกลงไปจากผิวดินปกติ  ช่วงที่ดินแข็งลึกน้อยหน่อยแต่ช่วงที่ดินอ่อนจะลึกมาก  โดยเฉพาะตอนใกล้ลำธารร่องลึกมากจนมองตัวควายไม่เห็น    ตั้งแต่ออกจากบ้านไปถึงไร่  มีไม่กี่ช่วงที่ต้องเดินตากแดดเพราะส่วนใหญ่สองข้างทางร่มครึ้มด้วยพุ่มไม้ของป่าแก่ที่ยังไม่เคยถูกแผ้วถางมาก่อนจึงเดินกันสบาย ๆ   พวกเด็ก ๆ สนุกสนานกับการชมนกชมไม้ไปตลอดทางเมื่อเดินถึงลำธารตรงไหนก็มีน้ำใส ๆ ไหลอยู่ตามร่องหินมากน้อยตามขนาดของลำธารและฤดูกาล    น้ำในลำธารทุกแห่งดื่มได้  จึงไม่ต้องนำภาชนะใส่น้ำไปกินระหว่างทาง    บางครั้งก็พบผลไม้ป่าข้างทางให้เก็บกินอีกด้วย          วันหนึ่งเมื่อเดินผ่านใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่เป็นทางลาดขึ้นจากห้วย  ชื่อห้วยไฟกา  พ่อได้กลิ่นลูกระกำสุกจึงบอกให้พ่อเฒ่าหยุดเดินแล้วเข้าไปหาเพื่อจะได้เก็บเอามากินเล่นระหว่างเดินทาง  ถ้าได้มากเอาไปใส่แกงส้มกับปลาด้วยก็อร่อยดี    พ่อเฒ่าเข้าไปครู่หนึ่งกลับออกมาบอกว่าพบลูกระกำสุกแล้วแต่เอาไม่ได้เพราะมีคนมาปักกำจองไว้แล้ว    เป็นอันว่าพ่อไม่ได้กินลูกระกำ  พวกเราจึงออกเดินทางกันต่อไปจนถึงไร่และอยู่กันที่ไร่ปลูกพืชผักต่าง ๆ และเก็บพืชผลที่ให้ผลผลิตแล้วกลับไปบ้าน     เราออกจากไร่เดินกลับบ้านตอนเย็นเมื่อนกสาลิการ้องบอกเวลาครั้งที่สาม    ระหว่างทางพ่อเฒ่ากับพ่อแวะลงอาบน้ำในคลองเก็บก้อนหินที่สากแต่ไม่คม
จากท้องคลองขึ้นมาถูขี้ไคลจนร่างกายสะอาด    เมื่อถึงบ้านก็ไม่ต้องไปอาบน้ำที่บ่ออีก  
เราถึงบ้านยังไม่ทันมืด    

                    เรื่องที่พ่อเล่ามานี้พ่ออยากให้ลูกเห็นความแตกต่างของคนสมัยก่อนกับสมัยนี้   ครั้งนั้นต้นระกำขึ้นเองในป่าไม่มีใครเป็นเจ้าของที่ดิน  ไม่มีใครเอาเม็ดไปปลูก  เมื่อต้นระกำออกลูกมีคนไปพบก่อนทำไม้ปักกำจองเอาไว้  คนที่พบทีหลังก็เคารพสิทธิ์ของคนแรกไม่ตัดเก็บเอาไป  ทั้ง ๆ ที่ไม่ทราบเลยว่าคนที่ปักกำไว้นั้นเป็นใคร      ความรู้สึกแบบนี้เป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของท้องถิ่น
ไม่ต้องเขียนกฎหมายขึ้นมาใช้บังคับ  ไม่ต้องมีหนังสือแสดงกรรมสิทธิ์  ไม่ต้องมีตำรวจ  ไม่ต้องมีอัยการ  ไม่ต้องมีศาลมีผู้พิพากษามาตัดสินคดี  ทุกคนมีวัฒนธรรมบนพื้นฐานของศีลธรรม  ใครฝ่าฝืนสังคมลงโทษด้วยการไม่เข้าใกล้    ไม่ให้เกียรติ    ไม่ร่วมมือ  จนคนนั้นอยู่ร่วมในสังคมกับคนอื่นไม่ได้  คนต่อไปก็ไม่กล้าทำอีก  
                   ความเปลี่ยนแปลงเข้ามาเมื่อเราจัดการศึกษาตามแบบโลกตะวันตก(ฝรั่ง)  มีการปรับเปลี่ยนการศึกษาที่ไม่มีรูปแบบให้มีรูปแบบเป็นชั้นเรียน  รัฐบังคับให้เด็กทุกคนเข้าเรียนตามหลักสูตรที่รัฐกำหนด  ใครไม่เรียนตามนี้จัดเป็นพวกไม่มีการศึกษา      การปกครองก็ปรับเปลี่ยน
ให้ทันสมัยตามฝรั่ง       ที่ดินถูกออกเอกสารสิทธิ์ให้มีเจ้าของห้ามไม่ให้คนอื่นเข้ามาใช้  พันธุ์พืชและสัตว์ป่าที่อยู่มาแต่เดิมถูกขจัดออกไปด้วยการแผ้วถางโค่นล้มต้นไม้    แล้วเอาพืชและสัตว์พันธุ์ใหม่ที่เจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินต้องการเข้ามาอยู่แทน  พื้นดิน  ต้นไม้  สัตว์ป่า  และลำธารซึ่งเคยเป็นทรัพย์สินสวนรวมของสรรพชีวิตมาแต่ดั้งเดิมนับล้านปีก็จบลงตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

                                                                         จากพ่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่