ก่อนอื่นผมจะเริ่มต้นด้วยการแนะนำตัวผม เป็นนักศีกษา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยย่านพระราม7
ผมเป็นเด็กที่หัวอ่อนมาก แต่โชคดีที่สอบติด ผมมาจากเด็กช่าง ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นวิศวกร ซึ่งมีช่องทางที่
จะเรียนได้น้อยมาก เพราะในตอนนั้นคณะเริ่มปิดไม่รับเด็กต่อเนื่อง เพราะคงเนื่องจากเด็กช่างคงเรียนไม่ใหว
แต่ก็จริง เพราะการเข้าไปเรียนนั้นเราจะต้องเรียนรวมกับเด็ก ที่จบมาจาก ม.6 ลองนึกภาพสิครับ เด็ก ม.6
ที่ฟิตมากในเรื่องของความรู้ ส่วนเด็กช่างเรามีแต่ภาคปฏิบัติ ในช่วงเทอมแรกๆนั้นจะมีการสอบมิดเทอม
ซึ่งทำให้ผมได้รู้เลยว่า มันแตกต่างอย่างไร ระหว่างเด็กช่างกับ เด็ก ม.6 และเมื่อผ่านมิดเทอมไปนั้นผมได้
คะแนนที่โครตจะทุเรศเลยว่าได้ ไม่เกิน 5 คะแนนซักวิชา ทั้งๆที่ตอนสอบเข้าผมอยู่ในอันดับต้นๆ ทำให้ผม
มีความคิดว่านี่ใช่ที่ของเรารึเปล่า จึงทำให้ผมเริ่มคิดว่าเราควรไปต่อหรือถอยหลัง ผมจึงเก็บตัวไม่ไปเรียน
นั่งคิดอยู่กับบ้านหลายวันจนมีคำพูดจากคนแถวบ้านว่า ดูมันมาเรียนไม่เท่าไรก้อท้อละ ลองคิดดูครับเด็ก
ช่างที่มีความฝัน บวกกับการไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี จึงคิดว่าเราควรกลับไปทำให้มันสำเร็จ บอกตามตรงผมใช้
เวลาในการปรับตัวนานมาก ล้มลุกคลุกคลาน จนอยู่ตัวแล้วเริ่มชินกับมันโดยความคิดที่ว่า เราคือคน คนสอน
เราก็คือคน คนที่เรียนกับเราก็คือคน ทำไมเราถึงทำไม่ได้ ผมเลยมองว่าเด็กเรียนมันทำไง เราต้องทำตามมัน
และมากกว่ามันสองเท่า จากนั้นก็เรียนผ่านไปจนปีแก่ (คือผมใช้เวลาเรียน 5 ปี) ซึ่งผ่านอะไรมาเยอะ เอฟบ้าง
ดองโปรเจคไว้บ้าง เพราะเรามันไม่เก่ง จนเราเก็บวิชาจนหมดหลักสูตร แต่ติดอยู่แค่ เกรดเรายังไม่ถึงสองและ
ได้ใช้โควต้าติดโปรไปแล้วสามครั้ง ตอนนั้นผมเกรดอยู่ที่ 1.89 (ที่มหาวิทยาลัยผมนั้นจะต่ำว่า 2.00 ได้ไม่เกิน 4 เทอม)
ดังนั้นผมจึงวัดดวงที่จะเรียนตัวช่วยเพื่อปรับเกรด(ตัวช่วยคือวิชานอกหลักสูตรที่คิดว่าเขาจะช่วย)ผมลงไปสามตัว
เพราะผมมีข้อจำกัดอยู่ที่ 1.ผมเก็บตัวเรียนหมดแล้ว 2.ผมอายุ25จะ26แล้ว 3.พ่อแม่ผมก็หนี้เยอะแล้ว ผมจึงเลือก
ที่จะทำงานไปด้วยและเรียนในช่วงเย็นไปด้วย ซึ่งตอนนั้นผมได้ทำงานเกี่ยวกับสายวิศวกรรมโดยตรง ซึ่งคนที่
รับผมทำงานผมจะไม่ลืมพระคุณของเขาเลย ผมบอกเขาว่าผมเรียนไม่เก่งจะจบรึเปล่าไม่รู้ และผมได้ยินคำคำนึง
ที่ผมจำมาตลอด เขาบอกผมว่า เขาจะสอนให้ผมเป็นวิศวกรที่เป็นมืออาชีพให้ได้ เพราะนั่นเองที่ให้ผมต้องทำ
งานค่อนข้างหนัก และต้องเรียนไปด้วย และเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงสอบไฟนอลผมสอบวิชาช่วยจนหมด
โดย มีวิชา ที่จำเป็นมากๆเพื่ออนาคตจะต้องใช้ในงานจริง และสองวิชาเป็นวิชาพื้นฐาน และที่ขาดไม่ได้คือการ
สอบโปรเจคจบซึ่งผมดองไว้นาน ซึ่งผมก็สอบจนหมดจนถึงวันที่เกรดออก วันนั้นเป็นวันที่ทำให้ผมอึ้งและร้องไม่ออก
เพราะก่อนหน้านั้นผมสัมภาษณ์งาน และได้รับเข้าทำงานทั้งหมด แต่เกรดที่ออกมานั้นผมได้ 1.97 ซึ่งจะทำให้ผม
พ้นสภาพจากการเป็นนักศึกษา หรือพูดง่ายๆก็คือโดนรีไทร์ นั่นเองผมจึงเช็คและไปขอดูคะแนนและโชคดีที่หนึ่งใน
ตัวช่วยที่ลงเรียนไปนั้นอาจารย์ตรวจข้อสอบบกพร่องท่านจึงได้แก้ไข้ให้ ผมจึงมองว่าควรหาตัวช่วยโดยการไปขอ
ความช่วยเหลือจากภาควิชา เพื่อให้โปรเจคออกมาเป็น A หรือ B เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าเกรดโปรเจคจะออกเป็นอะไร
(กฏการออกเกรดของโปรเจคจบในภาควิชาของผมนั้น หากส่งตรงเทอม จะได้ A หากส่งช้ากว่าจะลดเกรดละเทอม)
ผมได้ค้างโปรเจคไว้สี่เทอมซึ่งจะทำให้ผมได้ C+ เพราะหากผมได้ C+ เกรดเฉลี่ยผมจะอยู่ที่ 1.99 ผมเลยคิดว่าผมควร
ที่จะไปขอความอนุเคราะห์จากทางภาควิชาให้ช่วย และทางภาควิชาได้เอาไปประชุม แต่ผลที่ได้คือเขาให้เราไปลง
เรียนซัมเมอร์แล้วตอนนั้นคือเลยการลงทะเบียนซัมเมอร์ไปเรียบร้อยแล้ว โดยปกติมหาวิทยาลัยผมจะไม่เปิดซัมเมอร์
หรือจะเปิดก็จะเป็นพวกวิชากลาง เช่น แมท ฟิสิก เคมี หรือวิชาที่นักศึกษาทำเรื่อง ผมจึงคิดว่าถ้าผมเรียนซัมเมอร์
มันก็จะเป็นการเพิ่มหน่วยกิต และหาเกรดที่ออกมาไม่ตรงเป้า จากที่เราต้องการ 0.01 อาจจะทำให้เกรดตกลงไปมาก
กว่าเดิมผมจึงยืนยันที่จะขอให้เขาช่วย เพราะผมมองว่า โปรเจคมันขึ้นอยู่กับการตันสินกันภายในภาควิชา ซึ่งตอนนั้น
คิดว่าคนในอาจจะช่วยได้ เพราะเราเรียนกับอาจารย์ เราทำกิจกรรมกับอาจารย์ เราเดินผ่านเราใช้ชีวิตกันมา สำหรับ
ผมนั้นผมใช้เวลา 5 ปี ซึมซับกับภาพดีๆที่มีกับภาควิชา ผมจึงรอเวลาที่เกรดโปรเจคจะออก แต่เมื่อเกรดโปรเจคออก
ผมได้ C+ ตามคาด ซึ่งทำให้ผมต้องโดนรีไทร์อัตโนมัติ ที่เกรดเฉลี่ย 1.99 ผมพูดได้เต็มปากเลยจนถึงตอนนี้ผมยังเลิก
คิดไม่ได้ ว่าแค่ 0.01 ทำไมเขาใจร้ายจัง ผมมาเรียนไม่ได้หวังใบปริญญา ผมแค่อยากเป็นวิศวกร อยากมีใบรับรอง
อยากได้ กว.เครื่องกล เพื่อเบิกทางให้ผมสานฝันต่อไปได้เพราะ ประเทศเรายังต้องพึ่งใบพวกนี้ เพราะวันนึงเราก็ฝัน
อยากจะไปเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ และมีความน่าเชื่อถือ เพราะเวลาที่ผ่านมาที่ล่ำเรียนผมพยายามปรับตัว จากเด็กช่าง
ชอบเที่ยว ชอบโดดเรียน ชอบเล่นเกม ไม่สนใจเรียน ผมปรับตัว พัฒนาความคิด ฝึกฝนให้เหมาะกับที่จะจบไปเป็นวิศวกร
แต่ผมก็ต้องลงเอยแบบนี้ ที่ผมพิมพ์เล่ามาทั้งหมดไม่ได้ได้อยากให้ใครมาช่วยหรืออะไรหรอกผมแค่อยากถามว่า ถ้าผม
หรือมีคนอื่นตกอยู่ในสภาพนี้พวกคุณจะ เพิ่ม 0.01 ให้เด็กพวกนั้นหรือไม่ และถ้าไม่ผมอยากรู้ว่าพวกคุณมีความคิด
อย่างไร ?
ขอบคุณครับ
Project Engineer.
อนาคตกับ 0.01
ผมเป็นเด็กที่หัวอ่อนมาก แต่โชคดีที่สอบติด ผมมาจากเด็กช่าง ที่ใฝ่ฝันอยากเป็นวิศวกร ซึ่งมีช่องทางที่
จะเรียนได้น้อยมาก เพราะในตอนนั้นคณะเริ่มปิดไม่รับเด็กต่อเนื่อง เพราะคงเนื่องจากเด็กช่างคงเรียนไม่ใหว
แต่ก็จริง เพราะการเข้าไปเรียนนั้นเราจะต้องเรียนรวมกับเด็ก ที่จบมาจาก ม.6 ลองนึกภาพสิครับ เด็ก ม.6
ที่ฟิตมากในเรื่องของความรู้ ส่วนเด็กช่างเรามีแต่ภาคปฏิบัติ ในช่วงเทอมแรกๆนั้นจะมีการสอบมิดเทอม
ซึ่งทำให้ผมได้รู้เลยว่า มันแตกต่างอย่างไร ระหว่างเด็กช่างกับ เด็ก ม.6 และเมื่อผ่านมิดเทอมไปนั้นผมได้
คะแนนที่โครตจะทุเรศเลยว่าได้ ไม่เกิน 5 คะแนนซักวิชา ทั้งๆที่ตอนสอบเข้าผมอยู่ในอันดับต้นๆ ทำให้ผม
มีความคิดว่านี่ใช่ที่ของเรารึเปล่า จึงทำให้ผมเริ่มคิดว่าเราควรไปต่อหรือถอยหลัง ผมจึงเก็บตัวไม่ไปเรียน
นั่งคิดอยู่กับบ้านหลายวันจนมีคำพูดจากคนแถวบ้านว่า ดูมันมาเรียนไม่เท่าไรก้อท้อละ ลองคิดดูครับเด็ก
ช่างที่มีความฝัน บวกกับการไม่ยอมเสียศักดิ์ศรี จึงคิดว่าเราควรกลับไปทำให้มันสำเร็จ บอกตามตรงผมใช้
เวลาในการปรับตัวนานมาก ล้มลุกคลุกคลาน จนอยู่ตัวแล้วเริ่มชินกับมันโดยความคิดที่ว่า เราคือคน คนสอน
เราก็คือคน คนที่เรียนกับเราก็คือคน ทำไมเราถึงทำไม่ได้ ผมเลยมองว่าเด็กเรียนมันทำไง เราต้องทำตามมัน
และมากกว่ามันสองเท่า จากนั้นก็เรียนผ่านไปจนปีแก่ (คือผมใช้เวลาเรียน 5 ปี) ซึ่งผ่านอะไรมาเยอะ เอฟบ้าง
ดองโปรเจคไว้บ้าง เพราะเรามันไม่เก่ง จนเราเก็บวิชาจนหมดหลักสูตร แต่ติดอยู่แค่ เกรดเรายังไม่ถึงสองและ
ได้ใช้โควต้าติดโปรไปแล้วสามครั้ง ตอนนั้นผมเกรดอยู่ที่ 1.89 (ที่มหาวิทยาลัยผมนั้นจะต่ำว่า 2.00 ได้ไม่เกิน 4 เทอม)
ดังนั้นผมจึงวัดดวงที่จะเรียนตัวช่วยเพื่อปรับเกรด(ตัวช่วยคือวิชานอกหลักสูตรที่คิดว่าเขาจะช่วย)ผมลงไปสามตัว
เพราะผมมีข้อจำกัดอยู่ที่ 1.ผมเก็บตัวเรียนหมดแล้ว 2.ผมอายุ25จะ26แล้ว 3.พ่อแม่ผมก็หนี้เยอะแล้ว ผมจึงเลือก
ที่จะทำงานไปด้วยและเรียนในช่วงเย็นไปด้วย ซึ่งตอนนั้นผมได้ทำงานเกี่ยวกับสายวิศวกรรมโดยตรง ซึ่งคนที่
รับผมทำงานผมจะไม่ลืมพระคุณของเขาเลย ผมบอกเขาว่าผมเรียนไม่เก่งจะจบรึเปล่าไม่รู้ และผมได้ยินคำคำนึง
ที่ผมจำมาตลอด เขาบอกผมว่า เขาจะสอนให้ผมเป็นวิศวกรที่เป็นมืออาชีพให้ได้ เพราะนั่นเองที่ให้ผมต้องทำ
งานค่อนข้างหนัก และต้องเรียนไปด้วย และเมื่อเวลาผ่านไปจนถึงช่วงสอบไฟนอลผมสอบวิชาช่วยจนหมด
โดย มีวิชา ที่จำเป็นมากๆเพื่ออนาคตจะต้องใช้ในงานจริง และสองวิชาเป็นวิชาพื้นฐาน และที่ขาดไม่ได้คือการ
สอบโปรเจคจบซึ่งผมดองไว้นาน ซึ่งผมก็สอบจนหมดจนถึงวันที่เกรดออก วันนั้นเป็นวันที่ทำให้ผมอึ้งและร้องไม่ออก
เพราะก่อนหน้านั้นผมสัมภาษณ์งาน และได้รับเข้าทำงานทั้งหมด แต่เกรดที่ออกมานั้นผมได้ 1.97 ซึ่งจะทำให้ผม
พ้นสภาพจากการเป็นนักศึกษา หรือพูดง่ายๆก็คือโดนรีไทร์ นั่นเองผมจึงเช็คและไปขอดูคะแนนและโชคดีที่หนึ่งใน
ตัวช่วยที่ลงเรียนไปนั้นอาจารย์ตรวจข้อสอบบกพร่องท่านจึงได้แก้ไข้ให้ ผมจึงมองว่าควรหาตัวช่วยโดยการไปขอ
ความช่วยเหลือจากภาควิชา เพื่อให้โปรเจคออกมาเป็น A หรือ B เพราะผมรู้ตัวเองดีว่าเกรดโปรเจคจะออกเป็นอะไร
(กฏการออกเกรดของโปรเจคจบในภาควิชาของผมนั้น หากส่งตรงเทอม จะได้ A หากส่งช้ากว่าจะลดเกรดละเทอม)
ผมได้ค้างโปรเจคไว้สี่เทอมซึ่งจะทำให้ผมได้ C+ เพราะหากผมได้ C+ เกรดเฉลี่ยผมจะอยู่ที่ 1.99 ผมเลยคิดว่าผมควร
ที่จะไปขอความอนุเคราะห์จากทางภาควิชาให้ช่วย และทางภาควิชาได้เอาไปประชุม แต่ผลที่ได้คือเขาให้เราไปลง
เรียนซัมเมอร์แล้วตอนนั้นคือเลยการลงทะเบียนซัมเมอร์ไปเรียบร้อยแล้ว โดยปกติมหาวิทยาลัยผมจะไม่เปิดซัมเมอร์
หรือจะเปิดก็จะเป็นพวกวิชากลาง เช่น แมท ฟิสิก เคมี หรือวิชาที่นักศึกษาทำเรื่อง ผมจึงคิดว่าถ้าผมเรียนซัมเมอร์
มันก็จะเป็นการเพิ่มหน่วยกิต และหาเกรดที่ออกมาไม่ตรงเป้า จากที่เราต้องการ 0.01 อาจจะทำให้เกรดตกลงไปมาก
กว่าเดิมผมจึงยืนยันที่จะขอให้เขาช่วย เพราะผมมองว่า โปรเจคมันขึ้นอยู่กับการตันสินกันภายในภาควิชา ซึ่งตอนนั้น
คิดว่าคนในอาจจะช่วยได้ เพราะเราเรียนกับอาจารย์ เราทำกิจกรรมกับอาจารย์ เราเดินผ่านเราใช้ชีวิตกันมา สำหรับ
ผมนั้นผมใช้เวลา 5 ปี ซึมซับกับภาพดีๆที่มีกับภาควิชา ผมจึงรอเวลาที่เกรดโปรเจคจะออก แต่เมื่อเกรดโปรเจคออก
ผมได้ C+ ตามคาด ซึ่งทำให้ผมต้องโดนรีไทร์อัตโนมัติ ที่เกรดเฉลี่ย 1.99 ผมพูดได้เต็มปากเลยจนถึงตอนนี้ผมยังเลิก
คิดไม่ได้ ว่าแค่ 0.01 ทำไมเขาใจร้ายจัง ผมมาเรียนไม่ได้หวังใบปริญญา ผมแค่อยากเป็นวิศวกร อยากมีใบรับรอง
อยากได้ กว.เครื่องกล เพื่อเบิกทางให้ผมสานฝันต่อไปได้เพราะ ประเทศเรายังต้องพึ่งใบพวกนี้ เพราะวันนึงเราก็ฝัน
อยากจะไปเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆ และมีความน่าเชื่อถือ เพราะเวลาที่ผ่านมาที่ล่ำเรียนผมพยายามปรับตัว จากเด็กช่าง
ชอบเที่ยว ชอบโดดเรียน ชอบเล่นเกม ไม่สนใจเรียน ผมปรับตัว พัฒนาความคิด ฝึกฝนให้เหมาะกับที่จะจบไปเป็นวิศวกร
แต่ผมก็ต้องลงเอยแบบนี้ ที่ผมพิมพ์เล่ามาทั้งหมดไม่ได้ได้อยากให้ใครมาช่วยหรืออะไรหรอกผมแค่อยากถามว่า ถ้าผม
หรือมีคนอื่นตกอยู่ในสภาพนี้พวกคุณจะ เพิ่ม 0.01 ให้เด็กพวกนั้นหรือไม่ และถ้าไม่ผมอยากรู้ว่าพวกคุณมีความคิด
อย่างไร ?
ขอบคุณครับ
Project Engineer.