ได้เวลาแห่งการรีบูทอีกครั้งในปี 2015 การกลับมาของ “Fantastic Four” เหล่าฮีโร่ที่มีพลังพิเศษกันคนละแบบ ย้อนไปสู่วัยรุ่นที่มีความหลังมากกว่าที่เคยรู้กัน หนังเล่าย้อนไปถึงวัยเด็กของเพื่อนรักสองคน ริชาร์ดส รี้ด (Miles Teller) ที่เป็นอัจฉริยะตั้งแต่เด็ก เขาวาดฝันว่าจะต้องเป็นคนแรกที่สามารถเทเลพอร์ตไปยังที่อื่นได้ เขาคิดค้นมันจนเป็นผลสำเร็จตั้งแต่วัยเยาว์ กับเพื่อนรักอย่าง เบน กริมม์ (Jamie Bell) แม้ว่าจะไม่ค่อยได้รับการสนับสนุนจากอาจารย์ผู้สอน แต่ก็มีคนที่เล็งเห็นคุณค่าจากงานวิจัยของเขา
และคนๆ นั้นคือ ดร.แฟลงคลิน สตอร์ม (Reg E. Cathey) นั่นเอง
แต่การคิดค้นที่สัมฤทธิ์ผลกำลังนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง เมื่อพวกเขาเลือกจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่อง และนำพาไปสู่โลกที่ไม่มีใครรู้จัก ที่นั่นทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงไปเป็น “อย่างอื่น”
แรกเริ่มต้นเรื่อง เหมือนว่าหนังจะดูเข้าทีที่เลือกเล่าปูมหลังของตัวละครสำคัญ แต่พอนานไป กลับยิ่งรู้สึกว่าหนังไม่ได้ให้ความบันเทิง(ในฐานะของหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความสามารถพิเศษเกินมนุษย์มนาควรจะมี)เท่าที่ควร หากเอาแต่ขับเน้นแง่มุมด้านไซไฟมากเสียจนสูญเสียด้านอื่นไป
หนังให้เวลากับการปูเรื่องมากจนเกินพอดี เมื่อทุกอย่างดูราบเรียบมาตลอดเพื่อลุ้นระทึกช่วงท้ายเพียงช่วงเดียว มันจึงดูเป็นช่วงเวลาที่สั้นไปสำหรับคอหนังซูเปอร์ฮีโร่
และนี่คือจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้
แฟนแทสติก โฟร์ |
http://bit.ly/1JNwB4n
[SR] ## ความเห็นหลังชม - Fantastic Four (2015) -- รักผมแค่นี้เองรึ ##
และคนๆ นั้นคือ ดร.แฟลงคลิน สตอร์ม (Reg E. Cathey) นั่นเอง
แต่การคิดค้นที่สัมฤทธิ์ผลกำลังนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลง เมื่อพวกเขาเลือกจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในเครื่อง และนำพาไปสู่โลกที่ไม่มีใครรู้จัก ที่นั่นทำให้พวกเขาเปลี่ยนแปลงไปเป็น “อย่างอื่น”
แรกเริ่มต้นเรื่อง เหมือนว่าหนังจะดูเข้าทีที่เลือกเล่าปูมหลังของตัวละครสำคัญ แต่พอนานไป กลับยิ่งรู้สึกว่าหนังไม่ได้ให้ความบันเทิง(ในฐานะของหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มีความสามารถพิเศษเกินมนุษย์มนาควรจะมี)เท่าที่ควร หากเอาแต่ขับเน้นแง่มุมด้านไซไฟมากเสียจนสูญเสียด้านอื่นไป
หนังให้เวลากับการปูเรื่องมากจนเกินพอดี เมื่อทุกอย่างดูราบเรียบมาตลอดเพื่อลุ้นระทึกช่วงท้ายเพียงช่วงเดียว มันจึงดูเป็นช่วงเวลาที่สั้นไปสำหรับคอหนังซูเปอร์ฮีโร่
และนี่คือจุดอ่อนของหนังเรื่องนี้
แฟนแทสติก โฟร์ | http://bit.ly/1JNwB4n