เย้!! กลับมาอีกแล้ว กลับมาคราวนี้ จะพาไปสัมผัสบรรยากาศชิลๆ ในสายฝน สายหมอก สายฝน สายหมอก วนอยู่แบบนี้ทั้งวันทั้งคืนกันที่ จังหวัดกาญจนบุรี ใกล้ๆนี่เองแป๊บเดียวก็ถึง

จขกท.เองตั้งใจไว้ว่าอยากจะไปที่นี่กันมานานแล้วแต่ยังหาวันหยุดจริงๆจังๆไม่ได้สักที จนกระทั่ง ช่วงเวลาที่มีค่าดั่งทองก็มาถึง 30 ก.ค.-1 ส.ค. 3 วัน 2 คืน นานพอที่จะให้เราไปเที่ยวกาญจนบุรีได้แบบเต็มที่ จขกท.เองก็ไม่รอช้า จองที่พักแล้วก็บิดหมดปลอกไปกาญกันเลยยย ยู้วหู้วว

เช้ามืดของวันที่ 30 กรกฎาคม 2558 นัดหมายกับโชเฟอไว้ว่า ล้อหมุน 5.30 น. นะ โชเฟอมาตรงเวลามาก พอมาถึงก็ออกเดินทางกันเลย เราออกเดินทางจากสมุทรปราการ โดยใช้ถนนเส้นสุขุมวิท-พระประแดง-สุขสวัสดิ์-วงเวียนใหญ่-เพชรเกษม ไปจนถึง นครปฐม-บ้านโป่ง-แล้วเข้าตัวเมืองกาญจนบุรี เช้าแล้วเราก็แวะพักรถกันที่สะพานข้ามแม่น้ำแคว


จากนั้นก็ออกเดินทางกันต่อ จุดหมายยังอีกยาวไกล สักพัก เราก็แวะอีกแล้ว น้ำตกไทรโยคน้อยจ้า คนยังไม่เยอะ เพราะยังเช้าอยู่ แวะเข้าไปเก็บภาพนิดๆหน่อยๆ



ข้าวเช้ายังไม่ได้กินกันเลย งั้นก็แวะกินข้าวเช้ากันที่ไทรโยคเลยละกันมองไปฝั่งตรงข้ามมีหลายร้านเลย เราเลือกร้านนี้เพราะคนน้อยไม่ต้องแย่งกันไม่ต้องรอนาน


จัดส้มตำมื้อเช้ากันไปเลย แสบตรูดแน่นอน จริงๆแล้วมีต้มแซ่บกระดูกอ่อนอีกถ้วยนึงแต่เราหิวเลยไม่ได้ถ่ายกัน

พอกินเสร็จเช็คบิลด้วยความที่ว่าเราไม่ได้ถามราคาอาหารตั้งแต่ก่อนเข้าร้าน ส่วนตัวเราคิดว่าอาหารเขาราคาสูงไปนิดนึง แต่ก็ต้องเข้าใจเพราะตรงนั้นคือสถานที่ท่องเที่ยว ช่างเถอะ บิดกุญแจแล้วไปต่อ บื้นนนนนนนนนนนนนนน

ไม่นานก็เข้าสู่อำเภอทองผาภูมิ  เมฆลอยต่ำมาก อากาศก็เย็นๆชื้นๆ  

ฝนตกจนได้

ดีนะที่เราเอาเสื้อกันฝนมาคนละชุด ฝนไม่ได้ตกแรง เลยขี่มาได้เรื่อยๆ ในที่สุด เราก็เลี้ยวซ้ายไปบ้านปิล๊อกกันแล้ว เห็นถนนไม่อยากจะsay เป็นแบบที่เขาเล่าสืบขานมาช้านานจริงๆ ควรใช้ความระมัดระวังในการขับขี่นะคะ หลุมมันโผลมาให้สะดุ้งสะเทือนยันไต

ระยะทางไปบ้านอิต่อง ประมาณ 30 กิโลเมตร เราใช้เวลาขี่จากปากทาง ระยะเวลา 1 ช.ม. นิดๆ
แวะพักที่จุดชมวิว อากาศดีมากๆชื่นใจจริงๆ เห็นเขื่อนวชิราลงกรณ์ ไกลๆ

อุ่ยยย เค้าเอง 555

เก่งจริงๆเลยน้องซีบี ไม่งอแงเลย เยี่ยม!!!

และในที่สุดเราก็มาถึงปิล๊อกแล้วจ้า โห้ยย หายเหนื่อย เห็นแล้วมั่นชื่นใจ ช่วง 2 กิโล ก่อนถึงปิล๊อก เป็นทางลาดยางอย่างดีเลยคะ คาดว่าอีกไม่นานเราคงไปปิล๊อกกันง่ายขึ้น ไม่สะเทือนไตแล้ว

เราจองที่พัก อาร์ม โฮมสเตย์ ไว้ นอน 2 คน ราคาคืนละ 800 บาท สะอาดมากเจ้าของเป็นกันเองมากๆเลยคะ


มีบริการเครื่องดื่มฟรีนะคะ น้ำแร่บ้านอิต่องก็ฟรี เย็นชื่นใจมากๆ

ห้องนอนคะ ห้องนี้น่าจะชื่อห้องวุลแฟลม

บริเวณหน้าทางเข้า

จากนั้นเราก็เช็คอินเข้าที่พักเป็นเวลา 13.00 น. อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วออกไปซิ่งกันต่อที่เนินเสาธงคะ เป็นจุดที่ติดกับชายแดนไทย-พม่า


ถึงแล้วเนินเสาธง เมฆเยอะมากๆเลยคะ มองไม่เห็นวิวทิวทัศน์อะไรเลย ฝนตกปรอยๆเป็นละออง

นั่งพักจนหายเหนื่อยก็ลงเขาไปขึ้นเขาอีกลูกเพื่อไปจุดชมวิวเนินช้างศึก จะอยู่ห่างจาก บ้านอีต่อง ประมาณ 3 กิโลเมตร ทางมันค่อนข้างโหดคะ เป็นหลุมโคลนเยอะมากๆแล้วด้านข้างก็เป็นเขา ถ้าตกลงไปนี่ เจ็บแน่นอน


ขึ้นไปแล้วมองไม่เห็นอะไรเลยจ้า ขาวไปหมด 360องศา

นั่งอยู่ประมาณ 1 ชม หนาวก็หนาว ไม่มีวี่แววว่าจะเห็นวิว เลยตกลงกับโชเฟอว่าไปเหอะ พรุ่งนี้ค่อยมาใหม่มาเช้าๆเผื่อฟ้าเปิด

ได้เวลาอาหารเย็นแล้ว

คือจริงๆแพลนเราจะกินปู แต่ก็แบบเฮ้ย ยังไม่ค่อยอยากเลย เก็บไว้กินตอนเช้าละกัน
เย็นนี้เลยได้ กระเพราหมูสับ+ข้าวผัด+ต้มจืด อิ่มสบายๆ ไม่หนักมากเพราะว่าเย็นแล้ว ที่ครัวสุดแดน


ชอบเจ้านี่มาก หมาเฟรนชบลูด๊อก ตัวอ้วนจั๊มมั่มจอมเจาะแจ้ะ เห็นแล้วคิดถึงมากเลย

1 ทุ่ม ก็มืดแล้ว ไม่มีอะไรทำ เลยซื้อเบียร์มากินกับโชเฟอในห้องดูทีวีสบายใจ

*** ตื่นแล้ว 6.30 รีบอาบน้ำแต่งตัว ไปเนินช้างศึกกัน ทางเละมากเหมือนเคยๆ

แต่พอขึ้นไปถึง....สิ่งที่เรารอคอยมันคุ้มค่ามากเลยคะ ฟ้าเปิด แบบเปิดจริงๆ อากาศเย็นสดชื่นมาก



มองมาจากข้างบนเห็นบ้านอิต่องด้วย


หลังจากชมวิวกันแบบอิ่มอกอิ่มใจ เราก็ลงมาต่อมื้อเช้ากันที่ครัวเจ๊นี และจัดปูผัดผงกะหรี่ไป1จาน สนนราคาที่ 190 บาท ครึ่งกิโล
อร่อยมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆ พร้อมไข่เจียวหมูสับ 60 บาท

ใจจริงอยากไปหาป้าเกล็นมาก แต่ต้องไปต่ออีก 5.1 กิโลเมตร ระยะทางจะโหดกว่ามาก แต่เราต้องทำเวลาเพราะต้องไปสังขละต่ออีกในตอนสายๆ เราเองก็ไม่รู้มาก่อนเลยว่า บ้านอิต่องก็มีเค้กป้าเกล็นเหมือนกัน ไม่ต้องลงไปถึงเหมืองสมศักดิ์ จัดไป 1 ชิ้นพร้อมโอวัลตินร้อนๆหลังอาหารเช้า ฟินมาก ชิ้นละ 60 บาท อร่อยๆ


หลังจากกินเค้กเสร็จ เราได้ทำการบอกเจ้าของบ้านว่าไปแล้วนะคะ แล้วก็โบกมือลาบ้านอิต่อง มุ่งหน้าไปต่ออีก 115 กิโลเมตร สังขละบุรี
ขอโทษด้วยที่ระหว่างทางไม่ได้ถ่ายรูปเลยคะ มัวแต่โม้กับโชเฟอจนลืมถ่ายรูปเลย
เราออกจากปิล๊อก 10.30 น. ถึงสังขละเวลา 14.00 น. มัวแต่แวะเรื่อยเปื่อยไปเรื่อยเลยมาถึงช้า

คืนนี้เรานอนที่ ต้องตะวันรีสอร์ทคะ บ้านที่เรานอนเป็นบ้านบนต้นไม้ มีแค่หลังเดียวนอนได้ 2 คน ราคาคืนละ 700 บาท โลวซีซั่น 500 บาท อยู่สูงประมาณตึก 3 ชั้น มีโต๊ะให้นั่งกินลมชมวิวรอบๆ บรรยากาศดีทีเดียว ให้อารมณ์เหมือนนอนในป่าจริงๆ แต่ห้องน้ำเล็กมาก

หิวแล้วต้องออกไปหาอะไรกิน ในตลาดมีร้านหมูจุ่มเจ้าดัง ไม้ละ1บาท ควรเปลี่ยนชื่อเป็นเครื่องในจุ่ม เพราะมันไม่มีเนื้อเลย อยากรู้อร่อยมั้ยต้องไปลองเองนะ

เราออกไปเที่ยวชายแดนด่านเจดีย์สามองค์กันในวันนั้นเลย จากสังขละขับรถไปอีก 19 กิโลเมตร และมีด่านตรวจตลอดทางประมาณ 3-4 ด่าน

บริเวณนั้นมีของขายหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นเฟอร์นิเจอจากไม้ พลอยพม่า ทานาคา เหล้า เบียร์ บุหรี่



จัดเบียร์พม่า มาเลยก่อนนอนหลับสบาย 35 บาท รสชาติก็...เบยลาวอร่อยกว่านะ 555 ดึกแล้ว นอนๆๆ

ตื่นเช้ามารีบอาบน้ำแต่งตัวไปทำบุญแต่เช้าที่แลนด์มาร์คสังขละบุรี สะพานมอญ



และนี่ นักกระโดดน้ำในตำนาน วางตังปุ๊บโดดปั๊บ

โดดละนะ

ตักบาตรฝั่งมอญ คนเยอะมากเลย

โซ้ยหมูปิ้ง หิวมากๆๆ

ถึงเวลาออกเดินทางกลับแล้ว เราออกเดินทางจากสังขละกลับเข้ามาตัวเมืองตอนเวลา 10.30 น. เพื่อที่จะได้มีเวลาเที่ยวระหว่างทางด้วย และเราก็แวะเที่ยวเขื่อนวชิราลงกรณ์

แล้วเราก็ไปวะ อีกที่นึง ที่สุดท้ายของทริป แวะแช่เท้าให้หายเมื่อยกันที่ น้ำพุร้อนหินดาด


- ปิล๊อกเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่อยู่กันแบบเงียบสงบมากๆ คนไม่เยอะ อาจเป็นเพราะเส้นทางในการเดินทางค่อนข้างลำบาก สถานที่เหมาะกับการพักผ่อนมากจริงๆ
- สังขละยังคงความเป็นตัวเองได้อย่างดี วัฒนธรรมประเพณียังคงไว้เหมือนก่อน แต่ด้วยความเจริญที่เข้ามาเยือน อาจไม่ค่อยเงียบสงบเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้นเอง

เช็คบิล เช็คบิล !!! 3 วัน 2 คืน
- ค่าที่พักอาร์มโฮมสเตย์ ปิล๊อก 1 คืน 800 บาท
- ค่าที่พักต้องตะวันรีสอร์ท สังขละ 1 คืน 700 บาท
- ค่าน้ำมันเจ้า CB300F 1,000 บาท ไป-กลับ 1,026 ก.ม.
- ค่าอาหารที่ไทรโยค 310 บาท
- ค่าอาหารเย็นที่ครัวสุดแดนปิล๊อก 270 บาท
- ค่าอาหารเช้าครัวเจ๊นีปิล๊อก 270 บาท
- ค่าจุกจิกซื้อของฝากเรื่อยเปื่อย 1,000 บาท
รวม 4,350 บาท