บทที่ 3
เสียงสัญญาณในโรงเรียนดังขึ้นติดต่อกันสามครั้งบอกให้นักเรียนรู้ว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว และถึงเวลาที่จะได้เล่นกับเพื่อนๆโดยไม่ต้องคอยกังวลกับเวลาที่ต้องเข้าห้องเรียนอีก
กลุ่มนักเรียนชายสี่ห้าคนวิ่งไล่จับกันตามอาคารเรียนไม้อย่างสนุกสนาน และถัดไปเป็นกลุ่มนักเรียนหญิงที่นั่งล้อมวงเล่นหมากเก็บโดยทำเป็นไม่สนใจนักเรียนชายที่แกล้งทำเป็นวิ่งมาชน แกล้งมาแหย่เล่น
นักเรียนหญิงคนไหนกล้าๆหน่อยก็ถึงกับขว้างรองเท้าใส่ด้วยความโมโหและแถมคำต่อด่าไปอีกหลายชุดใหญ่ จนทำให้นักเรียนชายกลุ่มนี้ต้องย้ายที่เล่นออกไปไกลหน่อย แต่ก็ยังไม่ไกลพอที่จะหลบหมากเก็บที่นักเรียนหญิงพร้อมกันโยนใส่ด้วยความโกรธแค้น หลังจากนักเรียนชายคนหนึ่งล้มลงตรงกลาง กระดานหมากเก็บของเหล่านักเรียนหญิง
บู๊ลิ้มหรือเด็กชายอภิวัฒน์ ปัญญาวงศ์ เดินผ่านกลุ่มนักเรียนชายหญิงไป ด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์และเบื่อหน่าย ตั้งแต่เขาเรียนที่โรงเรียนนี้เขาไม่เคยย่างก้าวเข้าห้องสมุดเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้มันเป็นวันโลกแตกสำหรับเขาจริงๆขึ้น ม.หนึ่งได้แค่สองวัน แต่ต้องได้เข้าห้องสมุดและจัดหนังสือให้เรียบร้อย แค่คิดเขาก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอก และนั่นก็คงเป็นความคิดที่เป็นไปไม่ได้ แล้วตอนนี้เขายังต้องมาเจอข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนราวดอกเห็ดกับการที่เขาพ่ายแพ้อย่างย่อยยับให้กับนักเรียนหญิงที่มาใหม่ การพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้เขาต้องขายหน้าไปหลายวันเลยก็ว่าได้
“นั่นไง ไอ้บู๊ลิ้มที่โดนสาวสวยอย่างฟ้างามต่อยซะเละเลย ดูหน้ามันซิซ้ำทั้งหน้า ฮ่าฮ่า” กลุ่มนักเรียนชายที่วิ่งไล่จับกันพูดล้อเลียนทันทีเมื่อเห็นผู้พ่ายแพ้เดินผ่านมา พร้อมกับแสร้งทำหน้าทำตาเจ็บปวด คนหนึ่งแกล้งเป็นคนต่อยหน้าเพื่อนอีกคนก็แกล้งคุกเข่าอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา
“เห็นว่านะยายคนสวยนั่นทั้งแทงเข่า ศอกและแถมด้วยจระเข้ฟาดหางด้วยนะ ยายคนสวยนั่นเก่งเป็นบ้าเลย” อีกหนึ่งเสียงเสริมขึ้นมาทันที
“พ่อเธอเป็นแชมป์มวยเวทีลุมพินีห้าสมัยเลยนะ บ้านเธอเปิดค่ายมวยด้วยอย่างได้เข้าใกล้เชียว ยัยฟ้างามเป็นบุคคลอันตราย” และอีกเสียงก็เสริมขึ้น
บู๊ลิ้มยังคงเดินต่อแบบไม่สนใจต่อคำล้อเลียนที่ออกจะเกินจริงไปเยอะเลย และแอบส่งสายตาอาฆาตต่อกลุ่มนักเรียนชายเหล่านั่น และนักเรียนกลุ่มชายนั่นต่างก็ต้องหลบหลีกตาสายอาฆาตแค้นคู่นั่น
แต่ก็ยังไม่หมดยังต้องมาเผชิญกับกลุ่มนักเรียนหญิงที่นั่งเล่นหมากเก็บพวกเธอมองเขาด้วยความสะใจ แต่ก็มีบางคนที่ส่งสายตาสงสารให้เขา เด็กหญิงผมสั้นหน้าม้าใบหน้ากลมป่องเหมือนซาลาเปาที่นั่งอยู่ริมสุดขอบทางเดิน มองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงดวงตาเริ่มแดงนิดๆเหมือนจะร้องไห้
และเขาก็ได้แต่คิดว่ายายนี่คงดีใจมากที่ เขาโดนต่อยซะเละทั้งหน้าจนขนาดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เลย
บู๊ลิ้มเดินผ่านนักเรียนชายหญิงด้วยใจที่หดหู่ การถูกหยาบเกียตริลูกผู้ชายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ เขารีบเร่งฝีเท้าเดินผ่านกลุ่มคนที่ส่งเสียงหัวเราะตลอดทาง หวังเพียงให้ถึงห้องสมุดโดยเร็วที่สุดที่นี้อาจเป็นที่เดียวที่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแน่นอน
“ไงจ๊ะ พ่อคนเก่ง” เสียงเย้ยหยันแสบแก้วหู กระทบเข้าที่โซนประสาทหูของเขาพร้อมกับการกระโดดเข้ามาขวางทางเดิน
“หลีกไปยายใบบัวเน่า” บู๊ลิ้มพูดด้วยความโมโหไม่มีอารมณ์อยากจะต่อกรกับใครในเวลานี้
“ท่าทางนายจะเจ็บมากซินะ ฮ่าฮ่า นี่แหละที่เขาว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” ใบบัวหัวเราะเยาะอย่างสะใจ
“อย่ามาสำบัดสำนวนหน่อยเลย ยายขี้ขโมย”
“ขี้ขโมย ไหน ไหนล่ะหลักฐานที่กล่าวหาฉันว่าเป็นขี้ขโมย” ใบบัวแสร้งทำเป็นแบมือไปมา พร้อมกับหมุนตัวเหมือนคนที่กะจะโชว์หุ่นให้ดู
“หลีกไปยายขี้ขโมย” บู๊ลิ้มใช้มือผลักไหล่ขวาของใบบัวจนเธอเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วใบบัวก็รีบเดินหนีอย่างรวดเร็วก่อนที่ตัวเองจะเจ็บตัวไปมากกว่านี้
“ไว้ฉันจะให้หัวหน้ามาจัดการนาย” เธอตะโกนตาหลังเขาพร้อมแลบลิ้นใส่เขา
หัวหน้าที่ยายใบบัวพูดถึงคงหมายถึงฟ้างามซินะ แล้วยัยฟ้างามรู้ตัวหรือเปล่าน่าว่าได้เป็นหัวหน้ายัยใบบัวเน่าไปเรียบร้อยแล้ว หรือว่ายัยฟ้ามืดเต็มใจเป็นนะ บู๊ลิ้มได้แต่เดินครุ่นคิดคนเดียวในใจกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น และต่อว่าตัวเองอีกชุดใหญ่ที่ยอมอ่อนข้อให้นักเรียนใหม่คนนี้จนตัวเองต้องเจ็บตัว
ที่จริงเขาสามารถต่อยเธอกลับได้สบายแต่เขากลับไม่ทำ เขาไม่กล้าทำร้ายเธอด้วยซ้ำยอมทนเจ็บให้เธอรุมฝ่ายเดียวซึ่งนั่นก็ไม่รู้ทำไมถึงยอมขนาดนั้น ถ้าเป็นใบบัวเขาคงซัดยายนั่นสลบไปแล้ว เมื่อยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเกาหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องยอมสูญเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายที่ไม่ยอมใครง่ายๆอย่างเขา แต่กลับยอมให้ฟ้างามคนนี้แบบไม่รู้ตัวเลย
“มาแล้วเหรอ เข้ามานี่” ครูวันนาที่ยืนรอหน้าห้องสมุดตะโกนเรียกเขาทันทีเมื่อเห็นนักเรียนตัวแสบที่เดินเกาหัวตัวเองจนจะกลายเป็นรังนกไปแล้ว
“นายอภิวัฒน์ ผมยาวแล้วไปตัดผมให้เรียบร้อยนะ”ครูวันนานตักเตือนลูกศิษย์เมื่อเห็นว่าผมเขายาวเกินเกณฑ์ที่กำหนดของโรงเรียน
“แล้วฟ้างามล่ะ ทำไมไม่มาพร้อมกัน ฟ้างามหายไปไหนนี่” ครูวันนาบ่นพรืมพร่ำคนเดียว
“ไม่ทราบครับ” บู๊ลิ้มตอบด้วยนำเสียงอ่อยๆ ตอนนี้เขาไม่อยากเจอคนที่ทำให้เขาต้องมีอารมณ์หดหู่เช่นนี้
“มานั้นแล้ว” ครูวันนาพูดขึ้นเมื่อเห็นลูกศิษย์คนใหม่เดินมาด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
“เธอควรจะยิ้มนะครูไม่อยากให้ลูกศิษย์ของครูต้องเศร้าใจแบบนี้ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นอดีต เธอควรยิ้มรับวันใหม่ๆ” ครูวันนาสาธยายคำปลอบโยนลูกศิษย์คนใหม่ จนฟังดูเหมือนแสร้งแกล้งพูดไป ในขณะที่พูดฟังก็ทำหน้าเศร้าสลดในดวงตามีประกายน้ำที่พร้อมจะไหลออกจากตาได้ทุกเมื่อ
บู๊ลิ้มเองได้แต่ขมวดคิ้วมองทั้งสองคนไปมาด้วยสายตางงๆปนสงสัย
“หนู หนู” ฟ้างามพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“เธอไม่ต้องตัดผมหรอกนะ ไม่มีใครบังคับเธอให้ตัดผมอีกแล้ว”ครูวันนาใช้มือลูบศีรษะลูกศิษย์ตัวน้อยอย่างเอ็นดู
“หนูขอบคุณคุณครูมากเลยนะคะที่เข้าใจหนู” ฟ้างามยกมือไหว้ครูวันนาอย่างสวยงาม
ฉากการพูดคุยกันระหว่างคุณครูกับลูกศิษย์คนใหม่ ทำให้คนที่ยืนฟังอยู่ข้างๆถึงกับขมวดคิ้วเพิ่มเป็นสองเท่าด้วยความมึนงงเพิ่มอีกสิบเท่า เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้
“เอาล่ะ ได้เวลาที่เธอสองคนต้องทำงานแล้ว” ครูวันนาเดินนำลูกศิษย์ทั้งสองเข้าห้องสมุดที่ตอนนี้แทบจะไม่มีคนอยู่ในห้องสมุดเลยแม้แต่คนเดียว
ครูวันนาเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะยืมคืน ที่มีกองหนังสือห้าถึงหกกองตั้งเป็นแถวสูงเด่นอยู่บนโต๊ะ แล้วหันมาสั่งงานลูกศิษย์
“หน้าที่ของพวกเอคือจัดหนังสือพวกนี้เข้าชั้นวางให้เรียบร้อยและให้ตรงตามหมวดหมู่ด้วยนะ” ครูวันนาเริ่มสั่งงานลูกศิษย์อย่างมีความสุข
“ครูจะให้พวกเราทำทั้งหมดนี่เลยหรือครับ” ผู้ประท้วงคนที่หนึ่งโต้ทันควัน
“ใช่จ๊ะ ทั้งหมดนี่เลย” ครูวันนาตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสจนน่าหมั่นไส้
“แต่ครูค่ะ มันเยอะมากเลยนะคะ” ผู้ประท้วงคนที่สองหันมองกองหนังสือด้วยความตกใจ
“นี่แหละเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเธอถึงต้องมาจัดการให้มัน
เรียบร้อย” ครูวันนาเน้นคำว่าเรียบร้อยเป็นพิเศษ
“เอาเป็นว่าเข้าใจดีแล้วนะ ห้าโมงเย็นพวกเธอกลับบ้านได้และทุกวันพวกเธอต้องมาจัดหนังสือพวกนี้ให้เข้าที่ ตามที่บอกแล้วครูจะมาตรวจ หมดเรื่องแล้วครูไปล่ะมีปัญหาอะไรก็ไปตามครูที่ห้องทำงานนะ ครูยังทำงานอยู่” พูดเสร็จครูวันนาก็เดินออกจากห้องสมุดไป ปล่อยให้คู่กรณียืนจ้องมองหนังสือด้วยสายตาแห่งความสิ้นหวัง
“อ่อ ครูลืมบอกไปอย่างหนึ่ง ขอเพียงคนยังมีชีวิตอยู่ก็สมควรยิ้มออก ขอเพียงสามารถยิ้มออก ก็สมควรยิ้มให้มากไว้” ครูวันนาร้องบอกผ่านประตูหน้าห้องสมุด
“ครูพูดอะไรนะครับ” บู๊ลิ้มร้องถามอย่างสงสัย
“ดาบมรกตของโก้วเล้ง พวกเธอสามารถหามันได้จากห้องสมุดนี้” ว่าแล้วครูวันนาก็เดินจากไปพร้อมเสียงร้องเพลงที่ดังก้องทั่วอาคารเรียน
“การได้ลงโทษศิษย์คือความสุขอย่างหนึ่งของคุณครู”
“อย่าบ่นมากทำงานเร็วเข้า ไอ้หน้าปลาดุก” ฟ้างามออกคำสั่ง
“ใครหน้าปลาดุก” บู๊ลิ้มรีบโต้แย้งทันที
“ก็นายนั่นแหละ ในห้องนี้มีแค่ฉันกับนาย นายคงไม่คิดว่าฉันจะพูดกับผีที่ไหนหรอกนะ” พูดเสร็จฟ้างามก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ แสร้งเปิดดูหนังสือไปมาเหมือนกับว่ามันเป็นหนังสือเล่มโปรดของเธอ โดยที่ไม่สนใจอีกคนที่ทำหน้าบูดบึ้งไม่พอใจสุดๆ
“นั่นเธอทำอะไร” บู๊ลิ้มร้องถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตัวสบายเหมือนคนที่ตั้งใจอ่านหนังสือมากกว่าจะคิดทำงาน
“นั่งดูนายทำงานไง” เธอตอบไม่คิดที่จะเงยหน้ามองคนถาม สายตายังคงจับจ้องที่หนังสือ
“ว่าไงนะ นี่ยัยคุณหนูตัวแสบอย่ามาว่าท่าเอาเปรียบคนอื่นหน่อยเลย ครูลงโทษเราสองคนเธอก็ต้องมาจัดหนังสือให้เสร็จ” ฟ้างามไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูดยังคงก้มหน้าก้มตาดูหนังสืออย่างตั้งใจ
“ยัยฟ้ามืด ฟังให้ดีนะไม่ว่าเธอจะใช้วิธีอะไรก็ตามออดอ้อนครูทั้งโรงเรียนยอมให้เธอไว้ผมยาวต่อไป แต่เรื่องนี้เธอเชื่อเถอะครูวันนาไม่ยอมแน่ และเธออาจจะได้ไปล้างห้องน้ำแทน คุณหนูว่าแบบนี้ดีมั้ยครับ”ประโยคตอนท้ายเขาทำเสียงอ่อนหวานให้ฟังดูน่ารักที่สุด ก่อนจะเลิกคิ้วให้เธออย่างมีเลศนัย ฟ้างามเม้นปากตัวเองพยายามไม่ต่อปากกับเขา แล้วก็ปิดหนังสือที่อยู่ในมือลงอย่างแรงก่อนจะเดินไปที่กองหนังสือกองใหญ่ด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
“ยิ้มหน่อยซิครับคนสวย”
“หุบปากไปเลยก่อนที่ฉันจะอัดนายให้เละเป็นโจ๊ก”
“นี่ก็เละจะตายแล้ว” เขายื่นหน้าตัวเองเข้ามาใกล้กับใบหน้าของเธอ พลางกับเอียงหน้าซ้ายทีขวาทีอย่างกวนๆ
“ยัง ยังไม่เละพอมันต้องแบบนี้” ว่าแล้วเธอก็หยิบหนังสือสารานุกรมเล่มใหญ่ หวังจะฟาดเข้าที่หน้าของเขา แต่ก็ช้าไปเขากระโดดหลบได้ทัน
“ผมว่าเราสงบศึกก่อนดีไหม เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับบ้านกันพอดี” เขาชายตามองกองหนังสือที่ตั้งสูงจนจะล้นหัวพวกเขาด้วยแววตาที่เหนื่อยอ่อนทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มงานเลยด้วยซ้ำ ส่วนเธอก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ เธออยากกลับบ้านใจจะขาดแล้ว
“ท่องโลกกว้างไปกับไอสไตน์” บู๊ลิ้มหยิบหนังสือที่มีรูปชายแก่ผมขาวหนวดขาวยาวรกรุงรัง
“หมวดสังคมศึกษาแน่เลย”แล้วเขาก็โยนมันไปกองที่พื้น
“นี่นายจะบ้าเหรอไอสไตน์อยู่หมวดสังคมศึกษาได้ไง ต้องอยู่หมวดวิทยาศาสตร์ต่างหาก โง่จริงๆเลย” แล้วฟ้างามก็หยิบขึ้นมาโยนมันไปกองกับหนังสือวิทยาศาสตร์ที่เธอแยกไว้แล้ว
“ความรู้รอบตัว หมวดเพศศึกษา” เขากำลังโยนไปกองกับหนังสือที่เขาเลือกไว้ว่าถูกต้องที่สุดแล้ว
“เอามานี่” ฟ้างามรีบกระชากหนังสือมาจากมือเขา “มันต้องอยู่หมวดเบ็ดเตล็ด” ฟ้างามพูดด้วยความหงุดหงิด และเริ่มที่จะรำคาญเพื่อนร่วมงานเต็มที
“ความสุขของกะทิ ฮ่าฮ่า” บู๊ลิ้มหัวเราะเสียงดังเมื่ออ่านชื่อหนังสือ
“ต่อคงจะมีความสุขของกะทิน ความสุขของกะปิ และความสุขของกะละมัง หมวดอาหารไทยแน่นอนชัวร์ป้าด!!!! ” เขาเลิกคิ้วให้เธอย่างมั่นอกมั่นใจ ใบหน้าอมยิ้มอย่างมีความสุขในขณะที่ฟ้างามมองอย่างเวทนาในสมองที่ไม่ได้เรื่องของเขา
“ถามจริงนายเคยเข้าห้องสมุดบ้างไหมเนี่ย”
“ไม่เคย นี้ครั้งแรก”
“อ่อ ฉันก็ว่างั้นล่ะหัวนายนี่สงสัยมีไว้ให้ผมขึ้นอย่างเดียว” เธอรีบดึงหนังสือจากมือเขาแล้ววางลงที่หมวดนิยายเรื่องสั้นที่เธอเรียงไว้อย่างสวยงาม
“ดาราศาสตร์ ดาราบังเทิงชัวร์” เขาโยนมันไปกองกับหนังสือการ์ตูนนิตยสารวัยรุ่น
“นายทำอะไรนะ”
“ก็กำลังแยกหนังสืออยู่ไง ไม่เห็นเหรอ”
“ฉันถามว่านายเอาหนังสือดาราศาสตร์ไปปนกับหนังสือการ์ตูนได้ไง”
“ชื่อมันก็บอกอยู่ว่าดารา มันก็ต้องเกี่ยวกับบันเทิงนะซิ โง่เปล่าเนี้ย”
“ฉันเชื่อจริงๆแล้วว่า หัวนายคงมีไว้สำหรับให้ผมขึ้นอย่างเดียว” เธอก้มหยิบหนังสือดาราศาสตร์ขึ้นมาแล้ววางมันไว้กับหนังสือไอสไตน์ขณะที่เขามองเธอย่างงุนงง
นิยายรัก....พลิกร้ายให้รักลงล็อก บทที่ 3
เสียงสัญญาณในโรงเรียนดังขึ้นติดต่อกันสามครั้งบอกให้นักเรียนรู้ว่าได้เวลากลับบ้านแล้ว และถึงเวลาที่จะได้เล่นกับเพื่อนๆโดยไม่ต้องคอยกังวลกับเวลาที่ต้องเข้าห้องเรียนอีก
กลุ่มนักเรียนชายสี่ห้าคนวิ่งไล่จับกันตามอาคารเรียนไม้อย่างสนุกสนาน และถัดไปเป็นกลุ่มนักเรียนหญิงที่นั่งล้อมวงเล่นหมากเก็บโดยทำเป็นไม่สนใจนักเรียนชายที่แกล้งทำเป็นวิ่งมาชน แกล้งมาแหย่เล่น
นักเรียนหญิงคนไหนกล้าๆหน่อยก็ถึงกับขว้างรองเท้าใส่ด้วยความโมโหและแถมคำต่อด่าไปอีกหลายชุดใหญ่ จนทำให้นักเรียนชายกลุ่มนี้ต้องย้ายที่เล่นออกไปไกลหน่อย แต่ก็ยังไม่ไกลพอที่จะหลบหมากเก็บที่นักเรียนหญิงพร้อมกันโยนใส่ด้วยความโกรธแค้น หลังจากนักเรียนชายคนหนึ่งล้มลงตรงกลาง กระดานหมากเก็บของเหล่านักเรียนหญิง
บู๊ลิ้มหรือเด็กชายอภิวัฒน์ ปัญญาวงศ์ เดินผ่านกลุ่มนักเรียนชายหญิงไป ด้วยใบหน้าไม่สบอารมณ์และเบื่อหน่าย ตั้งแต่เขาเรียนที่โรงเรียนนี้เขาไม่เคยย่างก้าวเข้าห้องสมุดเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่วันนี้มันเป็นวันโลกแตกสำหรับเขาจริงๆขึ้น ม.หนึ่งได้แค่สองวัน แต่ต้องได้เข้าห้องสมุดและจัดหนังสือให้เรียบร้อย แค่คิดเขาก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีให้รู้แล้วรู้รอก และนั่นก็คงเป็นความคิดที่เป็นไปไม่ได้ แล้วตอนนี้เขายังต้องมาเจอข่าวลือที่แพร่กระจายไปทั่วโรงเรียนราวดอกเห็ดกับการที่เขาพ่ายแพ้อย่างย่อยยับให้กับนักเรียนหญิงที่มาใหม่ การพ่ายแพ้ครั้งนี้ทำให้เขาต้องขายหน้าไปหลายวันเลยก็ว่าได้
“นั่นไง ไอ้บู๊ลิ้มที่โดนสาวสวยอย่างฟ้างามต่อยซะเละเลย ดูหน้ามันซิซ้ำทั้งหน้า ฮ่าฮ่า” กลุ่มนักเรียนชายที่วิ่งไล่จับกันพูดล้อเลียนทันทีเมื่อเห็นผู้พ่ายแพ้เดินผ่านมา พร้อมกับแสร้งทำหน้าทำตาเจ็บปวด คนหนึ่งแกล้งเป็นคนต่อยหน้าเพื่อนอีกคนก็แกล้งคุกเข่าอ้อนวอนอย่างน่าเวทนา
“เห็นว่านะยายคนสวยนั่นทั้งแทงเข่า ศอกและแถมด้วยจระเข้ฟาดหางด้วยนะ ยายคนสวยนั่นเก่งเป็นบ้าเลย” อีกหนึ่งเสียงเสริมขึ้นมาทันที
“พ่อเธอเป็นแชมป์มวยเวทีลุมพินีห้าสมัยเลยนะ บ้านเธอเปิดค่ายมวยด้วยอย่างได้เข้าใกล้เชียว ยัยฟ้างามเป็นบุคคลอันตราย” และอีกเสียงก็เสริมขึ้น
บู๊ลิ้มยังคงเดินต่อแบบไม่สนใจต่อคำล้อเลียนที่ออกจะเกินจริงไปเยอะเลย และแอบส่งสายตาอาฆาตต่อกลุ่มนักเรียนชายเหล่านั่น และนักเรียนกลุ่มชายนั่นต่างก็ต้องหลบหลีกตาสายอาฆาตแค้นคู่นั่น
แต่ก็ยังไม่หมดยังต้องมาเผชิญกับกลุ่มนักเรียนหญิงที่นั่งเล่นหมากเก็บพวกเธอมองเขาด้วยความสะใจ แต่ก็มีบางคนที่ส่งสายตาสงสารให้เขา เด็กหญิงผมสั้นหน้าม้าใบหน้ากลมป่องเหมือนซาลาเปาที่นั่งอยู่ริมสุดขอบทางเดิน มองเขาด้วยสายตาเป็นห่วงดวงตาเริ่มแดงนิดๆเหมือนจะร้องไห้ และเขาก็ได้แต่คิดว่ายายนี่คงดีใจมากที่ เขาโดนต่อยซะเละทั้งหน้าจนขนาดกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เลย
บู๊ลิ้มเดินผ่านนักเรียนชายหญิงด้วยใจที่หดหู่ การถูกหยาบเกียตริลูกผู้ชายแบบนี้เขารับไม่ได้จริงๆ เขารีบเร่งฝีเท้าเดินผ่านกลุ่มคนที่ส่งเสียงหัวเราะตลอดทาง หวังเพียงให้ถึงห้องสมุดโดยเร็วที่สุดที่นี้อาจเป็นที่เดียวที่ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแน่นอน
“ไงจ๊ะ พ่อคนเก่ง” เสียงเย้ยหยันแสบแก้วหู กระทบเข้าที่โซนประสาทหูของเขาพร้อมกับการกระโดดเข้ามาขวางทางเดิน
“หลีกไปยายใบบัวเน่า” บู๊ลิ้มพูดด้วยความโมโหไม่มีอารมณ์อยากจะต่อกรกับใครในเวลานี้
“ท่าทางนายจะเจ็บมากซินะ ฮ่าฮ่า นี่แหละที่เขาว่าให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัว” ใบบัวหัวเราะเยาะอย่างสะใจ
“อย่ามาสำบัดสำนวนหน่อยเลย ยายขี้ขโมย”
“ขี้ขโมย ไหน ไหนล่ะหลักฐานที่กล่าวหาฉันว่าเป็นขี้ขโมย” ใบบัวแสร้งทำเป็นแบมือไปมา พร้อมกับหมุนตัวเหมือนคนที่กะจะโชว์หุ่นให้ดู
“หลีกไปยายขี้ขโมย” บู๊ลิ้มใช้มือผลักไหล่ขวาของใบบัวจนเธอเซถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วใบบัวก็รีบเดินหนีอย่างรวดเร็วก่อนที่ตัวเองจะเจ็บตัวไปมากกว่านี้
“ไว้ฉันจะให้หัวหน้ามาจัดการนาย” เธอตะโกนตาหลังเขาพร้อมแลบลิ้นใส่เขา
หัวหน้าที่ยายใบบัวพูดถึงคงหมายถึงฟ้างามซินะ แล้วยัยฟ้างามรู้ตัวหรือเปล่าน่าว่าได้เป็นหัวหน้ายัยใบบัวเน่าไปเรียบร้อยแล้ว หรือว่ายัยฟ้ามืดเต็มใจเป็นนะ บู๊ลิ้มได้แต่เดินครุ่นคิดคนเดียวในใจกับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น และต่อว่าตัวเองอีกชุดใหญ่ที่ยอมอ่อนข้อให้นักเรียนใหม่คนนี้จนตัวเองต้องเจ็บตัว
ที่จริงเขาสามารถต่อยเธอกลับได้สบายแต่เขากลับไม่ทำ เขาไม่กล้าทำร้ายเธอด้วยซ้ำยอมทนเจ็บให้เธอรุมฝ่ายเดียวซึ่งนั่นก็ไม่รู้ทำไมถึงยอมขนาดนั้น ถ้าเป็นใบบัวเขาคงซัดยายนั่นสลบไปแล้ว เมื่อยิ่งคิดเขาก็ยิ่งเกาหัวตัวเองจนยุ่งเหยิงไม่เข้าใจว่าทำไมเขาต้องยอมสูญเสียศักดิ์ศรีลูกผู้ชายที่ไม่ยอมใครง่ายๆอย่างเขา แต่กลับยอมให้ฟ้างามคนนี้แบบไม่รู้ตัวเลย
“มาแล้วเหรอ เข้ามานี่” ครูวันนาที่ยืนรอหน้าห้องสมุดตะโกนเรียกเขาทันทีเมื่อเห็นนักเรียนตัวแสบที่เดินเกาหัวตัวเองจนจะกลายเป็นรังนกไปแล้ว
“นายอภิวัฒน์ ผมยาวแล้วไปตัดผมให้เรียบร้อยนะ”ครูวันนานตักเตือนลูกศิษย์เมื่อเห็นว่าผมเขายาวเกินเกณฑ์ที่กำหนดของโรงเรียน
“แล้วฟ้างามล่ะ ทำไมไม่มาพร้อมกัน ฟ้างามหายไปไหนนี่” ครูวันนาบ่นพรืมพร่ำคนเดียว
“ไม่ทราบครับ” บู๊ลิ้มตอบด้วยนำเสียงอ่อยๆ ตอนนี้เขาไม่อยากเจอคนที่ทำให้เขาต้องมีอารมณ์หดหู่เช่นนี้
“มานั้นแล้ว” ครูวันนาพูดขึ้นเมื่อเห็นลูกศิษย์คนใหม่เดินมาด้วยใบหน้าที่เศร้าสร้อย
“เธอควรจะยิ้มนะครูไม่อยากให้ลูกศิษย์ของครูต้องเศร้าใจแบบนี้ เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ปล่อยให้มันเป็นอดีต เธอควรยิ้มรับวันใหม่ๆ” ครูวันนาสาธยายคำปลอบโยนลูกศิษย์คนใหม่ จนฟังดูเหมือนแสร้งแกล้งพูดไป ในขณะที่พูดฟังก็ทำหน้าเศร้าสลดในดวงตามีประกายน้ำที่พร้อมจะไหลออกจากตาได้ทุกเมื่อ
บู๊ลิ้มเองได้แต่ขมวดคิ้วมองทั้งสองคนไปมาด้วยสายตางงๆปนสงสัย
“หนู หนู” ฟ้างามพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้น
“เธอไม่ต้องตัดผมหรอกนะ ไม่มีใครบังคับเธอให้ตัดผมอีกแล้ว”ครูวันนาใช้มือลูบศีรษะลูกศิษย์ตัวน้อยอย่างเอ็นดู
“หนูขอบคุณคุณครูมากเลยนะคะที่เข้าใจหนู” ฟ้างามยกมือไหว้ครูวันนาอย่างสวยงาม
ฉากการพูดคุยกันระหว่างคุณครูกับลูกศิษย์คนใหม่ ทำให้คนที่ยืนฟังอยู่ข้างๆถึงกับขมวดคิ้วเพิ่มเป็นสองเท่าด้วยความมึนงงเพิ่มอีกสิบเท่า เกิดอะไรขึ้นกับสองคนนี้
“เอาล่ะ ได้เวลาที่เธอสองคนต้องทำงานแล้ว” ครูวันนาเดินนำลูกศิษย์ทั้งสองเข้าห้องสมุดที่ตอนนี้แทบจะไม่มีคนอยู่ในห้องสมุดเลยแม้แต่คนเดียว
ครูวันนาเดินมาหยุดอยู่ที่โต๊ะยืมคืน ที่มีกองหนังสือห้าถึงหกกองตั้งเป็นแถวสูงเด่นอยู่บนโต๊ะ แล้วหันมาสั่งงานลูกศิษย์
“หน้าที่ของพวกเอคือจัดหนังสือพวกนี้เข้าชั้นวางให้เรียบร้อยและให้ตรงตามหมวดหมู่ด้วยนะ” ครูวันนาเริ่มสั่งงานลูกศิษย์อย่างมีความสุข
“ครูจะให้พวกเราทำทั้งหมดนี่เลยหรือครับ” ผู้ประท้วงคนที่หนึ่งโต้ทันควัน
“ใช่จ๊ะ ทั้งหมดนี่เลย” ครูวันนาตอบพร้อมกับรอยยิ้มที่สดใสจนน่าหมั่นไส้
“แต่ครูค่ะ มันเยอะมากเลยนะคะ” ผู้ประท้วงคนที่สองหันมองกองหนังสือด้วยความตกใจ
“นี่แหละเป็นเหตุผลว่าทำไมพวกเธอถึงต้องมาจัดการให้มันเรียบร้อย” ครูวันนาเน้นคำว่าเรียบร้อยเป็นพิเศษ
“เอาเป็นว่าเข้าใจดีแล้วนะ ห้าโมงเย็นพวกเธอกลับบ้านได้และทุกวันพวกเธอต้องมาจัดหนังสือพวกนี้ให้เข้าที่ ตามที่บอกแล้วครูจะมาตรวจ หมดเรื่องแล้วครูไปล่ะมีปัญหาอะไรก็ไปตามครูที่ห้องทำงานนะ ครูยังทำงานอยู่” พูดเสร็จครูวันนาก็เดินออกจากห้องสมุดไป ปล่อยให้คู่กรณียืนจ้องมองหนังสือด้วยสายตาแห่งความสิ้นหวัง
“อ่อ ครูลืมบอกไปอย่างหนึ่ง ขอเพียงคนยังมีชีวิตอยู่ก็สมควรยิ้มออก ขอเพียงสามารถยิ้มออก ก็สมควรยิ้มให้มากไว้” ครูวันนาร้องบอกผ่านประตูหน้าห้องสมุด
“ครูพูดอะไรนะครับ” บู๊ลิ้มร้องถามอย่างสงสัย
“ดาบมรกตของโก้วเล้ง พวกเธอสามารถหามันได้จากห้องสมุดนี้” ว่าแล้วครูวันนาก็เดินจากไปพร้อมเสียงร้องเพลงที่ดังก้องทั่วอาคารเรียน
“การได้ลงโทษศิษย์คือความสุขอย่างหนึ่งของคุณครู”
“อย่าบ่นมากทำงานเร็วเข้า ไอ้หน้าปลาดุก” ฟ้างามออกคำสั่ง
“ใครหน้าปลาดุก” บู๊ลิ้มรีบโต้แย้งทันที
“ก็นายนั่นแหละ ในห้องนี้มีแค่ฉันกับนาย นายคงไม่คิดว่าฉันจะพูดกับผีที่ไหนหรอกนะ” พูดเสร็จฟ้างามก็เดินไปนั่งที่โต๊ะ แสร้งเปิดดูหนังสือไปมาเหมือนกับว่ามันเป็นหนังสือเล่มโปรดของเธอ โดยที่ไม่สนใจอีกคนที่ทำหน้าบูดบึ้งไม่พอใจสุดๆ
“นั่นเธอทำอะไร” บู๊ลิ้มร้องถามเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำตัวสบายเหมือนคนที่ตั้งใจอ่านหนังสือมากกว่าจะคิดทำงาน
“นั่งดูนายทำงานไง” เธอตอบไม่คิดที่จะเงยหน้ามองคนถาม สายตายังคงจับจ้องที่หนังสือ
“ว่าไงนะ นี่ยัยคุณหนูตัวแสบอย่ามาว่าท่าเอาเปรียบคนอื่นหน่อยเลย ครูลงโทษเราสองคนเธอก็ต้องมาจัดหนังสือให้เสร็จ” ฟ้างามไม่สนใจในสิ่งที่เขาพูดยังคงก้มหน้าก้มตาดูหนังสืออย่างตั้งใจ
“ยัยฟ้ามืด ฟังให้ดีนะไม่ว่าเธอจะใช้วิธีอะไรก็ตามออดอ้อนครูทั้งโรงเรียนยอมให้เธอไว้ผมยาวต่อไป แต่เรื่องนี้เธอเชื่อเถอะครูวันนาไม่ยอมแน่ และเธออาจจะได้ไปล้างห้องน้ำแทน คุณหนูว่าแบบนี้ดีมั้ยครับ”ประโยคตอนท้ายเขาทำเสียงอ่อนหวานให้ฟังดูน่ารักที่สุด ก่อนจะเลิกคิ้วให้เธออย่างมีเลศนัย ฟ้างามเม้นปากตัวเองพยายามไม่ต่อปากกับเขา แล้วก็ปิดหนังสือที่อยู่ในมือลงอย่างแรงก่อนจะเดินไปที่กองหนังสือกองใหญ่ด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง
“ยิ้มหน่อยซิครับคนสวย”
“หุบปากไปเลยก่อนที่ฉันจะอัดนายให้เละเป็นโจ๊ก”
“นี่ก็เละจะตายแล้ว” เขายื่นหน้าตัวเองเข้ามาใกล้กับใบหน้าของเธอ พลางกับเอียงหน้าซ้ายทีขวาทีอย่างกวนๆ
“ยัง ยังไม่เละพอมันต้องแบบนี้” ว่าแล้วเธอก็หยิบหนังสือสารานุกรมเล่มใหญ่ หวังจะฟาดเข้าที่หน้าของเขา แต่ก็ช้าไปเขากระโดดหลบได้ทัน
“ผมว่าเราสงบศึกก่อนดีไหม เดี๋ยวก็ไม่ได้กลับบ้านกันพอดี” เขาชายตามองกองหนังสือที่ตั้งสูงจนจะล้นหัวพวกเขาด้วยแววตาที่เหนื่อยอ่อนทั้งๆที่ยังไม่ได้เริ่มงานเลยด้วยซ้ำ ส่วนเธอก็เห็นด้วยกับความคิดนี้ เธออยากกลับบ้านใจจะขาดแล้ว
“ท่องโลกกว้างไปกับไอสไตน์” บู๊ลิ้มหยิบหนังสือที่มีรูปชายแก่ผมขาวหนวดขาวยาวรกรุงรัง
“หมวดสังคมศึกษาแน่เลย”แล้วเขาก็โยนมันไปกองที่พื้น
“นี่นายจะบ้าเหรอไอสไตน์อยู่หมวดสังคมศึกษาได้ไง ต้องอยู่หมวดวิทยาศาสตร์ต่างหาก โง่จริงๆเลย” แล้วฟ้างามก็หยิบขึ้นมาโยนมันไปกองกับหนังสือวิทยาศาสตร์ที่เธอแยกไว้แล้ว
“ความรู้รอบตัว หมวดเพศศึกษา” เขากำลังโยนไปกองกับหนังสือที่เขาเลือกไว้ว่าถูกต้องที่สุดแล้ว
“เอามานี่” ฟ้างามรีบกระชากหนังสือมาจากมือเขา “มันต้องอยู่หมวดเบ็ดเตล็ด” ฟ้างามพูดด้วยความหงุดหงิด และเริ่มที่จะรำคาญเพื่อนร่วมงานเต็มที
“ความสุขของกะทิ ฮ่าฮ่า” บู๊ลิ้มหัวเราะเสียงดังเมื่ออ่านชื่อหนังสือ
“ต่อคงจะมีความสุขของกะทิน ความสุขของกะปิ และความสุขของกะละมัง หมวดอาหารไทยแน่นอนชัวร์ป้าด!!!! ” เขาเลิกคิ้วให้เธอย่างมั่นอกมั่นใจ ใบหน้าอมยิ้มอย่างมีความสุขในขณะที่ฟ้างามมองอย่างเวทนาในสมองที่ไม่ได้เรื่องของเขา
“ถามจริงนายเคยเข้าห้องสมุดบ้างไหมเนี่ย”
“ไม่เคย นี้ครั้งแรก”
“อ่อ ฉันก็ว่างั้นล่ะหัวนายนี่สงสัยมีไว้ให้ผมขึ้นอย่างเดียว” เธอรีบดึงหนังสือจากมือเขาแล้ววางลงที่หมวดนิยายเรื่องสั้นที่เธอเรียงไว้อย่างสวยงาม
“ดาราศาสตร์ ดาราบังเทิงชัวร์” เขาโยนมันไปกองกับหนังสือการ์ตูนนิตยสารวัยรุ่น
“นายทำอะไรนะ”
“ก็กำลังแยกหนังสืออยู่ไง ไม่เห็นเหรอ”
“ฉันถามว่านายเอาหนังสือดาราศาสตร์ไปปนกับหนังสือการ์ตูนได้ไง”
“ชื่อมันก็บอกอยู่ว่าดารา มันก็ต้องเกี่ยวกับบันเทิงนะซิ โง่เปล่าเนี้ย”
“ฉันเชื่อจริงๆแล้วว่า หัวนายคงมีไว้สำหรับให้ผมขึ้นอย่างเดียว” เธอก้มหยิบหนังสือดาราศาสตร์ขึ้นมาแล้ววางมันไว้กับหนังสือไอสไตน์ขณะที่เขามองเธอย่างงุนงง