M:I Vs. James Bond

เมื่อคืนนอนดูหนังเพลินๆแล้วก็เขี่ยๆเฟสไปด้วย ก็มีเพจหนึ่งได้โพสเกี่ยวกับทุนที่ใช้ในการสร้าง James Bond : Spectre ที่กล่าวไว้ว่าใช้ทุนสร้างกว่า 300 ล้านเหรียญ (ลงทุนแบบสุดติ่ง) แล้วมีชายคนหนึ่งมาตอบประมาณว่า "หวังว่า บอนด์ภาคนี้จะออกมาได้ดีกว่าหนังสายลับคู่แข่งอย่าง M:I เพราะภาคนี้ M:I ทำไว้ดีมาก"  ก็ประมาณนี้ มันก็สะกิดต่อมบางอย่างของผม คือจริงๆแล้วหนังสองเรื่องนี้ ถึงแม้มันจะเป็นหนังสายลับทั้งคู่ แต่มันก็ไม่สามารถ เอามาเปรียบเทียบกันได้เลยว่าอันไหนดีกว่ากัน อันไหนห่วยกว่ากัน  

ที่มารูปภาพ : www.dotmmo.com
             ที่นี้มาว่าเรื่อง M:I ก่อนนะ ในซีรี่ย์ของ MI นั้นสร้างโดย Paramount Pictures ผู้กำกับ 5 คน 5 สไตล์ ซึ่งถ้าดูจาก M:I ภาคแรกจนถึงภาคล่าสุดแล้ว MI จะยังคงความเป็นตัวละคร ยังคงใช้ตัวละครหลักๆอย่าทอม ครูซ (เล่นตั้งแต่หนุ่มยันแก่) ในภาคแรกนั้น ตัวบทของหนังเนื้อเรื่องเนื้อหาหนังนั้นเขียนโดย เดวิด เคปป์ กำกับโดย ไบรอัน เดอ พัลมา เป็นหนังที่ล้ำหน้าเรื่องหนึ่งของยุค ในปี 1996 ภาคแรกนั้นเปิดตัวในสมัยนั้นถือว่าตื่นตาตื่นใจมาก ยิ่งฉากห้อยตัวในห้องนั้นของทอม ครูซ ทุกวันนี้ยังถูกเอามาล้อเลียนอยู่เลย หลังจากนั้น 4 ปี ถัดมา ก็คลอดออกมาอีกภาค เป็น M:I-2 กำกับโดย จอห์น วู อย่างที่เราเห็นได้ชัดในภาคสองนี้ พอ จอห์น วู มานั่งเก้าอี้ผู้กำกับ ความบู๊ระห่ำของหนังมีมากขึ้นกว่าภาคแรกแบบคนละขั้ว ตามสไตล์ของลุงแก ถัดมาอีก 6 ปี ก็มาอีกภาค คือ M:I-III ภาคนี้ให้ความระห่ำของหนังไปอีกขั้นเข้าไปใหญ่ ต่างจากทั้งสองภาคก่อนหน้าอย่างที่เราเห็น ความไฮเทคในอุปกรณ์ต่างๆของ IMF ที่เราจะเห็นอย่างมากขึ้น ฉากบู๊ต่างๆนานาๆของในภาคนี้นั้น เป็นเหมือนจุดกำเนิดแนวเส้นมาตรฐานฉากบู๊ของหนังเรื่องนี้ ซึ่งถ้าเราลองจับาดูแค่สามภาค 1,2,3 เราจะเห็นอย่างชัดเจนเลยว่า ความระห่ำในภาคสามนั้นมันระห่ำจริงๆ ระเบิดภูเขาเผากระท่อม เริ่มมีการที่เสี่ยงอันตรายแบบโหดฉัด มากกว่าภาคอื่นๆก่อนหน้า ภาคนี้ได้ เจ.เจ. แอบรัมส์ เปลี่ยนมาตรฐานให้หนังเรื่องนี้ไปอีกหลายระดับเลยทีเดียว ถัดมาอีก 5 ปี ก็ตามมาอีกภาค เป็นภาคที่สี่ของซีรี่ย์ชุดนี้ ทำรายได้ไปถล่มทลายกันเลยที่เดียว กับ M:I - Ghost Protocol ไม่ใช่แค่เพียงแต่ระห่ำในเรื่องของแอ๊คชั่น ยังระห่ำไปกับการเล่นซนบนตึกสูงที่สุดในโลกภาคนี้ไฮเทคล้ำไปเลย ตื่นเต้นได้ตลอดเวลาตั้งแต่หนังเรื่องนี้มีการเพิ่มมาตรฐาน โลเคชั่นแต่ละที่ ที่ถ่ายทำก็แหมมมมมม๋ ชีวิตนี้สักครั้งขอไปนอนกลิ้งเล่นที่ เบิร์จคาลิฟา สักทีนะ และตามมาด้วยผลงานล่าสุดน้องคนสุดท้องที่เพิ่งฉายไปเมื่อไม่กี่วันก่อน ที่ทุกคนต่างดูจบอารมณ์ไม่จบ พูดถึงกันสุดๆ กับ M:I - Rogue Nation ระห่ำยิ่งเข้าไปอีกกับหลายๆฉาก ภาคนี้เอาเข้าจริงกลายเป็นว่ายกระดับของหนังซีรี่ย์นี้ไปอีกขั้นจากภาคสามที่ยกระดับไปทีหนึ่งแล้ว มาภาคนี้ยกระดับขึ้นไปอีก เราจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ภาคที่สามถึงหน้า ของหนังซีรี่ย์นี้ จะมีกลิ่นของความเป็น เจ.เจ. แอบรัมส์ แม้ภาค สี่และห้านั้น ตาลุงนี่จะไม่ได้กำกับแต่ก็นั่งแท่นเป็นผู้อำนวยการสร้าง


ที่มารูปภาพ : bradymajor.deviantart.com
              เอาล่ะ ซีรีย์ M:I คร่าวๆก็เท่านี้แหละนะ ที่นี้จะมาว่ากันด้วยเรื่องของ James Bond อันนี้คงจะยาวมาก หนังสายลับซีรี่ย์นี้ยาวนานมากๆคือตั้งแต่จำความได้ก็ได้ดูแล้ว แล้วก็ตามเก็บตามหามาดูตั้งแต่ภาคแรกคือ Dr.No (แต่ภาคแรกไม่ใช่บทประพันธ์แรกของผู้เขียนนี้นะ) ในที่นี้จะเขียนแค่คร่าวๆนะ เพราะJames Bond มันยาวมากไม่ขอแตกย่อยพวกเรื่องสั้นหรืออะไรต่างๆ เดี๋ยวไม่งั้นไม่จบงานการไม่ได้ทำ เอาล่ะมาเริ่มกัน ย้อนกลับไปเมื่อปี 1953 บทประพันธ์แรกของภาพยนตร์ชุดเรื่องนี้ก็ได้กำเนิดขึ้น โดยใช้ชื่อว่า Casino Royale  ของตาลุง Ian Fleming ก็ได้ถือกำเนิดขึ้น นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของนวนิยาย James Bond  ( แต่กว่า Casino Royale จะได้มาเป็นหนังนั้นก็ ตั้งหลายสิบปีต่อมา ) ในซีรีย์ของ JB. นั้นมีอยู่ประมาณ 24 ตอนที่ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ ไล่มาตั้งแต่ตอนแรกที่ถูกสร้างคือปี 1962 คือ Dr.No จนล่าสุด ที่ใกล้จะฉายเต็มที่ในปีนี้กับ Spectre พูดถึง Spectre หลายคนที่ติดตามหนังเรื่องนี้จะรู้ดีว่า  Spectre  คือคู่ปรับตลอดกาลขอพ่อหนุ่ม Bond องค์การก่อการร้ายนามนี้เราจะเห็นในช่วงแรกๆของBond ฉบับคลาสสิก (ที่สำคัญยิงเมียแสนสวย ภรรยาคนเดียวของบอนด์ตายซะด้วย : On Her Majesty's Secret Service ) ในส่วนของบอนด์นั้นจุดเปลี่ยนจริงๆ จะเพิ่งมาเปลี่ยนตรงช่วงปี 1997 ซึ่งก่อนหน้านี้ทั้งหมดหนังเรื่องนี้ยังได้รับอิทธิพล ความตึงเครียดระหว่างชาติตะวันตกกับรัสเซียอยู่ จะเห็นได้ว่า ตั้งแต่ปี 62-95 จะมีเล่นประเด็นขัดแย้งกับรัสเซียเรื่อยๆ จนเพิ่งมาเปลี่ยนเมื่อปี 97 ในภาค  Tomorrow Never Dies ( แต่ไปเล่นประเด็นขัดแย้งกับจีนในทะเลจีนใต้แทน 5555555555 ) ในหนังของบอนด์เนื้อเรื่องส่วนมากจะอิงกับการเมือง และการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจ แต่ยังคงไว้ซึ่งความคลาสสิกของสุภาพบุรุษสายลับอังกฤษ กลายเป็นต้นกำเนิดแบบอย่างหนังสายลับอังกฤษอีกหลายเรื่อง อย่างว่าแหละครับ หนังเรื่องนี้จะแบ่งเป็นสองยุค คือยุคของ Ian Fleming และยุคหลังตาลุงนี่ ซึ่งทั้งสองยุคนี่ก็เอามาเปรียบเทียบกันไม่ได้อีกว่าอันไหนดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับความชอบของแต่ละคน แต่ถ้าถามเรื่องความคลาสสิกของความเป็นบอนด์นั้นมีทั้งสองยุคครับ
                 เอาล่ะ เรื่องบอนด์จะขอคร่าวๆเพียงเท่านี้ เนื่องจากไปหามาดูเองแล้วจะเข้าใจง่ายกว่า  ส่วนเนื้อเรื่องของบอนด์นั้นจะดำเนินไปในแบบของมันของแต่ละภาคจะแตกต่างกันทั้งหมด แต่มีความเชื่อมโยงเกี่ยวข้องกันเสมอๆในเกือบทุกๆภาค ยิ่งในบอนด์ยุคแรกด้วยแล้ว จะเห็นความเชื่อมโยงกันชัดมาก
เอาล่ะครับ ที่นี้จะมากล่าวถึงความแตกต่างระหว่างหนังสองเรื่องนี้นะครับ จากที่กล่าวไปข้างต้นนี่ก็น่าจะเห็นอยู่นะครับว่าสองเรื่องนี้แต่กต่างกันโดยสิ้นเชิงและมีความเป็นตัวตนของตัวเองสูงมาก คือหนังสายลับเช่นเดียวกัน แต่คนละอารมณ์คนละสไตล์ ง่ายๆเลย เรื่องหนึ่งคือหนังสายลับอเมริกัน อีกเรื่องคือ หนังสายลับอังกฤษ แค่นี้ก็เห็นได้ชัดแล้วครับว่าต่างกันอย่างไร M:I สายลับอเมริกัน ทำงานเป็นทีม บู๊ล้างผลาญระเบิดภูเขาเผากระท่อม เสี่ยงตายสุดตัวเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย ยิง ระเบิดหูดับตับไหม้ คือมีความเป็นพวกคาวบอยตะวันตกอย่างที่เขาว่ากัน เห็นได้อย่างชัดเจนเลยใน M:I-II เราจะเห็นได้ชัดเพราะเปลี่ยนผ่านมาแล้ว แต่ใน M:I ภาคแรกยังไม่มีความเป็นตัวตนของตัวเองเท่าไหร่ อาจจะเพราะยุคสมัยด้วย พอหลังจากนั้น M:I มีตัวตนเป็นของตัวเองคือ บู๊กระจาย เสี่ยงตายท่านรก ไม่ค่อยมีการใช้การชิงไหวชิงพริบหรือห่ำหั่นกันด้วยตรรกะ เพราะส่วนใหญ่แล้วภารกิจจะเป็นเกี่ยวกับผู้ก่อการร้าย แน้นบู๊เป็นหลัก ส่วนใน James Bond นั้น สายลับเมืองผู้ดีอังกฤษ สายลับรัฐบาลในหน่อยงานลับราชินีอังกฤษ อย่างที่เราทุกคนรู้เมื่อนึกถึงเจมส์ บอนด์ เรานึกถึงอะไร แรกเลย ทักสิโด้ ปืน รถแอสตันมาร์ติน วอดก้ามาตินี เขย่าแต่ไม่คน เนี๊ยบ เรียบหรู เตะต่อยยังไง เสล็คก็ไม่ขาด ฉีกขาได้กว้าง ( เสล็คยี่ห้ออะไรเนี่ยยยย ) ทำงานเดี่ยว ไม่มีทีม อาจจะมีแค่ผู้ช่วยเล็กๆน้อยๆ เป็นแบบหน่วยสนับสนุน แต่ไม่ว่าอย่างไร ขอ เนี๊ยบเรียบหรู นี่ก็เป็นอีกจุดที่ต่างกันแล้ว
บอนด์ กับ อีธาน นั้น เป็นสายลับเช่นเดียวกัน แต่แตกต่างกันแบบคนละขั้ว อีธาน ขอเสี่ยงตายขอมันๆ บอนด์ขอนิ่งๆ สุขุมๆดูเป็นสุภาพบุรุษ ( เหรออออออออออออ ) ซึ่งความแตกต่างของคาแร็คเตอร์ตัวละครขอสองเรื่องนี้ทำให้หนังมันออกมาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแม้มันจะเป็นหนังสายลับเหมือนกัน บอนด์คงความเป็นผู้ดีอังกฤษแบบหมดจด ( ไม่ต้องมองจอห์นนี่ อิงลิช กับ คิงส์แมน นะ นั่นหนังตลก ) หนังเลยออกมาแบบดูดี ดูมีคลาส ดูคลาสสิก ตามแบบฉบับแบบนั้น ส่วน อีธาน สายลับอเมริกัน ก็ยังคงซึ่งความเป็นอเมริกันคือ มาดอาจไม่จำเป็นเท่าผลสำเร็จของภารกิจ จะบู๊จะเสี่ยงแค่ไหนก็ตามขอภารกิจลุล่วง หรือเราจะดูง่ายๆเลย อุปกรณ์ไฮเทคต่างๆของบอนด์กับอีธานนั้นต่างกันออกไปเลย หนังทั้งสองเรื่องมันเลยให้อารมณ์ที่ต่างกันครับ
             สรุปแล้วไม่ว่าจะใช้ทุนสร้างมากน้อยแค่ไหน 300 ล้าน หรือ 150 ล้าน หรือ 1500 ล้าน หนังทั้งสองเรื่องนี้ไม่สามารถเอามาเปรียบกันได้ครับ เพราะมันให้ความรู้สึกทางอารมณ์ที่แตกต่างกัน แม้แต่เรื่องโปกดักชั่น การถ่ายทำก็เอามาเปรียบกันไม่ได้ครับ หนังสายลับเหมือนกันแต่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงครับ รักใครชอบใครก็แล้วแต่ความชอบส่วนบุคคล

ปล. ใครมีไรเพิ่มเติมก็ใส่มาให้เลยนะครับผม จะได้เก็บๆไว้อ่านกัน เพื่อการดูหนังที่สนุกขึ้น


ที่มารูปภาพ : www.wallpaperup.com

ที่มารูปภาพ : drafthouse.com
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่