[คิดต่างขวางกระแส] อยากได้ “สื่อดี” ถามว่าวันนี้คนไทย “ดีพอ” แล้วหรือยัง?
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
ออกตัวไว้ก่อนเลย ผมไม่ได้ทำงานในแวดวงสื่อมวลชน และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็แค่เคย “ทำเนียน” เข้าไปถ่ายรูป-พูดคุยกับผู้คนที่มานั่งๆ นอนๆ ยืนๆ เดินๆ บนท้องถนนใน กทม. ทุกสี ทุกกลุ่ม ในมหกรรมเปิดแอร์แช่แข็งบ้าง จุดไฟให้ความอบอุ่นบ้างกับเมืองหลวงแห่งนี้ ก็เผอิญว่าพอได้คุยกับคนในวงการบ้าง ดังนั้นแล้วแม้พวกเขาซึ่งเป็น “ตัวจริง” จะอยู่เงียบๆ ไม่ออกมาตอบโต้อะไรกับบรรดา “คนดีหลังหน้าจอ” ทั้งหลาย แต่ในฐานะที่ผมมีโอกาสได้ได้เหยียบย่างเข้าไปเห็น-ไปได้ยินการทำงานของพวกเขา ผมจึงขอถือวิสาสะ “สอใส่เกือก” พูดแทนเสียหน่อย
.
เพราะมันทนไม่ได้จริงๆ ครับ..กับใครก็ไม่รู้ที่มีแค่คีย์บอร์ด ตัวตนก็ไม่รู้จัก ความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับก็ไม่มี แต่เที่ยวไปทำตัวเป็น “ตุลาการ” พิพากษาคนทำงานไปแล้ว ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจข้อจำกัดอะไรของพวกเขาเลย!!!
.
ไปๆ มาๆ สื่อมวลชนชักจะไม่ต่างจากอาชีพอย่างนักการเมือง ตำรวจ ข้าราชการ หรือแม้กระทั่งดารา ที่ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหน ทำอะไร หรือแม้แต่จะไม่ทำอะไร อยู่เฉยๆ ก็ถูกด่าถูกว่าสาดเสียเทเสียจากบรรดาคนดีนักจิ้มแป้น ไล่ตั้งแต่ข้อหาสุดคลาสสิกอย่าง “นั่งเทียน” เขียนข่าวขึ้นมาอย่างมั่วๆ ซั่วๆ ด้วยการอ้างแต่คำว่า “แหล่งข่าว” เท่านั้น , “ซาดิสต์” ชอบส่งเสริมความรุนแรงด้วยการลงรูปศพ ( ที่เซ็นเซอร์แล้ว ) เหยื่อฆาตกรรม หรือข่าวใหญ่ๆ มักมีแต่เรื่องฆ่ากันตายกับอุบัติเหตุสยดสยอง , “หื่นกาม” ด้วยการนำภาพดาราหรือนางแบบสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นบ้าง ชุดว่ายน้ำวับๆ แวมๆ บ้างมาลงเพื่อเรียกเรตติ้ง , ไปจนถึงข้อหายิบๆ ย่อยๆ อย่างรถถ่ายทอดสัญญาณ ( OB ) หรือรถรับส่งนักข่าวสำนักต่างๆ จอดกีดขวางการจราจรบ้าง ขับรถเร็วอย่างกับรถแข่งบ้าง ล่าสุดก็เรื่อง “กาลเทศะ” จากข่าวการเสียชีวิตของนักดนตรีชื่อดังท่านหนึ่ง แล้วมีช่างภาพบางรายไปยืนค้ำหัวบิดาของผู้ตาย เพื่อจะได้ภาพมาออกรายการ
.
เห็นแบบนี้แล้วมันก็น่าถามกลับนะครับ..ว่าบรรดาผู้ดีนักจิ้มแป้นที่เที่ยวทำตัวเป็นตุลาการ เคยลอง “ย้อนดูตัวเอง” บ้างไหม? ว่าที่ผ่านมาตั้งแต่จำความได้จนวันนี้ ได้ร่วมส่งเสริมให้คนทำงานสื่อมวลชน มีพฤติกรรมทั้งหมดตามที่ว่าบ้างหรือเปล่า?
.
เริ่มตั้งแต่ข้อหา “นั่งเทียน” ตรงนี้ท่านผู้มีคุณธรรมสูงส่งเคยทราบกันไหม? ว่าอาชีพสื่อมวลชนเกิดขึ้นมาเพราะอะไร? คำตอบก็ง่ายๆ ครับ “ความอยากรู้อยากเห็น” ของบรรดาปุถุชนคนธรรมดา เราๆ ท่านๆ นี่แหละ ที่หล่อเลี้ยงให้พวกเขายังทำงานอยู่ได้ ยิ่งสื่อสำนักใดที่สามารถ “ล้วงลึก” เอาความลับภายใน เอาชีวิตด้านที่ต้องการปกปิดของบรรดาคนดัง ผู้ลากมากดี คนใหญ่คนโตมากอำนาจบารมีมาตีแผ่-เผยแพร่ “แฉกันจะๆ” ให้บรรดาเหล่า Nobody ทั้งหลายได้รับรู้ ยิ่งเป็นเรื่องคาวๆ เสียๆ หายๆ ยิ่งชอบ ยิ่งดี ยิ่งเรตติ้งกระฉูด ( อย่าเถียงว่าไม่จริง คอลัมน์บันเทิงของเว็บไซต์หนังสือพิมพ์อิงกลุ่มการเมืองบางแห่ง กลายเป็นตัวชูโรง เรียกแขก เรียกเรตติ้งยิ่งกว่าเนื้อหาหลักของเว็บนั้นเสียอีก เพราะเขียนเรื่องใต้สะดือของดาราบ้าง บางครั้งก็พาดพิงนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามตัวเองบ้าง เรียกว่าชาวเน็ตรอคอยรอลุ้นกันตลอดว่าอาทิตย์นี้คอลัมนิสต์แกจะเขียนพาดพิงดาราคนไหนหรือไฮโซ-เซเล็บคนใด )
.
นั่นแหละครับ นักข่าวเขาก็มีวิธีหาข้อมูลทั้งบนดินและใต้ดิน แต่อย่าลืมว่าข้อมูลบางอย่าง แม้จะมีคนมาเล่าให้ฟัง แต่ตัวคนเล่าเขาก็ไม่อยากเปิดเผยว่าตัวเองเป็นใครเพราะมันจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน หรือแม้กระทั่งต่อชีวิตของเขาเองและครอบครัว ซึ่งคนทำงานข่าวทุกคนจะถูกสอนกันมาว่า “ต้องรักษาความลับของแหล่งข่าวยิ่งชีพ” คือไม่สามารถบอกกับสาธารณชนได้ว่าคนให้ข้อมูลเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงต้องใช้คำว่า “แหล่งข่าว” มาอ้างแทน
.
เรื่องนี้นักข่าวส่วนใหญ่รู้ดีกับตัว แต่ไม่คิดจะตอบโต้ เพราะยังไงก็คงโดนพวกผู้ดีจิ้มแป้นหาว่า “แถ-แก้ตัว” อยู่ดี!!!
.
“ซาดิสต์-หื่นกาม” 2 เรื่องนี้ขอพูดรวมๆ เพราะโดยลักษณะแล้วมันก็ทับซ้อนกัน กรณีนี้เห็นได้บ่อยจากข่าวหน้า 1 ในหนังสือพิมพ์ ถึงขนาดยุคหนึ่งคนทำหนังสือพิมพ์ ( หรือแม้แต่รายการโทรทัศน์ต้นตำรับการเล่าข่าว ) ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาแล้วว่าทำให้ประชาชนเสพติดความรุนแรง เปิดมาเจอแต่รูปศพถูกฆาตกรรม รูปรถชนกันประสานงาเละเทะ พาดหัวข่าวใช้คำแรงๆ “ดิบ-ถ่อย-เถื่อน” ตัวโตๆ กรอบใหญ่ๆ เช่นเดียวกัน พอวันอาทิตย์ก็นำภาพดารา-นางแบบแต่งตัววับๆ แวบๆ โชว์ส่วนโค้งส่วนเว้ามาลง แต่ทีข่าวเด็กคว้าเหรียญทองโอลิมปิกวิชาการ หรือมีคนคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ลงเป็นข่าวกรอบเล็กๆ บางทีไม่ปรากฏบนหน้า 1 อีกต่างหาก
.
ท่านรู้ไหมครับ? หนังสือพิมพ์เก่าแก่อายุหลายทศวรรษ ที่เขา “อหังการ์” กล้าประกาศว่าหนังสือพิมพ์ของข้ามียอดขายดีที่สุด เป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ก็เพราะข่าวร้ายๆ ข่าวหดหู่ที่บรรดาตุลาการหน้าจอเที่ยวก่นด่านี่แหละครับ ก็ช่วยไม่ได้ นิสัยมนุษย์มันดันชอบ “สนใจเรื่องร้ายๆ เรื่อง Ship หายของผู้อื่น” นี่ครับ พอมีคนตาย มีคนถูกทำร้าย มีความสุญเสีย มีความทุกข์ยากทรมาน ยิ่งผู้สื่อข่าวสามารถหาภาพที่ชวนสลดหดหู่ สยดสยองมาประกอบ หรือบรรยายให้ผู้อ่าน-ผู้ชมเกิด “มโนดราม่า” มีอารมณ์ร่วมได้มากเท่าใด หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นยิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
.
เช่นเดียวกัน ถ้าใครเป็นแฟนรายการเล่าข่าวเช้าๆ บางช่อง ( บางวันไม่เช้านะ มาเกือบเที่ยง และมีรายการช่วงเย็นด้วย ) ท่านจะเห็นว่าพิธีกรมีลีลาการนำเสนอที่ “เรียกน้ำตาและความแค้น” จากคนดูได้มาก คำถามที่ถูกยิงออกไปพร้อมกับสายตาและน้ำเสียงที่ “บีบหัวใจ” ให้แหล่งข่าวซึ่งถูกสัมภาษณ์ตอบกลับมาด้วยอารมณ์ที่ถ้าไม่สลดหดหู่สุดๆ ก็จะเป็นเดือดดาลสุดๆ ไปเลย เชื่อไหมครับ? พฤติกรรมการเล่าข่าวแบบนี้ ในภาควิชาการเขา “รังเกียจ” กันมาก ถ้าท่านไปดูความเห็นของนักวิชาการที่ชอบพูดเรื่องจริยธรรมสื่อ มักจะยกรายการของพิธีกรรายนี้เป็นตัวอย่างที่สื่อดีๆ ไม่ควรทำอยู่เสมอ แต่แล้วไงล่ะ? พิธีกรรายนี้ ใช้เวลาแค่ 10 กว่าปี ถีบตัวเองจากผู้สื่อข่าวธรรมดาๆ มาเป็นสื่อมวลชนที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ในระดับที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ศาสดาผู้มีอิทธิพล” ต่อสังคม ยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีเสียอีก
.
และการนำภาพดาราถ่ายแบบวาบหวิวมาโชว์ ก็ยอมรับเถอะครับ เรื่องเซ็กส์นี่มันอยู่ในกมลสันดานของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าชนชั้นไพร่หรือชนชั้นผู้ดี ไม่ว่าการศึกษาสูงหรือการศึกษาน้อย จะยากดีมีจน ขนาดในทางจิตวิทยา ยังยอมรับว่ามนุษย์เราอยู่ด้วยแรงขับดันทางเพศกันทั้งนั้น และไม่ใช่ว่าจะมีแต่คนรักเพศตรงข้าม ( หรือรักเพศเดียวกัน ) ที่ชอบ คนกลุ่มนี้เห็นรูปชาย-หญิงแต่งตัวน้อยชิ้นดังกล่าวแล้วอาจจะคิดเรื่องเสพกามารมณ์ แต่ชายจริงหญิงแท้ทั่วไป เห็นแล้วก็ยังชมเลยว่า "ผู้หญิงคนนี้-ผู้ชายคนนี้ หุ่นดีจัง ส่วนโค้งส่วนเว้าเห็นแล้วสวย-กล้ามเนื้อทุกส่วนแน่นๆ ล่ำๆ” แล้วก็กระตุ้นว่าตัวเองก็อยากมีหุ่นสวยๆ หล่อๆ แบบนี้บ้าง นี่แหละครับแรงขับดันทางเพศ สื่อมวลชนเขาเล่นกับ “ส่วนลึก” ในจิตใจมนุษย์เป็น ตอบสนองความต้องการที่เก็บซ่อนปิดบังไว้ของมนุษย์ได้ เขาจึงมีงานทำ มีรายได้จนทุกวันนี้
.
“อยากด่าก็ด่าไป สุดท้ายพวกลื้อก็ต้องมาเสพข่าวอั๊วอยู่ดี” ถ้าประโยคนี้ผมกล่าวผิด หนังสือพิมพ์บางฉบับคงเจ๊งไปแล้ว หรือนักเล่าข่าวบางรายคงไม่กลายมาเป็นเศรษฐีได้ จริงไหม?
.
สุดท้ายเรื่องยิบๆ ย่อยๆ ไล่ตั้งแต่การจอดรถ-ขับรถ ไปจนถึงการหามุมถ่ายภาพของช่างภาพ ตรงนี้อยากให้เข้าใจว่าเพราะสื่อมวลชนก็เป็น “ธุรกิจ” และเมื่อเป็นธุรกิจมันก็ต้อง “แข่งขัน” เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด แล้วลูกค้าจะเป็นใคร? ถ้าไม่ใช่บรรดาคนที่ด้านหนึ่งก็เที่ยวด่าสื่อมวลชนเลว แต่อีกด้านกลับเรียกร้องหาเรื่องแรงๆ มันส์ๆ จากสื่อเหล่านี้ ดูเถอะครับ วันนี้เรามีหนังสือพิมพ์กี่ฉบับ? มีวิทยุกี่คลื่น? มีทีวีทั้งดิจิตอลช่องเก่า-ช่องใหม่ รวมถึงช่องดาวเทียมอีกกี่ช่อง? ทุกช่องต้องการเจาะประเด็นร้อน ประเด็นที่สังคมนั้นๆ อยากรู้ ถ้าไม่ได้ประเด็นเด็นๆ หรือไม่ได้ภาพเด็ดๆ มาเป็นข่าว นั่นคือบกพร่องต่อหน้าที่อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเสี่ยงทำทุกอย่างที่มันหมิ่นเหม่ เพราะถูกพวกจิ้มแป้นด่า ก็ยังดีกว่าตกงานหรือองค์กรเจ๊ง
.
คำว่า “ตกข่าว” สำหรับนักข่าวและช่างภาพ ถือเป็นความผิดร้ายแรงในองค์กรนะครับ ถึงกับหมดอนาคตได้เลย!!!
.
นักวิชาการด้านสื่อบางท่านที่เที่ยวออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถามหาจริยธรรมคนทำงานข่าว เที่ยวพร่ำบอกอยากให้สื่อไทยสวยงามแบบสื่อต่างชาติ ไม่ลงรูปศพ ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว ไม่ขายดราม่า ฯลฯ ผมก็อยากถามย้อนกลับเช่นกัน..ถ้าวันนี้องค์กรต้นสังกัดของท่านไม่ได้รับ “เงื่อนไขพิเศษ” จนไม่ต้องสนใจเรตติ้ง ไม่ต้องสนใจค่าโฆษณา แต่ให้มาแข่งกันตรงๆ กับสื่ออื่นๆ ในตลาด ถามว่าจะยังมีปัญญาทำตัวเป็น “สื่ออุดมคติ” ที่ชอบชี้นิ้วว่าคนอื่นได้อีกหรือเปล่า?
.
ฉะนั้นก่อนที่บรรดา “ตุลาการหน้าจอ-ผู้ดีจิ้มแป้น” จะเที่ยวด่าคนทำงานสื่อว่าเลวร้ายอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีลองทบทวนตัวเองก่อนไหม? ว่าท่านมีนิสัยชอบยุ่ง-ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นหรือเปล่า? ถ้าใช่..ท่านก็ไม่ควรและไม่มีสิทธิ์ที่จะไปว่าคนทำสื่อหรอกครับ เพราะอาชีพเขาก็คือการ “สนอง Need” ของพวกท่านเองนั่นแหละ
.
สังคมนี้อยากได้สื่อที่มีคุณภาพ..ถามว่าคนในสังคมนี้คุณภาพถึงแล้วหรือยัง?
.
.
แล้วพบกันใหม่..สวัสดีครับ!!!
.
-------------------------------------
[คิดต่างขวางกระแส] อยากได้ “สื่อดี” ถามว่าวันนี้คนไทย “ดีพอ” แล้วหรือยัง?
.
.
By : TonyMao_NK51
E-Mail : tonymao_nk51@hotmail.com
Facebook Page : TonyMao_NK51
.
ออกตัวไว้ก่อนเลย ผมไม่ได้ทำงานในแวดวงสื่อมวลชน และประสบการณ์ที่ผ่านมาก็แค่เคย “ทำเนียน” เข้าไปถ่ายรูป-พูดคุยกับผู้คนที่มานั่งๆ นอนๆ ยืนๆ เดินๆ บนท้องถนนใน กทม. ทุกสี ทุกกลุ่ม ในมหกรรมเปิดแอร์แช่แข็งบ้าง จุดไฟให้ความอบอุ่นบ้างกับเมืองหลวงแห่งนี้ ก็เผอิญว่าพอได้คุยกับคนในวงการบ้าง ดังนั้นแล้วแม้พวกเขาซึ่งเป็น “ตัวจริง” จะอยู่เงียบๆ ไม่ออกมาตอบโต้อะไรกับบรรดา “คนดีหลังหน้าจอ” ทั้งหลาย แต่ในฐานะที่ผมมีโอกาสได้ได้เหยียบย่างเข้าไปเห็น-ไปได้ยินการทำงานของพวกเขา ผมจึงขอถือวิสาสะ “สอใส่เกือก” พูดแทนเสียหน่อย
.
เพราะมันทนไม่ได้จริงๆ ครับ..กับใครก็ไม่รู้ที่มีแค่คีย์บอร์ด ตัวตนก็ไม่รู้จัก ความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับก็ไม่มี แต่เที่ยวไปทำตัวเป็น “ตุลาการ” พิพากษาคนทำงานไปแล้ว ทั้งที่ไม่ได้เข้าใจข้อจำกัดอะไรของพวกเขาเลย!!!
.
ไปๆ มาๆ สื่อมวลชนชักจะไม่ต่างจากอาชีพอย่างนักการเมือง ตำรวจ ข้าราชการ หรือแม้กระทั่งดารา ที่ไม่ว่าจะขยับตัวไปทางไหน ทำอะไร หรือแม้แต่จะไม่ทำอะไร อยู่เฉยๆ ก็ถูกด่าถูกว่าสาดเสียเทเสียจากบรรดาคนดีนักจิ้มแป้น ไล่ตั้งแต่ข้อหาสุดคลาสสิกอย่าง “นั่งเทียน” เขียนข่าวขึ้นมาอย่างมั่วๆ ซั่วๆ ด้วยการอ้างแต่คำว่า “แหล่งข่าว” เท่านั้น , “ซาดิสต์” ชอบส่งเสริมความรุนแรงด้วยการลงรูปศพ ( ที่เซ็นเซอร์แล้ว ) เหยื่อฆาตกรรม หรือข่าวใหญ่ๆ มักมีแต่เรื่องฆ่ากันตายกับอุบัติเหตุสยดสยอง , “หื่นกาม” ด้วยการนำภาพดาราหรือนางแบบสวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นบ้าง ชุดว่ายน้ำวับๆ แวมๆ บ้างมาลงเพื่อเรียกเรตติ้ง , ไปจนถึงข้อหายิบๆ ย่อยๆ อย่างรถถ่ายทอดสัญญาณ ( OB ) หรือรถรับส่งนักข่าวสำนักต่างๆ จอดกีดขวางการจราจรบ้าง ขับรถเร็วอย่างกับรถแข่งบ้าง ล่าสุดก็เรื่อง “กาลเทศะ” จากข่าวการเสียชีวิตของนักดนตรีชื่อดังท่านหนึ่ง แล้วมีช่างภาพบางรายไปยืนค้ำหัวบิดาของผู้ตาย เพื่อจะได้ภาพมาออกรายการ
.
เห็นแบบนี้แล้วมันก็น่าถามกลับนะครับ..ว่าบรรดาผู้ดีนักจิ้มแป้นที่เที่ยวทำตัวเป็นตุลาการ เคยลอง “ย้อนดูตัวเอง” บ้างไหม? ว่าที่ผ่านมาตั้งแต่จำความได้จนวันนี้ ได้ร่วมส่งเสริมให้คนทำงานสื่อมวลชน มีพฤติกรรมทั้งหมดตามที่ว่าบ้างหรือเปล่า?
.
เริ่มตั้งแต่ข้อหา “นั่งเทียน” ตรงนี้ท่านผู้มีคุณธรรมสูงส่งเคยทราบกันไหม? ว่าอาชีพสื่อมวลชนเกิดขึ้นมาเพราะอะไร? คำตอบก็ง่ายๆ ครับ “ความอยากรู้อยากเห็น” ของบรรดาปุถุชนคนธรรมดา เราๆ ท่านๆ นี่แหละ ที่หล่อเลี้ยงให้พวกเขายังทำงานอยู่ได้ ยิ่งสื่อสำนักใดที่สามารถ “ล้วงลึก” เอาความลับภายใน เอาชีวิตด้านที่ต้องการปกปิดของบรรดาคนดัง ผู้ลากมากดี คนใหญ่คนโตมากอำนาจบารมีมาตีแผ่-เผยแพร่ “แฉกันจะๆ” ให้บรรดาเหล่า Nobody ทั้งหลายได้รับรู้ ยิ่งเป็นเรื่องคาวๆ เสียๆ หายๆ ยิ่งชอบ ยิ่งดี ยิ่งเรตติ้งกระฉูด ( อย่าเถียงว่าไม่จริง คอลัมน์บันเทิงของเว็บไซต์หนังสือพิมพ์อิงกลุ่มการเมืองบางแห่ง กลายเป็นตัวชูโรง เรียกแขก เรียกเรตติ้งยิ่งกว่าเนื้อหาหลักของเว็บนั้นเสียอีก เพราะเขียนเรื่องใต้สะดือของดาราบ้าง บางครั้งก็พาดพิงนักการเมืองฝ่ายตรงข้ามตัวเองบ้าง เรียกว่าชาวเน็ตรอคอยรอลุ้นกันตลอดว่าอาทิตย์นี้คอลัมนิสต์แกจะเขียนพาดพิงดาราคนไหนหรือไฮโซ-เซเล็บคนใด )
.
นั่นแหละครับ นักข่าวเขาก็มีวิธีหาข้อมูลทั้งบนดินและใต้ดิน แต่อย่าลืมว่าข้อมูลบางอย่าง แม้จะมีคนมาเล่าให้ฟัง แต่ตัวคนเล่าเขาก็ไม่อยากเปิดเผยว่าตัวเองเป็นใครเพราะมันจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงาน หรือแม้กระทั่งต่อชีวิตของเขาเองและครอบครัว ซึ่งคนทำงานข่าวทุกคนจะถูกสอนกันมาว่า “ต้องรักษาความลับของแหล่งข่าวยิ่งชีพ” คือไม่สามารถบอกกับสาธารณชนได้ว่าคนให้ข้อมูลเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงต้องใช้คำว่า “แหล่งข่าว” มาอ้างแทน
.
เรื่องนี้นักข่าวส่วนใหญ่รู้ดีกับตัว แต่ไม่คิดจะตอบโต้ เพราะยังไงก็คงโดนพวกผู้ดีจิ้มแป้นหาว่า “แถ-แก้ตัว” อยู่ดี!!!
.
“ซาดิสต์-หื่นกาม” 2 เรื่องนี้ขอพูดรวมๆ เพราะโดยลักษณะแล้วมันก็ทับซ้อนกัน กรณีนี้เห็นได้บ่อยจากข่าวหน้า 1 ในหนังสือพิมพ์ ถึงขนาดยุคหนึ่งคนทำหนังสือพิมพ์ ( หรือแม้แต่รายการโทรทัศน์ต้นตำรับการเล่าข่าว ) ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาแล้วว่าทำให้ประชาชนเสพติดความรุนแรง เปิดมาเจอแต่รูปศพถูกฆาตกรรม รูปรถชนกันประสานงาเละเทะ พาดหัวข่าวใช้คำแรงๆ “ดิบ-ถ่อย-เถื่อน” ตัวโตๆ กรอบใหญ่ๆ เช่นเดียวกัน พอวันอาทิตย์ก็นำภาพดารา-นางแบบแต่งตัววับๆ แวบๆ โชว์ส่วนโค้งส่วนเว้ามาลง แต่ทีข่าวเด็กคว้าเหรียญทองโอลิมปิกวิชาการ หรือมีคนคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ๆ ลงเป็นข่าวกรอบเล็กๆ บางทีไม่ปรากฏบนหน้า 1 อีกต่างหาก
.
ท่านรู้ไหมครับ? หนังสือพิมพ์เก่าแก่อายุหลายทศวรรษ ที่เขา “อหังการ์” กล้าประกาศว่าหนังสือพิมพ์ของข้ามียอดขายดีที่สุด เป็นอันดับหนึ่งในแผ่นดิน ก็เพราะข่าวร้ายๆ ข่าวหดหู่ที่บรรดาตุลาการหน้าจอเที่ยวก่นด่านี่แหละครับ ก็ช่วยไม่ได้ นิสัยมนุษย์มันดันชอบ “สนใจเรื่องร้ายๆ เรื่อง Ship หายของผู้อื่น” นี่ครับ พอมีคนตาย มีคนถูกทำร้าย มีความสุญเสีย มีความทุกข์ยากทรมาน ยิ่งผู้สื่อข่าวสามารถหาภาพที่ชวนสลดหดหู่ สยดสยองมาประกอบ หรือบรรยายให้ผู้อ่าน-ผู้ชมเกิด “มโนดราม่า” มีอารมณ์ร่วมได้มากเท่าใด หนังสือพิมพ์ฉบับนั้นยิ่งขายดีเป็นเทน้ำเทท่า
.
เช่นเดียวกัน ถ้าใครเป็นแฟนรายการเล่าข่าวเช้าๆ บางช่อง ( บางวันไม่เช้านะ มาเกือบเที่ยง และมีรายการช่วงเย็นด้วย ) ท่านจะเห็นว่าพิธีกรมีลีลาการนำเสนอที่ “เรียกน้ำตาและความแค้น” จากคนดูได้มาก คำถามที่ถูกยิงออกไปพร้อมกับสายตาและน้ำเสียงที่ “บีบหัวใจ” ให้แหล่งข่าวซึ่งถูกสัมภาษณ์ตอบกลับมาด้วยอารมณ์ที่ถ้าไม่สลดหดหู่สุดๆ ก็จะเป็นเดือดดาลสุดๆ ไปเลย เชื่อไหมครับ? พฤติกรรมการเล่าข่าวแบบนี้ ในภาควิชาการเขา “รังเกียจ” กันมาก ถ้าท่านไปดูความเห็นของนักวิชาการที่ชอบพูดเรื่องจริยธรรมสื่อ มักจะยกรายการของพิธีกรรายนี้เป็นตัวอย่างที่สื่อดีๆ ไม่ควรทำอยู่เสมอ แต่แล้วไงล่ะ? พิธีกรรายนี้ ใช้เวลาแค่ 10 กว่าปี ถีบตัวเองจากผู้สื่อข่าวธรรมดาๆ มาเป็นสื่อมวลชนที่ร่ำรวยอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ในระดับที่อาจเรียกได้ว่าเป็น “ศาสดาผู้มีอิทธิพล” ต่อสังคม ยิ่งกว่านายกรัฐมนตรีเสียอีก
.
และการนำภาพดาราถ่ายแบบวาบหวิวมาโชว์ ก็ยอมรับเถอะครับ เรื่องเซ็กส์นี่มันอยู่ในกมลสันดานของมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าชนชั้นไพร่หรือชนชั้นผู้ดี ไม่ว่าการศึกษาสูงหรือการศึกษาน้อย จะยากดีมีจน ขนาดในทางจิตวิทยา ยังยอมรับว่ามนุษย์เราอยู่ด้วยแรงขับดันทางเพศกันทั้งนั้น และไม่ใช่ว่าจะมีแต่คนรักเพศตรงข้าม ( หรือรักเพศเดียวกัน ) ที่ชอบ คนกลุ่มนี้เห็นรูปชาย-หญิงแต่งตัวน้อยชิ้นดังกล่าวแล้วอาจจะคิดเรื่องเสพกามารมณ์ แต่ชายจริงหญิงแท้ทั่วไป เห็นแล้วก็ยังชมเลยว่า "ผู้หญิงคนนี้-ผู้ชายคนนี้ หุ่นดีจัง ส่วนโค้งส่วนเว้าเห็นแล้วสวย-กล้ามเนื้อทุกส่วนแน่นๆ ล่ำๆ” แล้วก็กระตุ้นว่าตัวเองก็อยากมีหุ่นสวยๆ หล่อๆ แบบนี้บ้าง นี่แหละครับแรงขับดันทางเพศ สื่อมวลชนเขาเล่นกับ “ส่วนลึก” ในจิตใจมนุษย์เป็น ตอบสนองความต้องการที่เก็บซ่อนปิดบังไว้ของมนุษย์ได้ เขาจึงมีงานทำ มีรายได้จนทุกวันนี้
.
“อยากด่าก็ด่าไป สุดท้ายพวกลื้อก็ต้องมาเสพข่าวอั๊วอยู่ดี” ถ้าประโยคนี้ผมกล่าวผิด หนังสือพิมพ์บางฉบับคงเจ๊งไปแล้ว หรือนักเล่าข่าวบางรายคงไม่กลายมาเป็นเศรษฐีได้ จริงไหม?
.
สุดท้ายเรื่องยิบๆ ย่อยๆ ไล่ตั้งแต่การจอดรถ-ขับรถ ไปจนถึงการหามุมถ่ายภาพของช่างภาพ ตรงนี้อยากให้เข้าใจว่าเพราะสื่อมวลชนก็เป็น “ธุรกิจ” และเมื่อเป็นธุรกิจมันก็ต้อง “แข่งขัน” เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้ได้มากที่สุด แล้วลูกค้าจะเป็นใคร? ถ้าไม่ใช่บรรดาคนที่ด้านหนึ่งก็เที่ยวด่าสื่อมวลชนเลว แต่อีกด้านกลับเรียกร้องหาเรื่องแรงๆ มันส์ๆ จากสื่อเหล่านี้ ดูเถอะครับ วันนี้เรามีหนังสือพิมพ์กี่ฉบับ? มีวิทยุกี่คลื่น? มีทีวีทั้งดิจิตอลช่องเก่า-ช่องใหม่ รวมถึงช่องดาวเทียมอีกกี่ช่อง? ทุกช่องต้องการเจาะประเด็นร้อน ประเด็นที่สังคมนั้นๆ อยากรู้ ถ้าไม่ได้ประเด็นเด็นๆ หรือไม่ได้ภาพเด็ดๆ มาเป็นข่าว นั่นคือบกพร่องต่อหน้าที่อย่างมาก ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องเสี่ยงทำทุกอย่างที่มันหมิ่นเหม่ เพราะถูกพวกจิ้มแป้นด่า ก็ยังดีกว่าตกงานหรือองค์กรเจ๊ง
.
คำว่า “ตกข่าว” สำหรับนักข่าวและช่างภาพ ถือเป็นความผิดร้ายแรงในองค์กรนะครับ ถึงกับหมดอนาคตได้เลย!!!
.
นักวิชาการด้านสื่อบางท่านที่เที่ยวออกมาวิพากษ์วิจารณ์ถามหาจริยธรรมคนทำงานข่าว เที่ยวพร่ำบอกอยากให้สื่อไทยสวยงามแบบสื่อต่างชาติ ไม่ลงรูปศพ ไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัว ไม่ขายดราม่า ฯลฯ ผมก็อยากถามย้อนกลับเช่นกัน..ถ้าวันนี้องค์กรต้นสังกัดของท่านไม่ได้รับ “เงื่อนไขพิเศษ” จนไม่ต้องสนใจเรตติ้ง ไม่ต้องสนใจค่าโฆษณา แต่ให้มาแข่งกันตรงๆ กับสื่ออื่นๆ ในตลาด ถามว่าจะยังมีปัญญาทำตัวเป็น “สื่ออุดมคติ” ที่ชอบชี้นิ้วว่าคนอื่นได้อีกหรือเปล่า?
.
ฉะนั้นก่อนที่บรรดา “ตุลาการหน้าจอ-ผู้ดีจิ้มแป้น” จะเที่ยวด่าคนทำงานสื่อว่าเลวร้ายอย่างนั้นอย่างนี้ บางทีลองทบทวนตัวเองก่อนไหม? ว่าท่านมีนิสัยชอบยุ่ง-ชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องคนอื่นหรือเปล่า? ถ้าใช่..ท่านก็ไม่ควรและไม่มีสิทธิ์ที่จะไปว่าคนทำสื่อหรอกครับ เพราะอาชีพเขาก็คือการ “สนอง Need” ของพวกท่านเองนั่นแหละ
.
สังคมนี้อยากได้สื่อที่มีคุณภาพ..ถามว่าคนในสังคมนี้คุณภาพถึงแล้วหรือยัง?
.
.
แล้วพบกันใหม่..สวัสดีครับ!!!
.
-------------------------------------