การเป็นมนุษย์เงินเดือน มีข้อดีเยอะมาก มีทั้งรายได้เข้าบัญชีทุกเดือน โบนัสทุกปี สวัสดิการค่ารักษาพยาบาล PVD ประกันสังคม
วันลากิจ ลาป่วย ลาพักร้อน มีสังคม ได้พูดคุยกับเพื่อน เจ้านาย ลูกน้อง สนุ๊กกกก สนุกค่ะ
แต่ทำไม กระแสตอนนี้ กลับบอกว่า ให้ลาออกไปเป็นเจ้าของธุรกิจ ไปเป็นนายตัวเอง ไปขายของตามตลาดนัด
ไปเล่นหุ้น ไปเทรด tfex forex จะได้ออกจาก Comfort Zone ซะ
แน่ใจเหรอ ว่ามันใช่ ???
เรามาดูวิธีออกจาก Comfort Zone แบบง่ายๆ สไตล์ มนุษย์เงินเดือนกันค่ะ
1. ไปเที่ยวต่างประเทศ แบบไปเองนะ ห้ามไปทัวร์ ถ้าไหวก็ไปปีละ 1 ครั้ง ถ้าไม่ไหวก็นานๆไปที
จองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัด จองที่พัก3-4ดาว เอาปลอดภัย มีโปร ไม่แพง
จัดโปรแกรมเดินทาง จะไปกี่วัน เที่ยวไหนบ้าง ลิสต์มาเล้ยยยย
ชวนเพื่อน ชวนครอบครัว ไปกัน พาแม่ไป ยิ่งดีค่ะ แม่เราชอบม๊ากกก ไปเที่ยวตปท.กับลูกน่ะ
เริ่มจากประเทศใกล้ๆก่อน สิงคโปร์ มาเลเซีย มาเก๊า ฮ่องกง ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้สบายๆ
ไกลหน่อย ก็ ญี่ปุ่น ยุโรป
ตอนไปครั้งแรก จะตื่นเต้นมาก จะรอดมั๊ยหว่า มีหลงทางบ้าง คุยไม่รู้เรื่องบ้าง แต่สนุกค่ะ บอกเลย ต้องลอง
เหตุผลที่ต้องการให้ไปเที่ยวตปท.ด้วยตัวเอง คือ
- จะได้มีความกล้า กล้าถาม กล้าพูดภาษาต่างประเทศ กล้าออกจากสถานที่เดิมๆที่คุ้นเคย กล้าทำอะไรที่ไม่เคยทำ กล้ากินของแปลกๆ
- รู้จักการวางแผน จะเดินทางอย่างไร ใช้จ่ายอย่างไร แลกเงินไปเท่าไหร่ พักที่ไหน เที่ยวที่ไหนให้สะดวก ประหยัด ปลอดภัย เก็บเอกสาร เก็บเงินอย่างไรให้ปลอดภัย
- รู้จักการเอาตัวรอด คนที่ไปเที่ยวเอง ต้องเจอปัญหา ต้องหลงทาง คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง จะดูแลตัวเองอย่างไรให้ไม่ป่วย และถ้าเกิดเรื่องฉุกเฉิน อุบัติเหตุขึ้นมาจะทำอย่างไร จะติดต่อใคร จะมีใครช่วยได้บ้าง
- ได้เห็นบ้านเมืองอื่น วัฒนธรรมในประเทศอื่นที่ต่างออกไป มีทั้งดี และไม่ดี ได้เอาสิ่งดีๆกลับมาใช้พัฒนาตัวเองได้
- ถ้าที่ทำงานจะส่งพนักงานไปอบรม ไปดูงาน ไปประชุม ที่ต่างประเทศ เขาไม่ให้ไปกันทั้งฝ่ายนะ มักจะให้ไปแค่ 1-2 คน คนที่จะไปได้ ส่วนใหญ่คือคนที่เคยไปต่างประเทศมาแล้ว และเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี พอลงจากเครื่องบินแล้วต้องเดินทางไปโรงแรมเอง เดินทางออกจากโรงแรมไปสถานที่ประชุม หรือจัดงานเอง (ก็มีบ้าง ที่มีรถมารับ-ส่ง แต่ว่าน้อยนะ ส่วนใหญ่ต้องดูแลตัวเอง โดยเฉพาะตอนเดินช้อปปิ้งช่วงกลางคืนน่ะ ใช่เลย ^ ^)
คนที่เคยไปเที่ยวตปท.ด้วยตัวเองมาแล้ว ลองสังเกตุดู ว่าตัวเองเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่ที่แน่ๆคุณจะมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและมองโลกในมุมที่แตกต่างออกไปจากเดิม
การทำบางเรื่องเป็นสิ่งที่ถูกต้องในประเทศเรา แต่เป็นเรื่องที่ผิดในประเทศอื่นก็มี จะได้ไม่ต้องไปยึดติด เราก็แค่ปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อม
ลูกก็มัวแต่ถ่ายรูปนะ คุณแม่ก็ ฮึบๆ ขึ้นบันไดกันไป
2. เรียน+ฝึกภาษาเพิ่ม : ภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่คิดว่าจะได้ใช้งาน เช่น ญี่ปุ่น จีน
เรียน+ฝึกให้สามารถสื่อสารได้ ทั้ง พูด ฟัง อ่าน เขียน ตอนนี้อาจจะยังมีแต่ลูกค้าคนไทย แต่อนาคตน่ะ คนต่างชาติมาแน่ๆ
ที่ทำงานเอง ก็ต้องใช้สินค้าจากบ.ต่างประเทศ มีลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น ท่องไว้ อย่ากลัว เรียนมาแล้ว ต้องทำได้ๆๆ
หรืออย่างที่เราทำคอนโดให้เช่า เคยให้เช่าแต่คนไทย แต่ตอนนี้คนไทยมีกำลังซื้อน้อยลงมาก ต้องรับผู้เช่าต่างชาติ
ตอนแรกกลัวคุยไม่รู้เรื่อง ทำไม่ได้ แต่พอเอาเข้าจริง เฮ้ยยย เราสามารถเม้าท์เป็นภาษาอังกฤษได้เป็นชั่วโมงๆ
ได้เพื่อนใหม่ แล้วครอบครัวของผู้เช่าเขาก็ทำธุรกิจอสังหาในอินเดีย ซะด้วย คุยกันสนุกเลย
3. เรียนปริญญาโท หรือถ้าไหว ก็เรียนปริญญาเอก ใน Top U ตามกำลังเงิน กำลังสมอง กำลังเวลา ที่เราจะเรียนได้ เอาให้สูงที่สุด ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้
มนุษย์เงินเดือน ก็เรียนโทได้จ้า สามารถเรียนภาคค่ำ หรือวันหยุดได้ มีหลายที่เลยนะ
คลาสที่แนะนำ คือ MBA ที่ผู้มาเรียน จบมาจากหลายคณะ ที่เห็นเยอะสุด ก็วิศวะ บัญชี นิเทศน์ และทำงานในหลายบริษัท
http://www.mbanewsthailand.com/
ถ้าใครห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย ลองดูรายละเอียดในเว็บนี้ก่อน จะได้ประเมินค่าใช้จ่ายและเก็บเงินล่วงหน้าไว้ได้
รวมถึงหลายๆมหาวิทยาลัย มีทุนการศึกษาให้นะคะ แต่มีจำนวนทุนให้ไม่มากนะ ลองติดต่อขอทุนดูได้
และข้อสอบ เน้นคำนวณ อัตราการแข่งขันสูงพอสมควร น่าจะ 6 - 10 :1 และข้อสอบที่เน้นคำนวณ บอกเลยว่า คนจบวิศวะ ได้เปรียบ
ส่วนภาษาอังกฤษ ก็ต้องผ่านค่ะ เอาเป็นว่า สู้ๆนะคะ ใครจะสอบก็รีบเตรียมตัว อ่านหนังสือซะ
สำหรับการที่บอกว่าให้เลือก Top U เพราะที่เหล่านี้ คือ แหล่งรวมคนเก่ง เป็นที่รวม Super Connection เลยล่ะ
แล้ว connection ที่มาจากเพื่อนในสมัยเรียน มีความจริงใจ และยั่งยืนกว่า ตอนทำงานมาก
ตอนเรียนจบ หางานทำ คนที่จบ Top U โดยเฉพาะที่ๆ ขึ้นชื่อว่าอาจารย์สอนแบบสุดโหด ทั้งให้งาน ให้การบ้านในภาคปฏิบัติโหดมาก
จะหางานดี เงินดี ได้ง่ายมาก เรียกว่าไม่ต้องหาดีกว่า มีบริษัทมาเปิดรับถึงที่ จองตัวกันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลย
ส่วนเงินเดือน ของเรา ตอนเรียนจบ ได้เพิ่มจาก ป.ตรี เท่านึงน่ะ(จาก 15K เป็น 30K) หลังจากนั้น แล้วแต่งาน แล้วแต่ประสบการณ์ ในงาน
คงบอกได้แค่นี้ ส่วนที่คุยกับเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน ส่วนใหญ่รายได้ดีขึ้นค่ะ
ส่วนรายได้ของคนที่ MBA Top20 ของโลก ตามนี้ค่ะ ถ้าจะมาเทียบเป็นในไทย ก็หาร เอาแล้วกัน
(อยากหาคำตอบในไทยให้นะ แต่หาไม่เจอ หรืออาจจะไม่มีหน่วยงานไหนเก็บสถิติไว้)
https://agenda.weforum.org/2015/06/these-are-the-top-20-mbas-in-the-world/
(ส่วน ปริญญาเอก เราเอง ก็ไม่สามารถเรียนได้ค่ะ แต่ขอขยายความ จากประสบการณ์ที่เคยเห็นมาใน คห.4-2 แล้วกันนะ)
4. ย้ายงานทุก 3 - 4 ปี
การย้ายงาน ไม่ใช่แค่ได้เงินเดือนเพิ่ม แต่ยังได้เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ เจ้านายใหม่ และที่สำคัญ ได้เรียนรู้ระบบงานใหม่
ถ้าเราสามารถย้ายงานจาก บ.เล็ก ไปบ.ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนถึงองค์กรชั้นนำในประเทศ หรือองค์กรที่ทำงานระดับโลกได้ จะได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก ถ้ามีโอกาสได้ทำงานนั้นจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือตำแหน่งสูง เงินเดือนสูง แล้วอยากลองออกมาทำธุรกิจเอง ตอนนั้นเราจะมีทั้ง เงินทุน ประสบการณ์ มีทักษะในหลายๆด้าน มี connection มากมาย จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จง่ายกว่าตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์เลยนะ
(เพิ่มเติม)
ข้อนี้ สำหรับคนที่ทำงานอยู่ในองค์กร ที่ดีมากๆอยู่แล้ว และทางองค์กรเปิดโอกาส และสนับสนุนให้พนักงานพัฒนาตัวเอง รวมถึงมีเงินเดือนที่ดี ไม่ต้องย้ายงานก็ได้ แต่ข้อนี้ เราอยากให้คน 2 กลุ่มได้อ่าน
1. คนที่ชอบบ่นว่า เงินเดือนน้อย งานไม่ดี เจ้านายไม่ดี ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งซักที คือ บ่นอยู่นั่นล่ะ
แล้วทำไม ไม่ย้ายงานล่ะ !!!
2. คนที่อยู่ บ.เดิม มานาน แล้วคิดว่างานสบาย เงินเรื่อยๆ ไม่ต้องดิ้นรนมาก
แต่ตอนนี้ การแข่งขันทั่วโลก รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
เราจะเห็นคนที่ โดนปลดออกจากงาน เพราะบ.จะลดค่าใช้จ่าย หรือเปลี่ยนไปใช้ outsource รวมถึงโดนปลดออก เพราะโดนเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาแทนที่คนเรื่อยๆ หรือมีเด็กรุ่นใหม่ที่เดี๋ยวนี้ เก่งมาก จบปริญญาโท กันเยอะมาก แล้วมีความสามารถหลายอย่าง ทั้งภาษา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ มาแทนที่คนรุ่นเก่าได้สบายๆ แถมยังจ่ายเงินเดือนน้อยกว่า คนที่ทำงานมานานๆแล้ว
ถ้ายังรักสบาย และรู้สึก Comfort อยู่ วันนึง อาจจะโดนปลดออกจากงานได้ เตรียมตัวกันไว้บ้างหรือยัง ???
การย้ายงาน เวลาไปคุย ไปสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะได้งานใหม่ หรือไม่ได้ ก็ตาม มันทำให้เราได้พิจารณาตัวเอง ว่าเรามี จุดด้อย อะไร ที่ต้องพัฒนาให้มากขึ้นบ้าง หรือเรามีจุดเด่นอะไร ที่น่าจะทำให้เราได้รับค่าตอบแทนที่ดีกว่านี้บ้าง
5. ลงทุน - ใช่ ลงทุน ถ้าไม่อยากลำบากตอนแก่ ต้องลงทุนในทรัพย์สิน ที่สร้างรายได้
การลงทุนมี 2 แบบ
1. ลงทุนแบบ ที่มีมืออาชีพ จัดการให้ หักบัญชีไปทุกเดือน เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลา เช่น กองทุน LTF RMF PVD
2. ลงทุนเอง ในอสังหา เช่น คอนโด บ้านเช่า หรือ ลงทุนในกองทุนอสังหา หุ้นปันผล หุ้นเติบโต หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล
แบบนี้จะระทึก เร้าใจ หายเบื่อแน่นอน เพราะต้องมีความรู้ด้วยตัวเอง อย่าหวังไปพึ่งใคร
ไม่มีใครทำให้เรารวยได้หรอก นอกจากตัวเอง ดังนั้น เวลาว่างต้องอ่านข่าว หาบทความ หาคลิปความรู้ในการลงทุน ไปสัมมนา
ชีวิตนี้ไม่มีวันเบื่อกันเลยล่ะ แถมยังเป็นผู้รอบรู้อีกต่างหาก คนที่เป็นนักลงทุน จะมีความรู้รอบด้าน หรืออย่างน้อย ก็รู้ลึกในสิ่งที่เราลงทุน
ได้ฟังมุมมองผู้บริหาร ที่บริหารบริษัทมาร์เก็ตแคประดับหมื่นล้าน แสนล้าน แนวคิดของผุ้บริหารระดับนี้ ไม่ธรรมดา น่าศึกษาแล้วนำมาปรับใช้กับชีวิตเรามากๆ
Credit : รูปจาก lpn.co.th
ถ้าใครตามไปอ่านใน fb จะรู้ว่า เราใช้เครดิตมนุษย์เงินเดือน นี่ล่ะ ลงทุนในคอนโด
มีเงินหลักล้าน ครั้งแรกได้ ก็เพราะคอนโด ซึ่งเบื้องหลังของการลงทุนในคอนโดได้นั้น
ต้องมีเครดิตจากสลิปเงินเดือน ต้องมีเงินเดือน มีโบนัส ที่เอามาผ่อน เอามาโปะคอนโด ด้วยนะ
ดังนั้น ข้อดีอีก 1 ข้อ ของการเป็นมนุษย์เงินเดือน คือ สามารถกู้ธนาคาร เอามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ได้ง่ายมาก
----------------------------------------------------------------------------------------------------- จบค่ะ
ขอให้มนุษย์เงินเดือนทุกท่าน โชคดี กับ 5 วิธีออกจาก Comfort Zone แบบง่ายๆ สไตล์มนุษย์เงินเดือน นะคะ
มีวิธีอื่นอีกไหมคะ บอกเราบ้างสิ ขอเราลอกบ้าง
ขอขอบคุณหลายๆความเห็นนะคะ ที่ช่วยกันแชร์ไอเดียที่ดีมากๆเลยค่ะ มีหลายเรื่องที่เรานึกไม่ถึง มีหลายเรื่องที่เราเขียนไม่ดี หรือเขียนอธิบายสั้นไปทำให้ขุ่นข้อง หมองใจ ต้องขออภัย จะทยอยแก้ไขให้ดีขึ้น จะได้เอาไปใช้งานได้นะคะ
อ่านภาคสองของกระทู้นี้ได้ที่
http://www.dd-healthy.com/archives/697
---------------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ และเรื่องราวดีดี ได้ที่
https://www.facebook.com/DDhealthymind
ขอวาร์ป ไปถก กันต่อ ใน คห.ที่ 57 นะคะ ( จขกท.ไปเที่ยวมา 4 วัน เลยเพิ่งมาตอบ ต้องขออภัย )
5 วิธีออกจาก Comfort Zone แบบง่ายๆ สไตล์มนุษย์เงินเดือน
วันลากิจ ลาป่วย ลาพักร้อน มีสังคม ได้พูดคุยกับเพื่อน เจ้านาย ลูกน้อง สนุ๊กกกก สนุกค่ะ
แต่ทำไม กระแสตอนนี้ กลับบอกว่า ให้ลาออกไปเป็นเจ้าของธุรกิจ ไปเป็นนายตัวเอง ไปขายของตามตลาดนัด
ไปเล่นหุ้น ไปเทรด tfex forex จะได้ออกจาก Comfort Zone ซะ
แน่ใจเหรอ ว่ามันใช่ ???
เรามาดูวิธีออกจาก Comfort Zone แบบง่ายๆ สไตล์ มนุษย์เงินเดือนกันค่ะ
1. ไปเที่ยวต่างประเทศ แบบไปเองนะ ห้ามไปทัวร์ ถ้าไหวก็ไปปีละ 1 ครั้ง ถ้าไม่ไหวก็นานๆไปที
จองตั๋วเครื่องบินราคาประหยัด จองที่พัก3-4ดาว เอาปลอดภัย มีโปร ไม่แพง
จัดโปรแกรมเดินทาง จะไปกี่วัน เที่ยวไหนบ้าง ลิสต์มาเล้ยยยย
ชวนเพื่อน ชวนครอบครัว ไปกัน พาแม่ไป ยิ่งดีค่ะ แม่เราชอบม๊ากกก ไปเที่ยวตปท.กับลูกน่ะ
เริ่มจากประเทศใกล้ๆก่อน สิงคโปร์ มาเลเซีย มาเก๊า ฮ่องกง ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้สบายๆ
ไกลหน่อย ก็ ญี่ปุ่น ยุโรป
ตอนไปครั้งแรก จะตื่นเต้นมาก จะรอดมั๊ยหว่า มีหลงทางบ้าง คุยไม่รู้เรื่องบ้าง แต่สนุกค่ะ บอกเลย ต้องลอง
เหตุผลที่ต้องการให้ไปเที่ยวตปท.ด้วยตัวเอง คือ
- จะได้มีความกล้า กล้าถาม กล้าพูดภาษาต่างประเทศ กล้าออกจากสถานที่เดิมๆที่คุ้นเคย กล้าทำอะไรที่ไม่เคยทำ กล้ากินของแปลกๆ
- รู้จักการวางแผน จะเดินทางอย่างไร ใช้จ่ายอย่างไร แลกเงินไปเท่าไหร่ พักที่ไหน เที่ยวที่ไหนให้สะดวก ประหยัด ปลอดภัย เก็บเอกสาร เก็บเงินอย่างไรให้ปลอดภัย
- รู้จักการเอาตัวรอด คนที่ไปเที่ยวเอง ต้องเจอปัญหา ต้องหลงทาง คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง จะดูแลตัวเองอย่างไรให้ไม่ป่วย และถ้าเกิดเรื่องฉุกเฉิน อุบัติเหตุขึ้นมาจะทำอย่างไร จะติดต่อใคร จะมีใครช่วยได้บ้าง
- ได้เห็นบ้านเมืองอื่น วัฒนธรรมในประเทศอื่นที่ต่างออกไป มีทั้งดี และไม่ดี ได้เอาสิ่งดีๆกลับมาใช้พัฒนาตัวเองได้
- ถ้าที่ทำงานจะส่งพนักงานไปอบรม ไปดูงาน ไปประชุม ที่ต่างประเทศ เขาไม่ให้ไปกันทั้งฝ่ายนะ มักจะให้ไปแค่ 1-2 คน คนที่จะไปได้ ส่วนใหญ่คือคนที่เคยไปต่างประเทศมาแล้ว และเอาตัวรอดได้เป็นอย่างดี พอลงจากเครื่องบินแล้วต้องเดินทางไปโรงแรมเอง เดินทางออกจากโรงแรมไปสถานที่ประชุม หรือจัดงานเอง (ก็มีบ้าง ที่มีรถมารับ-ส่ง แต่ว่าน้อยนะ ส่วนใหญ่ต้องดูแลตัวเอง โดยเฉพาะตอนเดินช้อปปิ้งช่วงกลางคืนน่ะ ใช่เลย ^ ^)
คนที่เคยไปเที่ยวตปท.ด้วยตัวเองมาแล้ว ลองสังเกตุดู ว่าตัวเองเปลี่ยนไปแค่ไหน แต่ที่แน่ๆคุณจะมีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นและมองโลกในมุมที่แตกต่างออกไปจากเดิม
การทำบางเรื่องเป็นสิ่งที่ถูกต้องในประเทศเรา แต่เป็นเรื่องที่ผิดในประเทศอื่นก็มี จะได้ไม่ต้องไปยึดติด เราก็แค่ปรับตัวไปตามสภาพแวดล้อม
ลูกก็มัวแต่ถ่ายรูปนะ คุณแม่ก็ ฮึบๆ ขึ้นบันไดกันไป
2. เรียน+ฝึกภาษาเพิ่ม : ภาษาอังกฤษ หรือภาษาที่คิดว่าจะได้ใช้งาน เช่น ญี่ปุ่น จีน
เรียน+ฝึกให้สามารถสื่อสารได้ ทั้ง พูด ฟัง อ่าน เขียน ตอนนี้อาจจะยังมีแต่ลูกค้าคนไทย แต่อนาคตน่ะ คนต่างชาติมาแน่ๆ
ที่ทำงานเอง ก็ต้องใช้สินค้าจากบ.ต่างประเทศ มีลูกค้าต่างประเทศเพิ่มขึ้น ท่องไว้ อย่ากลัว เรียนมาแล้ว ต้องทำได้ๆๆ
หรืออย่างที่เราทำคอนโดให้เช่า เคยให้เช่าแต่คนไทย แต่ตอนนี้คนไทยมีกำลังซื้อน้อยลงมาก ต้องรับผู้เช่าต่างชาติ
ตอนแรกกลัวคุยไม่รู้เรื่อง ทำไม่ได้ แต่พอเอาเข้าจริง เฮ้ยยย เราสามารถเม้าท์เป็นภาษาอังกฤษได้เป็นชั่วโมงๆ
ได้เพื่อนใหม่ แล้วครอบครัวของผู้เช่าเขาก็ทำธุรกิจอสังหาในอินเดีย ซะด้วย คุยกันสนุกเลย
3. เรียนปริญญาโท หรือถ้าไหว ก็เรียนปริญญาเอก ใน Top U ตามกำลังเงิน กำลังสมอง กำลังเวลา ที่เราจะเรียนได้ เอาให้สูงที่สุด ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้
มนุษย์เงินเดือน ก็เรียนโทได้จ้า สามารถเรียนภาคค่ำ หรือวันหยุดได้ มีหลายที่เลยนะ
คลาสที่แนะนำ คือ MBA ที่ผู้มาเรียน จบมาจากหลายคณะ ที่เห็นเยอะสุด ก็วิศวะ บัญชี นิเทศน์ และทำงานในหลายบริษัท
http://www.mbanewsthailand.com/
ถ้าใครห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย ลองดูรายละเอียดในเว็บนี้ก่อน จะได้ประเมินค่าใช้จ่ายและเก็บเงินล่วงหน้าไว้ได้
รวมถึงหลายๆมหาวิทยาลัย มีทุนการศึกษาให้นะคะ แต่มีจำนวนทุนให้ไม่มากนะ ลองติดต่อขอทุนดูได้
และข้อสอบ เน้นคำนวณ อัตราการแข่งขันสูงพอสมควร น่าจะ 6 - 10 :1 และข้อสอบที่เน้นคำนวณ บอกเลยว่า คนจบวิศวะ ได้เปรียบ
ส่วนภาษาอังกฤษ ก็ต้องผ่านค่ะ เอาเป็นว่า สู้ๆนะคะ ใครจะสอบก็รีบเตรียมตัว อ่านหนังสือซะ
สำหรับการที่บอกว่าให้เลือก Top U เพราะที่เหล่านี้ คือ แหล่งรวมคนเก่ง เป็นที่รวม Super Connection เลยล่ะ
แล้ว connection ที่มาจากเพื่อนในสมัยเรียน มีความจริงใจ และยั่งยืนกว่า ตอนทำงานมาก
ตอนเรียนจบ หางานทำ คนที่จบ Top U โดยเฉพาะที่ๆ ขึ้นชื่อว่าอาจารย์สอนแบบสุดโหด ทั้งให้งาน ให้การบ้านในภาคปฏิบัติโหดมาก
จะหางานดี เงินดี ได้ง่ายมาก เรียกว่าไม่ต้องหาดีกว่า มีบริษัทมาเปิดรับถึงที่ จองตัวกันตั้งแต่ยังเรียนไม่จบเลย
ส่วนเงินเดือน ของเรา ตอนเรียนจบ ได้เพิ่มจาก ป.ตรี เท่านึงน่ะ(จาก 15K เป็น 30K) หลังจากนั้น แล้วแต่งาน แล้วแต่ประสบการณ์ ในงาน
คงบอกได้แค่นี้ ส่วนที่คุยกับเพื่อนๆ ที่เรียนด้วยกัน ส่วนใหญ่รายได้ดีขึ้นค่ะ
ส่วนรายได้ของคนที่ MBA Top20 ของโลก ตามนี้ค่ะ ถ้าจะมาเทียบเป็นในไทย ก็หาร เอาแล้วกัน
(อยากหาคำตอบในไทยให้นะ แต่หาไม่เจอ หรืออาจจะไม่มีหน่วยงานไหนเก็บสถิติไว้)
https://agenda.weforum.org/2015/06/these-are-the-top-20-mbas-in-the-world/
(ส่วน ปริญญาเอก เราเอง ก็ไม่สามารถเรียนได้ค่ะ แต่ขอขยายความ จากประสบการณ์ที่เคยเห็นมาใน คห.4-2 แล้วกันนะ)
4. ย้ายงานทุก 3 - 4 ปี
การย้ายงาน ไม่ใช่แค่ได้เงินเดือนเพิ่ม แต่ยังได้เพื่อนใหม่ สังคมใหม่ เจ้านายใหม่ และที่สำคัญ ได้เรียนรู้ระบบงานใหม่
ถ้าเราสามารถย้ายงานจาก บ.เล็ก ไปบ.ใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น จนถึงองค์กรชั้นนำในประเทศ หรือองค์กรที่ทำงานระดับโลกได้ จะได้เรียนรู้อะไรเยอะมาก ถ้ามีโอกาสได้ทำงานนั้นจนเป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือตำแหน่งสูง เงินเดือนสูง แล้วอยากลองออกมาทำธุรกิจเอง ตอนนั้นเราจะมีทั้ง เงินทุน ประสบการณ์ มีทักษะในหลายๆด้าน มี connection มากมาย จะทำอะไรก็ประสบความสำเร็จง่ายกว่าตอนที่ยังไม่มีประสบการณ์เลยนะ
(เพิ่มเติม)
ข้อนี้ สำหรับคนที่ทำงานอยู่ในองค์กร ที่ดีมากๆอยู่แล้ว และทางองค์กรเปิดโอกาส และสนับสนุนให้พนักงานพัฒนาตัวเอง รวมถึงมีเงินเดือนที่ดี ไม่ต้องย้ายงานก็ได้ แต่ข้อนี้ เราอยากให้คน 2 กลุ่มได้อ่าน
1. คนที่ชอบบ่นว่า เงินเดือนน้อย งานไม่ดี เจ้านายไม่ดี ไม่ได้เลื่อนตำแหน่งซักที คือ บ่นอยู่นั่นล่ะ
แล้วทำไม ไม่ย้ายงานล่ะ !!!
2. คนที่อยู่ บ.เดิม มานาน แล้วคิดว่างานสบาย เงินเรื่อยๆ ไม่ต้องดิ้นรนมาก
แต่ตอนนี้ การแข่งขันทั่วโลก รุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ
เราจะเห็นคนที่ โดนปลดออกจากงาน เพราะบ.จะลดค่าใช้จ่าย หรือเปลี่ยนไปใช้ outsource รวมถึงโดนปลดออก เพราะโดนเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาแทนที่คนเรื่อยๆ หรือมีเด็กรุ่นใหม่ที่เดี๋ยวนี้ เก่งมาก จบปริญญาโท กันเยอะมาก แล้วมีความสามารถหลายอย่าง ทั้งภาษา โปรแกรมคอมพิวเตอร์ มาแทนที่คนรุ่นเก่าได้สบายๆ แถมยังจ่ายเงินเดือนน้อยกว่า คนที่ทำงานมานานๆแล้ว
ถ้ายังรักสบาย และรู้สึก Comfort อยู่ วันนึง อาจจะโดนปลดออกจากงานได้ เตรียมตัวกันไว้บ้างหรือยัง ???
การย้ายงาน เวลาไปคุย ไปสัมภาษณ์งาน ไม่ว่าจะได้งานใหม่ หรือไม่ได้ ก็ตาม มันทำให้เราได้พิจารณาตัวเอง ว่าเรามี จุดด้อย อะไร ที่ต้องพัฒนาให้มากขึ้นบ้าง หรือเรามีจุดเด่นอะไร ที่น่าจะทำให้เราได้รับค่าตอบแทนที่ดีกว่านี้บ้าง
5. ลงทุน - ใช่ ลงทุน ถ้าไม่อยากลำบากตอนแก่ ต้องลงทุนในทรัพย์สิน ที่สร้างรายได้
การลงทุนมี 2 แบบ
1. ลงทุนแบบ ที่มีมืออาชีพ จัดการให้ หักบัญชีไปทุกเดือน เหมาะสำหรับคนที่ไม่มีเวลา เช่น กองทุน LTF RMF PVD
2. ลงทุนเอง ในอสังหา เช่น คอนโด บ้านเช่า หรือ ลงทุนในกองทุนอสังหา หุ้นปันผล หุ้นเติบโต หุ้นกู้ พันธบัตรรัฐบาล
แบบนี้จะระทึก เร้าใจ หายเบื่อแน่นอน เพราะต้องมีความรู้ด้วยตัวเอง อย่าหวังไปพึ่งใคร
ไม่มีใครทำให้เรารวยได้หรอก นอกจากตัวเอง ดังนั้น เวลาว่างต้องอ่านข่าว หาบทความ หาคลิปความรู้ในการลงทุน ไปสัมมนา
ชีวิตนี้ไม่มีวันเบื่อกันเลยล่ะ แถมยังเป็นผู้รอบรู้อีกต่างหาก คนที่เป็นนักลงทุน จะมีความรู้รอบด้าน หรืออย่างน้อย ก็รู้ลึกในสิ่งที่เราลงทุน
ได้ฟังมุมมองผู้บริหาร ที่บริหารบริษัทมาร์เก็ตแคประดับหมื่นล้าน แสนล้าน แนวคิดของผุ้บริหารระดับนี้ ไม่ธรรมดา น่าศึกษาแล้วนำมาปรับใช้กับชีวิตเรามากๆ
Credit : รูปจาก lpn.co.th
ถ้าใครตามไปอ่านใน fb จะรู้ว่า เราใช้เครดิตมนุษย์เงินเดือน นี่ล่ะ ลงทุนในคอนโด
มีเงินหลักล้าน ครั้งแรกได้ ก็เพราะคอนโด ซึ่งเบื้องหลังของการลงทุนในคอนโดได้นั้น
ต้องมีเครดิตจากสลิปเงินเดือน ต้องมีเงินเดือน มีโบนัส ที่เอามาผ่อน เอามาโปะคอนโด ด้วยนะ
ดังนั้น ข้อดีอีก 1 ข้อ ของการเป็นมนุษย์เงินเดือน คือ สามารถกู้ธนาคาร เอามาลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ได้ง่ายมาก
----------------------------------------------------------------------------------------------------- จบค่ะ
ขอให้มนุษย์เงินเดือนทุกท่าน โชคดี กับ 5 วิธีออกจาก Comfort Zone แบบง่ายๆ สไตล์มนุษย์เงินเดือน นะคะ
มีวิธีอื่นอีกไหมคะ บอกเราบ้างสิ ขอเราลอกบ้าง
ขอขอบคุณหลายๆความเห็นนะคะ ที่ช่วยกันแชร์ไอเดียที่ดีมากๆเลยค่ะ มีหลายเรื่องที่เรานึกไม่ถึง มีหลายเรื่องที่เราเขียนไม่ดี หรือเขียนอธิบายสั้นไปทำให้ขุ่นข้อง หมองใจ ต้องขออภัย จะทยอยแก้ไขให้ดีขึ้น จะได้เอาไปใช้งานได้นะคะ
อ่านภาคสองของกระทู้นี้ได้ที่ http://www.dd-healthy.com/archives/697
---------------------------------------------------------------------------------------------
ติดตามข่าวสาร ความรู้ และเรื่องราวดีดี ได้ที่ https://www.facebook.com/DDhealthymind
ขอวาร์ป ไปถก กันต่อ ใน คห.ที่ 57 นะคะ ( จขกท.ไปเที่ยวมา 4 วัน เลยเพิ่งมาตอบ ต้องขออภัย )