สวัสดีครับ เมื่อวันที่ 23 ก.ค. ผมได้ไปดูหนังเรื่อง "คืนนั้น" ที่เมเจอร์ปิ่นเกล้ามาครับ ตอน14.30น.
นับว่าเป็นวันแรกที่ฉายโรงแบบเป็นทางการซะด้วย คนก็เยอะอยู่พอสมควร หลังจากที่เฝ้าติดตามทางเฟซบุ๊กมายาวนาน
โดยส่วนตัวพลาดหนังเกย์ไปหลายเรื่องเลยครับเพราะอยู่นครปฐม รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันนะ เพราะในใจอยากรู้ว่าความรู้สึกที่เค้าเคยดู "รักแห่งสยาม" พร้อมกันในโรงมันเป็นยังไง (ได้ข่าวว่าถึงขนาดยืนปรบมือเชียว)
(***หลังจากนี้มีการบอกเนื้อหาในหนัง***)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ในหนังเรื่องนี้เปิดตัวมาด้วยความน่ารัก หน้าตาที่ดูใสๆของไวน์(นายเอก)นั่งอยู่บนเตียงพร้อมหนุ่มหล่อที่จ้องตากันหวานแหวว มุ้งมิ้งกันอยู่บนเตียง ต่อด้วยฉากที่หนังทั่วไปของไทยยังไม่ค่อยกล้าทำคือการจูบดูดดื่มแบบฝรั่ง จูบแบบคนจูบกันจริงๆ เหมือนคนอยากจะมีเซ็กส์กัน
ซึ่งผมคิดว่ามันสมจริงมาก วัยรุ่นสมัยนี้เล่นฉากแบบนี้ได้อยู่แล้ว ไม่ต้องสอนอะไรมาก ในตอนนั้นก็คิดว่าเออ ใช้ได้เลย หนังไทยจูบกันเป็นซะที ไม่ได้ทำแค่จูบแบบแปะๆแบบกลัวคนดูรู้ว่าจูบกันแล้ว ในส่วนนี้คิดว่าเป็นการเปิดทางให้ผู้กำกับหลายคนไทยกล้าที่จะทำหนังให้สมจริงมากขึ้น
และเมื่อหนังมาถึงจุดสำคัญคือตอนที่นายเอกพบพระเอก ในเรื่องของการการสนทนา และการแสดงอารมณ์ต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในหนังยังมีจุดบกพร่องอยู่หลายอย่าง แม้คำพูดของไวน์จะแสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนที่สุภาพก็ตามที แต่เรื่องทั้งเรื่องผู้กำกับแทบจะผูกคำสรรพนามไว้ให้ตัวละครใช้แค่สองอย่างคือ เรากับนาย ซึ่งมันทำให้เรื่องดำเนินไปอย่างไม่ลื่นไหลเมื่อถึงจุดๆหนึ่ง ทำให้อารมณ์ในฉากสำคัญของหนังส่งออกมาได้ไม่เต็มที่
การส่งสายตา การแสดงอารมณ์ และฉากเซ็กส์ผมว่ายังทำได้ดีกว่านี้มาก (โดยไม่จำเป็นต้องติดเรทกว่านี้) เพราะฉากเซ็กส์ที่ล้นไปด้วยการจูบแบบนี้น่าเบื่อเกินไป
ถึงจะมีความไม่ลื่นไหลของบทแต่ก็ไม่ใช่ว่าหนังเรื่องนี้ไม่น่าดูเลย ฉากเจ๋งๆที่มีสัญลักษณ์เป็นนัยยะเอาไว้ก็มีหลายอย่าง
1.เริ่มด้วยฉากตอนต้นเรื่องที่ไวน์นั่งรอแฟนหนุ่มอยู่บนตึกร้าง แต่อนิจจา หนุ่มคนนั้นกลับไม่มา ทิ้งให้นายเอกของเราต้องนั่งกอดเข่าอยู่บนตึกร้าง ท่ามกลางความมืดโดยมีแสงไฟจากรถที่สัญจรไปมาบนถนนกรุงเทพฯเป็นฉากหลัง หนังได้ใส่ความเร้าใจโดยการตัดภาพสลับกับการพูดคุยของเพื่อนๆที่หลอกนายเอกได้สำเร็จโดยมีแฟนหนุ่มผู้ไม่สนใจใยดีนายเอกอยู่ในวงนั้นด้วย พร้อมกับเปิดเพลงที่กัดกินหัวใจ แสดงถึงความสิ้นหวังของนายเอก ซึ่งพอตัดไปภาพที่นายเอกนั่งกอดเข่าอีกที ผมก็รู้สึกสิ้นหวังไปด้วยจริงๆ ถือว่าเลือกจังหวะการใช้เพลงได้ฉลาดมาก 10/10 คะแนน (อยากจะเข้าไปกอดไวน์เลย)
2.ฉากปลากินเบ็ด เป็นฉากที่สนองนี้ดคนที่อยากจะเข้ามาดูอยากเซ็กส์จริงๆ คือ มันใช่มาก ในฉากนี้ภาพข้างหลังมันดูมีพลัง มันส่งเสริมสิ่งที่ตัวละครต้องการจะทำ ต้องการจะสื่อ เป็นแรงผลักให้ฉากนี้ดูดีขึ้นมากทีเดียว (เจ๋งมาก!!!!!!)
3.นั่งข้างถังขยะ....
น้อยคนใช่ไหม ที่จะอยากนั่งที่พื้นถนนกับถังขยะ เพราะมันทำให้ตัวเองดูด้อยค่า เพราะถังขยะก็สื่อถึงสิ่งที่คนไม่ต้องการ ในหนังนายเอกและพระเอกนั่งอยู่กับของขยะอย่างสบายใจ เหมือนกับตัวเองก็เป็นส่วนนึงของพื้นที่ตรงนี้ (ส่วนหนึ่งที่สังคมไม่ต้องการ) ดูแล้วก็น่าหดหู่แทนคนสองคนที่นั่งด้วยกันเหมือนโลกทั้งใบไม่จำเป็นต้องมีคนอื่นเข้ามายุ่ง หรือให้ความสนใจ
4.ฉากที่นายเอกจำเรื่องราวในอดีตได้แล้ว เป็นฉากที่กุมหนังทั้งเรื่องไว้เลยทีเดียว ถ้าไม่มีฉากนี้บทหนังจะดูเบาหวิว ไร้เหตุผล&แก่นสาร
โดยส่วนตัวนักแสดงหลักทำออกมาได้ดีระดับนึง ถ้าคนที่อินกับหนังอาจจะมีน้ำตาซึมๆเหมือนผม(แต่คนข้างๆร้องไห้เลย) แต่คนเล่นบทพ่อยังสื่ออารมณ์ได้ไม่ดีเท่าที่ควรนะ ไม่งั้นจะเป็นฉากที่ประทับใจมากกว่านี้เยอะเลย สรุปฉากนี้กู้ชีพหนังทั้งเรื่อง
ก่อนจะจบลงแบบ Bad Ending ให้คนดูอย่างเราๆได้ตัดสินสิ่งถูกผิด และความไม่ยุติธรรมที่เกิดขึ้นในหนัง
#ซัน
ภาพยนตร์ "คืนนั้น Red wine in the dark night" ความฟิน บนความผิดหวัง
นับว่าเป็นวันแรกที่ฉายโรงแบบเป็นทางการซะด้วย คนก็เยอะอยู่พอสมควร หลังจากที่เฝ้าติดตามทางเฟซบุ๊กมายาวนาน
โดยส่วนตัวพลาดหนังเกย์ไปหลายเรื่องเลยครับเพราะอยู่นครปฐม รู้สึกตื่นเต้นเหมือนกันนะ เพราะในใจอยากรู้ว่าความรู้สึกที่เค้าเคยดู "รักแห่งสยาม" พร้อมกันในโรงมันเป็นยังไง (ได้ข่าวว่าถึงขนาดยืนปรบมือเชียว)
(***หลังจากนี้มีการบอกเนื้อหาในหนัง***)
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้