[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ที่มา https://www.facebook.com/TopSpeedTraining
เทคนิคที่ 1-4 การถนอมเครื่องยนต์
1.ควรตรวจเช็คกรองแอร์อย่างน้อยเดือนละครั้ง
ไส้กรองแอร์เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ง่ายต่อการตรวจเช็คเพราะอยู่หลังเก๊ะด้านที่นั่งข้างคนขับ และควรนำกรองแอร์ออกมาเคาะ/เป่าอย่างน้อยเดือนละครั้ง
เพราะจะทำให้การไหลของอากาศในแอร์รถยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากแอร์จะเย็นแล้ว ยังช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ซึ่งเป็นการประหยัดน้ำมันอีกทางหนึ่ง
2.เทคนิคตรวจสอบก่อนและหลังใช้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
สำหรับคนที่ใช้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องที่ศูนย์แล้วมีความสงสัยว่า ศูนย์ฯได้ทำการเปลี่ยนถ่ายจริงหรือไม่
ควรตรวจสอบ/จดจำสีและระดับน้ำมันเครื่อง รวมถึงทำตำหนิที่ไส้กรองก่อนและหลังใช้บริการ
3 เหตุผลที่ไม่ควรเร่งเครื่องทันทีหลัง Start รถ
1. น้ำมันเครื่อง น้ำหม้อน้ำยังเคลื่อนตัวไปหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์
2. น้ำมันเครื่อง น้ำหม้อน้ำยังมีอุณหภูมิไม่”อุ่น”พอสำหรับเครื่องยนต์
3. ระหว่างรอเครื่องยนต์อุ่น ควรตรวจสอบสัญญาณไฟบนแผงหน้าปัด รวมถึงลองเหยียบเบรกว่ายังทำงานปกติดีหรือไม่
4.ดูแลฝาถังน้ำมันให้สะอาดและปิดให้สนิท
เทคนิคที่ 5-8 การใช้งานและการดูแลรักษายางรถยนต์
5.หมั่นสังเกตหัวจ่ายลมก่อนเติมลมยาง
เพราะละอองน้ำหรือความชื้นเหล่านี้จะไปสะสมในล้อ สร้างความเสียหายแก่ล้อได้
6.จุ๊บลมเหล็กต้องหมั่นดูแล
ควรถอดออกมาสอบสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือจะให้ดีฉีด Sonax ไปเลยก็ยิ่งดีครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
7.ที่สูบลมจักรยานก็ใช้เติมลมยางรถยนต์ได้
8.สี่เหตุผลที่ควรใส่ใจกับเศษดินเศษหินที่ติดยางล้อ
1)ทำให้ล้อดูสกปรกไม่ชวนมอง
2)เศษดินที่ติดจะชักจูงให้สุนัขมาฉี่ใส่
3)เศษหินจะกระเด็นเมื่อรถขับเคลื่อน ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อรถและผู้ร่วมใช้ทาง
4)เมื่อขับรถผ่านพื้นผิวที่มีน้ำท่วมขังหรือมีฝนตก จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากการลื่นไถล
เทคนิคที่ 9-10 การใช้งานและการดูแลรักษาเบรกรถยนต์
9. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคทุกครั้ง ต้องไล่อากาศจากเบรคทั้ง 4 ล้อ
หลายๆศูนย์บริการมักเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคแค่ที่กระปุกน้ำมันเบรค ไม่ได้ไล่อากาศไล่น้ำมันเบรคเก่าที่ค้างในระบบทั้ง 4 ล้อ
เนื่องจากการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคนั้น ไม่ง่ายเหมือนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่แค่ขันน็อตถ่ายน้ำมันเครื่องด้านล่าง แล้วเติมน้ำมันเครื่องผ่านฝาด้านบน เพราะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคจะต้องค่อยๆถ่ายน้ำมันเบรคชุดเก่าออกทีละจุดแล้วจึงค่อยๆเทน้ำมันเบรคชุดใหม่ลงไป อีกทั้งต้องทำอย่างระมัดระวังไม่ให้อากาศเข้าไปในระบบน้ำมันเบรค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
10.การใช้งานเบรกหลังขับรถลุยน้ำ
เทคนิคที่ 11-12 การใช้งานและการดูแลรักษาระบบเกียร์
11.ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก 20,000 - 30,000 กิโลเมตร
เพราะคู่มือรถหลายๆค่ายแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ที่ระยะ 40,000 หรือ 60,000 กิโลเมตร แต่สภาพอากาศในเมืองไทยที่ร้อนชื้น ประกอบกับสภาพการจราจรที่ค่อนข้างติดขัด ส่งผลเกียร์ต้องทำงานหนักกว่าปกติ ดังนั้น ขอแนะนำให้เปลี่ยนทุก 20,000 - 30,000 กิโลเมตร หรือกรณีที่ใช้งานหนักมากควรเปลี่ยนที่ระยะ 10,000 กิโลเมตร
ทั้งนี้เพราะค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์นั้นแค่เพียงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความเสียหายที่ชุดเกียร์ที่ต้องเปลี่ยนใหม่ เนื่องจากเกียร์ที่ต้องงานอย่างหนักและพังก่อนกำหนด
สำหรับรถที่มีกรองน้ำมันเกียร์ก็ควรถอดออกมาล้างหรือเปลี่ยนชุดใหม่ไปพร้อมกับการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์พร้อมกัน รวมถึงอย่าลืมตรวจสอบน็อตหรือสลักถ่ายน้ำมันเกียร์และแหวนรองด้วยเช่นกัน ก็ควรเปลี่ยนน๊อตและแหวนรองชุดใหม่ไปเลย เนื่องจากน็อตที่บี้หรือแหวนรองเสื่อมสภาพจะส่งผลให้น้ำมันเกียร์รั่วไหลได้
12.เหยียบเบรคทุกครั้งก่อน Start รวมถึงทุกครั้งที่เปลี่ยนเกียร์จาก N หรือ P มาที่ D หรือ R
เพราะนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นถนอมเกียร์ ลดการขบกระแทกของชุดฟันเกียร์จากการเปลี่ยนเกียร์อย่างกะทันหัน
เนื่องจากหากรถที่ยังหยุดไม่สนิทจะสร้างความเสียหายให้ชุดเกียร์ได้ในระยะยาว
เทคนิคที่ 13-15 เทคนิคอื่นๆ
13.ไม่ควรห้อยของกับพวงกุญแจรถยนต์มากเกินไป
14. การสังเกตอาการผิดปกติของที่ปัดน้ำฝน
15.เทคนิครับมือรถจอดตากแดด
********15 เทคนิค การดูแลรักษารถยนต์ง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ ซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้********
เทคนิคที่ 1-4 การถนอมเครื่องยนต์
1.ควรตรวจเช็คกรองแอร์อย่างน้อยเดือนละครั้ง
ไส้กรองแอร์เป็นอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่ง่ายต่อการตรวจเช็คเพราะอยู่หลังเก๊ะด้านที่นั่งข้างคนขับ และควรนำกรองแอร์ออกมาเคาะ/เป่าอย่างน้อยเดือนละครั้ง
เพราะจะทำให้การไหลของอากาศในแอร์รถยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากแอร์จะเย็นแล้ว ยังช่วยลดภาระของเครื่องยนต์ซึ่งเป็นการประหยัดน้ำมันอีกทางหนึ่ง
2.เทคนิคตรวจสอบก่อนและหลังใช้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง
สำหรับคนที่ใช้บริการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องและไส้กรองน้ำมันเครื่องที่ศูนย์แล้วมีความสงสัยว่า ศูนย์ฯได้ทำการเปลี่ยนถ่ายจริงหรือไม่
ควรตรวจสอบ/จดจำสีและระดับน้ำมันเครื่อง รวมถึงทำตำหนิที่ไส้กรองก่อนและหลังใช้บริการ
3 เหตุผลที่ไม่ควรเร่งเครื่องทันทีหลัง Start รถ
1. น้ำมันเครื่อง น้ำหม้อน้ำยังเคลื่อนตัวไปหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ไม่สมบูรณ์
2. น้ำมันเครื่อง น้ำหม้อน้ำยังมีอุณหภูมิไม่”อุ่น”พอสำหรับเครื่องยนต์
3. ระหว่างรอเครื่องยนต์อุ่น ควรตรวจสอบสัญญาณไฟบนแผงหน้าปัด รวมถึงลองเหยียบเบรกว่ายังทำงานปกติดีหรือไม่
4.ดูแลฝาถังน้ำมันให้สะอาดและปิดให้สนิท
เทคนิคที่ 5-8 การใช้งานและการดูแลรักษายางรถยนต์
5.หมั่นสังเกตหัวจ่ายลมก่อนเติมลมยาง
เพราะละอองน้ำหรือความชื้นเหล่านี้จะไปสะสมในล้อ สร้างความเสียหายแก่ล้อได้
6.จุ๊บลมเหล็กต้องหมั่นดูแล
ควรถอดออกมาสอบสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือจะให้ดีฉีด Sonax ไปเลยก็ยิ่งดีครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
7.ที่สูบลมจักรยานก็ใช้เติมลมยางรถยนต์ได้
8.สี่เหตุผลที่ควรใส่ใจกับเศษดินเศษหินที่ติดยางล้อ
1)ทำให้ล้อดูสกปรกไม่ชวนมอง
2)เศษดินที่ติดจะชักจูงให้สุนัขมาฉี่ใส่
3)เศษหินจะกระเด็นเมื่อรถขับเคลื่อน ซึ่งจะสร้างผลกระทบต่อรถและผู้ร่วมใช้ทาง
4)เมื่อขับรถผ่านพื้นผิวที่มีน้ำท่วมขังหรือมีฝนตก จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุเนื่องจากการลื่นไถล
เทคนิคที่ 9-10 การใช้งานและการดูแลรักษาเบรกรถยนต์
9. เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคทุกครั้ง ต้องไล่อากาศจากเบรคทั้ง 4 ล้อ
หลายๆศูนย์บริการมักเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคแค่ที่กระปุกน้ำมันเบรค ไม่ได้ไล่อากาศไล่น้ำมันเบรคเก่าที่ค้างในระบบทั้ง 4 ล้อ
เนื่องจากการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคนั้น ไม่ง่ายเหมือนการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่แค่ขันน็อตถ่ายน้ำมันเครื่องด้านล่าง แล้วเติมน้ำมันเครื่องผ่านฝาด้านบน เพราะการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรคจะต้องค่อยๆถ่ายน้ำมันเบรคชุดเก่าออกทีละจุดแล้วจึงค่อยๆเทน้ำมันเบรคชุดใหม่ลงไป อีกทั้งต้องทำอย่างระมัดระวังไม่ให้อากาศเข้าไปในระบบน้ำมันเบรค
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
10.การใช้งานเบรกหลังขับรถลุยน้ำ
เทคนิคที่ 11-12 การใช้งานและการดูแลรักษาระบบเกียร์
11.ควรเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ทุก 20,000 - 30,000 กิโลเมตร
เพราะคู่มือรถหลายๆค่ายแนะนำให้เปลี่ยนน้ำมันเกียร์ที่ระยะ 40,000 หรือ 60,000 กิโลเมตร แต่สภาพอากาศในเมืองไทยที่ร้อนชื้น ประกอบกับสภาพการจราจรที่ค่อนข้างติดขัด ส่งผลเกียร์ต้องทำงานหนักกว่าปกติ ดังนั้น ขอแนะนำให้เปลี่ยนทุก 20,000 - 30,000 กิโลเมตร หรือกรณีที่ใช้งานหนักมากควรเปลี่ยนที่ระยะ 10,000 กิโลเมตร
ทั้งนี้เพราะค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์นั้นแค่เพียงไม่กี่ร้อยบาทเท่านั้น ซึ่งเทียบไม่ได้เลยกับความเสียหายที่ชุดเกียร์ที่ต้องเปลี่ยนใหม่ เนื่องจากเกียร์ที่ต้องงานอย่างหนักและพังก่อนกำหนด
สำหรับรถที่มีกรองน้ำมันเกียร์ก็ควรถอดออกมาล้างหรือเปลี่ยนชุดใหม่ไปพร้อมกับการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์พร้อมกัน รวมถึงอย่าลืมตรวจสอบน็อตหรือสลักถ่ายน้ำมันเกียร์และแหวนรองด้วยเช่นกัน ก็ควรเปลี่ยนน๊อตและแหวนรองชุดใหม่ไปเลย เนื่องจากน็อตที่บี้หรือแหวนรองเสื่อมสภาพจะส่งผลให้น้ำมันเกียร์รั่วไหลได้
12.เหยียบเบรคทุกครั้งก่อน Start รวมถึงทุกครั้งที่เปลี่ยนเกียร์จาก N หรือ P มาที่ D หรือ R
เพราะนอกจากจะเป็นการเสริมสร้างความปลอดภัยแล้ว ยังเป็นถนอมเกียร์ ลดการขบกระแทกของชุดฟันเกียร์จากการเปลี่ยนเกียร์อย่างกะทันหัน
เนื่องจากหากรถที่ยังหยุดไม่สนิทจะสร้างความเสียหายให้ชุดเกียร์ได้ในระยะยาว
เทคนิคที่ 13-15 เทคนิคอื่นๆ
13.ไม่ควรห้อยของกับพวงกุญแจรถยนต์มากเกินไป
14. การสังเกตอาการผิดปกติของที่ปัดน้ำฝน
15.เทคนิครับมือรถจอดตากแดด