ผมจะบวช7วัน แต่ผมคิดว่าทางพ่อแม่ จะมีการบังคับให้บวชต่ออีกสามเดือน

กระทู้คำถาม
คือในที่สุด(ก็ถึงคิวผมจนได้) ผมก็ต้องบวชหลังจากปฏิเสธอย่างจริงจังมาหลายครั้ง (เนื่องจากมีห่วง คือมีงาน มีครอบครัว และ สัตว์เลี้ยง ฯลฯ ต้องดูแล)
โดยที่ว่าจะบวชกัน 7วัน แต่ ยังไม่มีการกำหนดวัน บวชซักทีเดือนนี้ ทำให้ผม และคนที่ทำงานด้วย คิดว่า จะให้บวชก่อนเข้าพรรษา และให้คร่อมเข้าพรรษาไป ทำให้สึกไม่ได้ ซึ่งความจริงเข้าพรรษาก็สึกได้
ผมก็เลยลองถามดู กลายเป็นว่าบอกผมว่าว่าสึกไม่ได้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆระหว่างเข้าพรรษา
ในที่สุดผมก็เอาหลักฐานมายืนยันว่าสึกได้
แต่ถว่าทางนั้นก็อ้างว่าต้องรอฤกษ์ แล้วบอกว่าวันสึกสำคัญกว่าวันบวชซะอีก ซึ่งผมก็บอกว่า ฤกษ์สึกนี้พุทธกาลมีด้วยหรือ แน่นอนผมก็โดยผู้ใหญ่ด่า เหมือนเรื่อง สึกเข้าพรรษาไม่ได้ กลายเป็นว่ายอกว่าถ้าสึกตอนเข้าพรรษาจะเป็นบ้า ผมนี้เงิบรับประทานเลยครับ
ทั้งๆที่เรื่องบวชผมก็บอกแล้วว่า ผมเป็นคนเลว ไม่เหมาะกับการบวช แล้วให้คนไม่ศรัทธาไปบวชจะทำให้ศาสนาเสื่อมเสีย ก็ไม่ฟัง กลายเป็นว่ายิ่งเลวยิ่งต้องบวช ซะงั้น? ก็เลยถามเล่นๆว่าเป็นแบบเณรคำเป็นไง? กลับได้รับคำตอบว่า "ดี" ซะงั้น
พูดง่ายๆ ว่าตั้งแต่ตอนขานนาค ผมก็ต้องโกหกพระซะแล้ว ถึงจะบวชได้ ถัดมาผมก็ยอมตีตั๋วด่วนลงนรก ก็เพื่อให้คนที่ต้องการให้ผมบวชสบายใจ  
แต่ว่าถ้าต้องมาคูณเวลาทำบาปให้ผมนี้ผมไม่ไหวจริงๆนะครับ
พูดง่ายๆก็คือลิมิตการบวชของผมอยู่ได้แค่7วันเท่านั้น ไม่งั้นต้องมีคนลำบาก /ตกงาน/ไม่มีเงิน/สัตว์เลี้ยงต้องยกให้คนอื่น(ไม่รู้ว่าจะได้ไหม?) /คนตกนรก ฯลฯ
พูดกันซื่อๆคือถ้ามีเหตุการที่ผมกับที่ทำงานคาดไว้ว่า จะโดนบังคับให้บวชจนออกพรรษา ห้ามสึกก่อน สึกก่อนตัดครอบครัว ผมจะต้องทำอย่างไรครับ ? เพราะที่ผมบวชเพราะไม่อยากให้โดนตัดพ่อตัดแม่ตัดลูกเฉยๆครับ ไม่ได้เพราะ ศรัทธา ครับ  แล้วถ้าสัญญากันแล้ว7วันแต่ถ้าครบแล้วยังจะโดนตัดพ่อตัดแม่ตัดลูกอีกนี้ ผมว่ามันไม่แฟร์สำหรับลูกเลยนะครับ
คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 4
(เมนต์กันแบบสาระตรงๆไปเลยนะ ด้วยความปรารถนาดีต่อทุกคนครับ)

-  เราจะบวชให้เดือดร้อนตัวเองและเสียเวลาโดยใช่เหตุทำไม ?
-  ถ้าพ่อแม่ยังยึดถืองมงายอยู่อย่างนั้น เราจะมัวยึดถือปฏิบัติตามธรรมเนียมเพื่อสนองตัณหาอุปาทานอันคร่ำครึของท่านอยู่ทำไม ?
-  การที่เราวางอุเบกขาต่อความยึดถือของผู้อื่นแล้วทำการทำงานตามปกติของเราไปโดยที่ไม่เป็นโทษต่อตัวเองและผู้อื่น นั้นเป็นพฤติกรรมที่ถูกต้องดีงามแล้วไม่ใช่หรือ ?
-  กรณีที่พ่อแม่มัวยึดมั่นยึดถือโดยไม่ยอมละวาง ก็ขอให้เรามีความผ่องใสปล่อยวางได้เสมอ และอาจเสนอแนะให้ท่านรู้จักละวางตัณหาอุปาทานเท่าที่ช่วยแนะนำท่านได้  นี่ล่ะครับคือการส่งเสริมให้พ่อแม่เกิดปัญญาเข้าถึงธรรมที่ประเสริฐในทางศาสนา รวมถึงช่วยให้ท่านออกห่างศาสนาหรือสิ่งยึดถือแบบเดิม ซึ่งมีแต่จะจมอยู่ในภพหรือภาวะอาการทางจิตที่ไม่ควรเกิดขึ้น เช่น ภาวะหลงงมงาย,หลอนเป็นตุเป็นตะ,ลุ่มหลงเชื่อมั่นเป็นจริงเป็นจัง,ละโมบทะเยอทะยาน,หลงปลื้มปีติอย่างขาดวิจารณญาณ,คลั่งศาสนา,หลงเพี้ยนไปกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์หรือความเชื่อต่างๆ,เกิดอคติรุนแรงต่อผู้อื่นที่มิได้ยึดถือเหมือนตนเอง ฯลฯ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่