สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นนำก่อนว่า... ทริปนี้เป็นทริปการเดินทางออกนอกประเทศด้วยตัวเองครั้งแรกที่ผมวางแผนเอาไว้นานมาก
ทั้งหาข้อมูลที่ท่องเที่ยว ที่พัก การเดินทางและกำหนดการต่างๆ แต่ก่อนกำหนดการทุกอย่างจะเริ่มขึ้น 1 สัปดาห์
ผมก็มีความคิดว่าจะล้มเลิกแผนการเดินทางในครั้งนี้ เนื่องจากปัญหาทางด้านการเงินของผมเอง
แต่ก็มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนใจเพราะผมเล่าเรื่องทริปปากเซในครั้งนี้ให้รุ่นน้องคนนึงฟัง ปรากฏว่าน้องผมขอไปด้วย
ผมก็เลยต้องเลยตามเลย บอกมันว่าไปก็ไป พอใกล้วันแล้วค่อยไปเจอกันที่อุบลฯเลย
ผมได้แต่นับถอยหลังรอแล้ว รอเล่า ใจจดใจจ่อ จนในที่สุด.... ทริปของผมก็มาถึงซะที
Day 1 วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2558
หลังจากที่ผมและน้องผู้ร่วมทริปเก็บกระเป๋าออกจากบ้านของผมที่อุบลฯ เราก็มุ่งหน้าไปสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลฯทันที
เราเดินทางถึงสถานีขนส่งประมาณ 8 โมงครึ่ง(เมื่อวานเรามาขอจองตั๋วที่นี่ แต่คนขายตั๋วบอกว่าไม่รับจอง
เค้าบอกให้เรามาซื้อที่ช่องขายตั๋วตอนเช้าเลย) ผมก็ไปซื้อตั๋วรถบัสและรอเวลาที่รถจะเข้ามาจอดเทียบชานชลา
รถที่เราจะใช้เดินทางเพื่อไปยังเมืองปากเซก็คือรถบัสคันนี้ เป็นรถโดยสารระหว่างประเทศไทย-ลาวของบริษัทขนส่ง(มั้งนะ)
ค่ารถ 200 บาทต่อคน จะเดินทางต่อเดียวพาเราไปส่งถึงสถานีขนส่งหลักแปด เมืองปากเซ
การเดินรถจากไทยไปลาวมีเพียง 2 รอบต่อวัน คือ 9.30 และ 15.30 น. โดยขึ้นรถที่สถานีขนส่งเท่านั้น
ระหว่างทางจะมีเด็กรถมาถามว่า ใครไม่มีพาสปอร์ตบ้าง หากใครไม่มีเขาจะพาลงไปทำ Boarding Pass ก่อนถึงด่าน ตม.
แต่ถ้าใครไม่ชอบการเดินทางด้วยรถบัส ก็มีรถตู้ให้บริการเช่นกัน แต่จะเป็นรถตู้อุบล-ช่องเม็ก รถจะส่งท่านแค่ที่ด่านผ่านแดน
แล้วเราต้องไปต่อรถตู้จากด่านถึงปากเซอีกต่อนึง ค่ารถก็ต่อละ 100 บาท มีรถตู้วิ่งหลายรอบ
หากใครสนใจลองวิธีนี้การสามารถทำได้ เพียงแต่ผมไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ เพระเมื่อถึงด่านช่องเม็ก
รถตู้ที่จะต่อไปลาวออกไม่ตรงเวลา ต้องรอจนกว่าผู้โดยสารจะเต็มคันรถ คนขับถึงจะได้ฤกษ์สตาร์ทเครื่องยนต์
หลังจากที่เราเดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองรถบัสจะจอดให้เราลง เพื่อเดินทางไปประทับตราหนังสือเดินทาง
ในจุดนี้ก็ไม่ต้องอะไรมากครับ เดินตามผู้โดยสารคนอื่นเข้าไปในตึก กรอกแบบฟอร์มขาออก แล้วรอต่อแถวออกนอกประเทศไทยได้เลย
พอเราประทับตราหนังสือเดินทางฝั่งไทยเสร็จแล้ว เราต้องเดินไปปั๊มวีซ่าที่ด่าน ตม. ของลาวอีกครับ
โดยเดินลอดทางขาเข้า-ขาออก(ที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ) แล้วเดินตรงตามถนนไปเรื่อยๆ จะเห็นสำนักงานของ ตม. ลาว อยู่ฝั่งขวามือ
พอเจอแล้วก็เดินขึ้นไปแล้วเดินต่อไปข้างหลัง(ข้างหน้าจะเป็นการประทับขาออกครับ)
พอถึงจุดนี้เราก็เอาเอกสารมากรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและยื่นเข้าช่องได้เลยครับ
ตรงนี้ต้องขอเล่าหน่อยนะครับว่า ผมเก็บข้อมูลจากหลายที่ว่าค่าเข้าลาวจริงๆนั้นแค่ 40-50 บาทเท่านั้น
ให้เราถือเงินให้พอกับที่เราต้องจ่ายแล้วจะได้ราคาจริงๆ แต่ปรากฏว่าตอนนี้ไม่ได้แล้วนะครับ
ผมยังไม่ทันจะได้หยิบเงินขึ้นมาจ่าย เจ้าหน้าที่ในตู้ก็พูดออกมาก่อนที่ผมจะอ้าปากพูดอะไรซะอีก.... “ 100 บาท ”
โถ่วววว !! พี่เล่นดักผมงี้เลยหรอครับ ? แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ถือว่ายอมๆจ่ายไป เราไม่ได้มาที่นี่ทุกวันซะหน่อย
ตรงจุดทำวีซ่านี้เองที่ทำให้เราพบกับเพื่อนร่วมเดินทางชาวไทยอีก 2 คน พวกเขาขอตามไปเที่ยวกับพวกผมด้วย
ผมก็ไม่อะไรมากอยู่แล้วครับ ไปได้ก็ไป ค่อยคุยกันใหม่ เพราะตอนนี้ต้องไปขึ้นรถแล้วเนื่องจากรถบัสกำลังจะออกเดินทางต่อ
แต่พอผ่านมาได้ซัก 400 เมตรก็จะมีด่านตรวจของตำรวจฝั่งลาวมาตรวจสัมภาระใต้ท้องรถอีกที
จุดนี้ไม่มีอะไรมาก พอผ่านได้แล้วก็ยาวๆครับ รอเจอปากเซได้เลย
เราเดินทางมาถึงปากเซเวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ ตรงนี้เราจะสามารถขอลงที่ตัวเมืองปากเซได้เลย
แต่เนื่องด้วยความที่ผมยังไม่รู้อะไรมากพอ จุดหมายปลายทางของผมก็เลยยังคงเป็นที่ “ สถานีขนส่งผู้โดยสารหลักแปด ”
พอรถบัสเดินทางมาถึงสถานีโดยยังไม่ทันจะจอดสนิทดี จะมีเหล่าคนขับรถสองแถวรับจ้างมารุมล้อมกันที่ประตูรถ
ทันทีที่ประตูรถเปิดออกเราจะได้ยินเสียงคนเหล่านี้แย่งลูกค้ากัน และขอบอกเลยว่า... “ ราคาไม่เบาครับ ”
พอผมและคณะลงจากรถก็มีคนขับสองแถวเข้ามารุมล้อมเช่นกับนักท่องเที่ยวอื่นๆ ผมเดินแหวกออกมาทันทีเพราะรู้ดีว่า
" ยิ่งเราต่อรองเรื่องเวลาเท่าไหร่ ค่าโดยสารก็ยิ่งถูกลงเท่านั้น "
คนขับรถสองแถวคนแรกเข้ามาเสนอราคา 80 บาทต่อคน ไปที่ไหนก็ได้ในตัวเมือง
และก็อย่างที่รู้ๆกัน ผมบอกขอเดินดูตลาดก่อน (สถานีขนส่งที่นี่มีตลาดขายของเล็กๆข้างสถานี แต่ก็ไม่ค่อยน่าเดินเท่าไหร่)
พวกผมเดินต่อ แต่ก็ยังไม่คลาดสายตาของคนขับรถสองแถวคนแรกก็มีชายอีกคนเดินมาเสนอราคา 40 บาทต่อคนให้พวกผมในทันที
แต่ผมก็ยังดึงเช็งต่อไป เพราะในใจคิดว่าอาจได้ราคาที่ถูกกว่านี้ จึงตอบไปตามเดินว่า ขอเดินดูตลาดก่อน
ทันทีที่พวกผมเดินจากมา คนขับรถสองแถวคนแรกก็ปรี่เข้ามาหาชายผู้นั้นทันที ผมก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปเป็นอย่างไร ก็ได้แต่เพียงเดินชมตลาดต่อไป จนสุดท้ายคนขับรถสองแถวคนที่สองก็ขับรถมาถามผมอีกครั้ง... “ไปมั้ย ? 40 บาท”
จังหวะนี้คงไม่ต้องถามครับว่า พวกเราจะเอายังไง ในเมื่อตลาดก็ไม่มีอะไรให้เดินแล้ว กอปรกับในตลาดดูเหมือนกำลังจะมีมวยสด
พวกผมเลยไม่รอช้าครับ กระโดดขึ้นรถทันที จุดหมายปลายทางที่จะเดินทางต่อคือ “ โรงแรมลานคำ ”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ราคา 40 บาทถือเป็นราคาปกติที่สุดแล้วสำหรับนักท่องเที่ยว โปรดตกลงราคากับคนขับให้แน่ชัดก่อนขึ้นรถ
พอรถสองแถวส่งเราถึงที่แล้ว ผมคุยกับคนขับรถพักนึงเรื่องการท่องเที่ยวในละแวกใหล้เคียงแล้วเราก็เข้าเช็คอินกัน
โรงแรมนี้ผมเห็นข้อมูลจากหลายที่แนะนำมาเลยมาลองตามเค้าบ้าง เราเลือกห้อง 2 คนแยกกัน 2 ห้อง ค่าห้องก็อยู่ที่ 424 บาทต่อคืน
ห้องพักที่นี่ไม่ใหญ่มาก อาจจะเรียกว่าเล็กไปเลยก็ได้ ในห้องมีทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น แอร์ ตู้เย็น ฯ โดยรวมก็ไม่ถือว่าขี้เหร่เท่าไหร่
และก็เป็นไปตามแผน เราเลือกที่จะอยู่ปากเซแค่คืนเดียวก่อน เพราะตามกำหนดการ พวกผมจะออกเดินทางไปดอนเดดพรุ่งนี้เช้า
พอเราเก็บสัมภาระกันเรียบร้อยแล้ว ก็ลงมาแลกเงินซึ่งมีไว้บริการที่หน้าโรงแรม(อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น 242.2กีบ/บาท)
หลังจากแลกเงินกันเรียบร้อย อาหารในลาวมื้อแรกที่วางแผนมาหลายเดือนก็คือ
“เฝอลานคำ”
ซึ่งทั้งคนนอกและในพื้นที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็น
“เฝอที่อร่อยที่สุดในปากเซ”
สำหรับผมเองคิดว่า คนที่รู้จักรสชาติของเฝอ น่าจะเข้าใจได้ดี เพราะผมก็ไม่ใช่กูรูด้านอาหาร ไว้ถ้ามีโอกาสมาลองดูแล้วกันครับ
สนนราคาเฝอลานคำก็อยู่ที่ ชามเล็กไม่ใส่เนื้อ 15พันกีบ=60 บาท ใส่เนื้อถ้วยเล็ก 20พันกีบ ถ้วยใหญ่ 25พันกีบ
(ที่ลาวนับเงินเป็นพันตามฝรั่งเศส เช่น 15000=สิบห้าพัน ส่วนหลักอื่นๆเรียกตามปกติ ฝึกไว้ครับเพราะถ้าไปจริงๆอาจจะงง)
หลังจากอิ่มหมีพีมันกินกันแทบไม่หวาดไม่ไหว เราก็เดินทางไปเช่ารถมอไซค์เพื่อเดินทางท่องเที่ยวในภาคบ่าย
ซึ่งจุดหมายปลายทางในวันนี้คือ
“น้ำตกผาส้วม”
ร้านเช่ารถที่เราใช้บริการวันนี้อยู่ใกล้ๆโรงแรมครับ ไม่ต้องเดินไกล สนนราคาค่าเช่าก็...
หากเป็นฮอนด้าเวฟจะมีค่าเช่าอยู่ที่ 60 พันกีบต่อวัน หากเช่า 2 วันขึ้นไปอยู่ที่วันละ 50 พันกีบ สำหรับออโต้ 1 แสนกีบต่อวัน
เรื่องน้ำมัน... เติมเองครับ คนให้เช่าบอกว่าเรื่องน้ำมันขากลับ จะเหลือหรือไม่เหลือไว้ก็ได้ แต่หากรถมีการเสียหายต้องรับผิดชอบ
เป็นอันว่าเราเลือกฮอนด้าเวฟครับ เนื่องจากทางที่เราจะไปลำบากพอสมควร กลัวว่าออโต้จะเป็นภาหะระแทนพาหะนะเอาซะก่อน
อ่อออ ผมลืมบอกไปว่าที่ลาวขับรถทางขวานะครับ แรกๆอาจจะงงๆหน่อย แต่หลังๆเดี๋ยวก็ชินครับ ☺
ค่าน้ำมันแนะนำให้เติมแค่ 20 พันกีบพอนะครับ ขนาดผมขับแบบยับๆยังเหลือน้ำมันอาน
ไม่ต้องกลัวว่าน้ำมันจะไม่พอเพราะระหว่างทางมีปั๊มน้ำมันอยู่บ้างตลอดทางที่ไป ไม่ปั๊มใหญ่ก็ปั๊มหลอดครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ผมจองตั๋วไปดอนเดดที่เดียวกันกับที่เช่ารถเลย เพราะราคาถูก สนนราคา 55 พันกีบต่อคน รถออกเวลา 8 โมงเช้า
การเดินทางไปตาดผาส้วมจะใช้เส้นทางเดียวกันกับที่เราเดินทางไปหลักแปด(หลักในภาษาลาว=หลักกิโลเมตร)
ตรงนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าพอถึงวงเวียนแล้วให้ขวาตามวงเวียนไป จะเจอสี่แยกแล้วค่อยเลี้ยวซ้าย
แต่ถ้าใครอยากไปแบบพายุหมุนฝุ่นตลบกลบแผ่นดินทันที... อังกอร์ เอ้ยยย ไปทางลัด
แต่ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่เพราะถนนเส้นนี้ เค้ากำลังทำถนนกันอยู่ แต่ถ้าใจพอก็.... ถึงวงเวียนตรงยาวเลยครับ
หลังจากที่ขับรถมาถึงหลัก 21 (เลยโรงงานกาแฟดาวมาไม่ไกลมาก สังเกตได้จากป้ายหมู่บ้านหรือถามคนแถวนั้น)
เราจะมองเห็นสามแยกตรงหลัก 21 พอดี ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป ขับตรงไปเรื่อยๆประมาณ 18 กิโลเมตรจนถึงเมืองบาเจียง
สังเกตได้จากจะมีหมู่บ้านชนเผ่าปลูกอยู่เยอะอย่างผิดหูผิดตาหรือถ้าตาดีหน่อยก็ดูป้ายครับ
เพราะขนาดผมเองที่อ่านออกเขียนได้ยังอาศัยว่าถามคนในพื้นที่อยู่เลยครับ
พอถึงหมู่บ้านนี้จะมีสามแยกให้เราเลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าไปสู่น้ำตกผาส้วม
**** ถ้ากลัวหลงก็ถามครับ คนที่นี่ใจดีกับนักท่องเที่ยวแทบทุกคน ****
และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายแรกครับ.... “ น้ำตกผาส้วม ”
แค่ทางเข้านี่ผมก็บอกได้เลยครับว่า ธรรมชาติสุดๆ มีลำธาร มีป่า มีภูเขา ขับมาเรื่อยๆจะเจอทางเข้าซึ่งเป็นด่านเก็บเงิน
ค่าเข้าค่าเข้าชมที่นี่ก็คนละ 5000 กีบ ค่าฝากรถคันละ 3000 กีบ (มารู้ทีหลังว่าที่นี่ได้รับการสัมปทานโดยคนไทยครับ)
ทันทีที่ลงจากรถ... ผมสัมผัสได้ถึงเสียงธรรมชาติที่กำลังร้องเรียกเราอยู่ มีเสียงน้ำไหล นกร้อง พระอาทิตย์กำลังอ่อนแสง
แหม่... มันช่างเปนช่วงเวลาที่เหมาะสมซะเหลือเกิน ไม่ทันที่จะพักหายเหนื่อยผมรีบจ้ำอ้าวลงไปดูน้ำตกก่อนเลย
อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล เคยเห็นแต่ในรูปไม่เคยเห็นของจริง วันนี้เดี๋ยวได้เห็นจริงๆแล้วครับ
และแล้ว... และแล้ว และแล้วเราก็มาถึงครับ “ น้ำตกผาส้วม ” บอกเลยครับว่า ครั้งแรกที่เห็นคือ มันสวยมากกก(ก.ไก่ประมาณล้านตัว)
มันสวยกว่าในรูปที่ผมเห็นอีก เสียงน้ำ เสียงสัตว์ป่ามากันครบ แทบจะเรียกได้ว่า ที่ขับรถมาเหนื่อยๆแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง
ผมเดินดูรอบๆหลังจากที่ให้ชาวคณะใช้เวลาส่วนตัวที่นี่ จนเดินมาถึงทางที่จะเดินเข้าไปชมน้ำตกอีกฝั่งนึงก็ได้พบกับสิ่งนี้....
มันคงจะเป็นความเชื่อที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆจนชินตา ที่นี่ก็ไม่ต่างกันครับ ที่น้ำตกผาส้วมแห่งนี้จะมีศาลเพียงตา(แต่หลังใหญ่)
เอาไว้เป็นที่สิงสถิตของเจ้าป่าเจ้าเขา ตอนผมเดินมาคนเดียวนี่แอบหลอนๆนะครับ
เพราะช่วงที่ไปรู้สึกจะมีแค่กลุ่มผมกลุ่มเดียวที่เข้าไปเที่ยวน้ำตกในเวลานั้น
สะพานที่ใช้เดินข้ามมายังจุดชมวิวน้ำตกไม่ได้มีแค่สะพานที่เราเห็นไปก่อนหน้านี้เท่านั้นนะครับ
แต่จะมีสะพานไม้ไผ่อีกอันหนึ่งเอาไว้ให้เราข้ามไปชมน้ำตกได้เช่นเดียวกัน ซึ่งสะพานนี้จะเป็นทางไปชมวิวน้ำตกที่ใกล้กว่า
สะพานนี้สวยดีนะครับ เหมาะสำหรับการถ่ายรูปเล่นมากๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว.... จัดซักรูปครับ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า... เป็นสัญญาณบอกว่าพวกเราต้องเดินทางกลับ เพราะตอนนั้นก็เป็นเวลา 6 โมงกว่าแล้ว
เจอกันใหม่นะ " ผาส้วม "
[CR] ______" ซำบายดีที่ปากเซ " ทัวร์เละๆ แบบกังๆ ไปกัน 5 วัน 4 คน______
สวัสดีครับ ท่านผู้อ่านทุกท่าน
ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นนำก่อนว่า... ทริปนี้เป็นทริปการเดินทางออกนอกประเทศด้วยตัวเองครั้งแรกที่ผมวางแผนเอาไว้นานมาก
ทั้งหาข้อมูลที่ท่องเที่ยว ที่พัก การเดินทางและกำหนดการต่างๆ แต่ก่อนกำหนดการทุกอย่างจะเริ่มขึ้น 1 สัปดาห์
ผมก็มีความคิดว่าจะล้มเลิกแผนการเดินทางในครั้งนี้ เนื่องจากปัญหาทางด้านการเงินของผมเอง
แต่ก็มีเหตุให้ต้องเปลี่ยนใจเพราะผมเล่าเรื่องทริปปากเซในครั้งนี้ให้รุ่นน้องคนนึงฟัง ปรากฏว่าน้องผมขอไปด้วย
ผมก็เลยต้องเลยตามเลย บอกมันว่าไปก็ไป พอใกล้วันแล้วค่อยไปเจอกันที่อุบลฯเลย
ผมได้แต่นับถอยหลังรอแล้ว รอเล่า ใจจดใจจ่อ จนในที่สุด.... ทริปของผมก็มาถึงซะที
Day 1 วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน 2558
หลังจากที่ผมและน้องผู้ร่วมทริปเก็บกระเป๋าออกจากบ้านของผมที่อุบลฯ เราก็มุ่งหน้าไปสถานีขนส่งผู้โดยสารจังหวัดอุบลฯทันที
เราเดินทางถึงสถานีขนส่งประมาณ 8 โมงครึ่ง(เมื่อวานเรามาขอจองตั๋วที่นี่ แต่คนขายตั๋วบอกว่าไม่รับจอง
เค้าบอกให้เรามาซื้อที่ช่องขายตั๋วตอนเช้าเลย) ผมก็ไปซื้อตั๋วรถบัสและรอเวลาที่รถจะเข้ามาจอดเทียบชานชลา
รถที่เราจะใช้เดินทางเพื่อไปยังเมืองปากเซก็คือรถบัสคันนี้ เป็นรถโดยสารระหว่างประเทศไทย-ลาวของบริษัทขนส่ง(มั้งนะ)
ค่ารถ 200 บาทต่อคน จะเดินทางต่อเดียวพาเราไปส่งถึงสถานีขนส่งหลักแปด เมืองปากเซ
การเดินรถจากไทยไปลาวมีเพียง 2 รอบต่อวัน คือ 9.30 และ 15.30 น. โดยขึ้นรถที่สถานีขนส่งเท่านั้น
ระหว่างทางจะมีเด็กรถมาถามว่า ใครไม่มีพาสปอร์ตบ้าง หากใครไม่มีเขาจะพาลงไปทำ Boarding Pass ก่อนถึงด่าน ตม.
แต่ถ้าใครไม่ชอบการเดินทางด้วยรถบัส ก็มีรถตู้ให้บริการเช่นกัน แต่จะเป็นรถตู้อุบล-ช่องเม็ก รถจะส่งท่านแค่ที่ด่านผ่านแดน
แล้วเราต้องไปต่อรถตู้จากด่านถึงปากเซอีกต่อนึง ค่ารถก็ต่อละ 100 บาท มีรถตู้วิ่งหลายรอบ
หากใครสนใจลองวิธีนี้การสามารถทำได้ เพียงแต่ผมไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่ เพระเมื่อถึงด่านช่องเม็ก
รถตู้ที่จะต่อไปลาวออกไม่ตรงเวลา ต้องรอจนกว่าผู้โดยสารจะเต็มคันรถ คนขับถึงจะได้ฤกษ์สตาร์ทเครื่องยนต์
หลังจากที่เราเดินทางมาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองรถบัสจะจอดให้เราลง เพื่อเดินทางไปประทับตราหนังสือเดินทาง
ในจุดนี้ก็ไม่ต้องอะไรมากครับ เดินตามผู้โดยสารคนอื่นเข้าไปในตึก กรอกแบบฟอร์มขาออก แล้วรอต่อแถวออกนอกประเทศไทยได้เลย
พอเราประทับตราหนังสือเดินทางฝั่งไทยเสร็จแล้ว เราต้องเดินไปปั๊มวีซ่าที่ด่าน ตม. ของลาวอีกครับ
โดยเดินลอดทางขาเข้า-ขาออก(ที่เห็นในรูปนั่นแหละครับ) แล้วเดินตรงตามถนนไปเรื่อยๆ จะเห็นสำนักงานของ ตม. ลาว อยู่ฝั่งขวามือ
พอเจอแล้วก็เดินขึ้นไปแล้วเดินต่อไปข้างหลัง(ข้างหน้าจะเป็นการประทับขาออกครับ)
พอถึงจุดนี้เราก็เอาเอกสารมากรอกข้อมูลให้ครบถ้วนและยื่นเข้าช่องได้เลยครับ
ตรงนี้ต้องขอเล่าหน่อยนะครับว่า ผมเก็บข้อมูลจากหลายที่ว่าค่าเข้าลาวจริงๆนั้นแค่ 40-50 บาทเท่านั้น
ให้เราถือเงินให้พอกับที่เราต้องจ่ายแล้วจะได้ราคาจริงๆ แต่ปรากฏว่าตอนนี้ไม่ได้แล้วนะครับ
ผมยังไม่ทันจะได้หยิบเงินขึ้นมาจ่าย เจ้าหน้าที่ในตู้ก็พูดออกมาก่อนที่ผมจะอ้าปากพูดอะไรซะอีก.... “ 100 บาท ”
โถ่วววว !! พี่เล่นดักผมงี้เลยหรอครับ ? แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ถือว่ายอมๆจ่ายไป เราไม่ได้มาที่นี่ทุกวันซะหน่อย
ตรงจุดทำวีซ่านี้เองที่ทำให้เราพบกับเพื่อนร่วมเดินทางชาวไทยอีก 2 คน พวกเขาขอตามไปเที่ยวกับพวกผมด้วย
ผมก็ไม่อะไรมากอยู่แล้วครับ ไปได้ก็ไป ค่อยคุยกันใหม่ เพราะตอนนี้ต้องไปขึ้นรถแล้วเนื่องจากรถบัสกำลังจะออกเดินทางต่อ
แต่พอผ่านมาได้ซัก 400 เมตรก็จะมีด่านตรวจของตำรวจฝั่งลาวมาตรวจสัมภาระใต้ท้องรถอีกที
จุดนี้ไม่มีอะไรมาก พอผ่านได้แล้วก็ยาวๆครับ รอเจอปากเซได้เลย
เราเดินทางมาถึงปากเซเวลาประมาณเที่ยงกว่าๆ ตรงนี้เราจะสามารถขอลงที่ตัวเมืองปากเซได้เลย
แต่เนื่องด้วยความที่ผมยังไม่รู้อะไรมากพอ จุดหมายปลายทางของผมก็เลยยังคงเป็นที่ “ สถานีขนส่งผู้โดยสารหลักแปด ”
พอรถบัสเดินทางมาถึงสถานีโดยยังไม่ทันจะจอดสนิทดี จะมีเหล่าคนขับรถสองแถวรับจ้างมารุมล้อมกันที่ประตูรถ
ทันทีที่ประตูรถเปิดออกเราจะได้ยินเสียงคนเหล่านี้แย่งลูกค้ากัน และขอบอกเลยว่า... “ ราคาไม่เบาครับ ”
พอผมและคณะลงจากรถก็มีคนขับสองแถวเข้ามารุมล้อมเช่นกับนักท่องเที่ยวอื่นๆ ผมเดินแหวกออกมาทันทีเพราะรู้ดีว่า
" ยิ่งเราต่อรองเรื่องเวลาเท่าไหร่ ค่าโดยสารก็ยิ่งถูกลงเท่านั้น "
คนขับรถสองแถวคนแรกเข้ามาเสนอราคา 80 บาทต่อคน ไปที่ไหนก็ได้ในตัวเมือง
และก็อย่างที่รู้ๆกัน ผมบอกขอเดินดูตลาดก่อน (สถานีขนส่งที่นี่มีตลาดขายของเล็กๆข้างสถานี แต่ก็ไม่ค่อยน่าเดินเท่าไหร่)
พวกผมเดินต่อ แต่ก็ยังไม่คลาดสายตาของคนขับรถสองแถวคนแรกก็มีชายอีกคนเดินมาเสนอราคา 40 บาทต่อคนให้พวกผมในทันที
แต่ผมก็ยังดึงเช็งต่อไป เพราะในใจคิดว่าอาจได้ราคาที่ถูกกว่านี้ จึงตอบไปตามเดินว่า ขอเดินดูตลาดก่อน
ทันทีที่พวกผมเดินจากมา คนขับรถสองแถวคนแรกก็ปรี่เข้ามาหาชายผู้นั้นทันที ผมก็ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อไปเป็นอย่างไร ก็ได้แต่เพียงเดินชมตลาดต่อไป จนสุดท้ายคนขับรถสองแถวคนที่สองก็ขับรถมาถามผมอีกครั้ง... “ไปมั้ย ? 40 บาท”
จังหวะนี้คงไม่ต้องถามครับว่า พวกเราจะเอายังไง ในเมื่อตลาดก็ไม่มีอะไรให้เดินแล้ว กอปรกับในตลาดดูเหมือนกำลังจะมีมวยสด
พวกผมเลยไม่รอช้าครับ กระโดดขึ้นรถทันที จุดหมายปลายทางที่จะเดินทางต่อคือ “ โรงแรมลานคำ ”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
พอรถสองแถวส่งเราถึงที่แล้ว ผมคุยกับคนขับรถพักนึงเรื่องการท่องเที่ยวในละแวกใหล้เคียงแล้วเราก็เข้าเช็คอินกัน
โรงแรมนี้ผมเห็นข้อมูลจากหลายที่แนะนำมาเลยมาลองตามเค้าบ้าง เราเลือกห้อง 2 คนแยกกัน 2 ห้อง ค่าห้องก็อยู่ที่ 424 บาทต่อคืน
ห้องพักที่นี่ไม่ใหญ่มาก อาจจะเรียกว่าเล็กไปเลยก็ได้ ในห้องมีทีวี เครื่องทำน้ำอุ่น แอร์ ตู้เย็น ฯ โดยรวมก็ไม่ถือว่าขี้เหร่เท่าไหร่
และก็เป็นไปตามแผน เราเลือกที่จะอยู่ปากเซแค่คืนเดียวก่อน เพราะตามกำหนดการ พวกผมจะออกเดินทางไปดอนเดดพรุ่งนี้เช้า
พอเราเก็บสัมภาระกันเรียบร้อยแล้ว ก็ลงมาแลกเงินซึ่งมีไว้บริการที่หน้าโรงแรม(อัตราแลกเปลี่ยนขณะนั้น 242.2กีบ/บาท)
หลังจากแลกเงินกันเรียบร้อย อาหารในลาวมื้อแรกที่วางแผนมาหลายเดือนก็คือ “เฝอลานคำ”
ซึ่งทั้งคนนอกและในพื้นที่ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็น “เฝอที่อร่อยที่สุดในปากเซ”
สำหรับผมเองคิดว่า คนที่รู้จักรสชาติของเฝอ น่าจะเข้าใจได้ดี เพราะผมก็ไม่ใช่กูรูด้านอาหาร ไว้ถ้ามีโอกาสมาลองดูแล้วกันครับ
สนนราคาเฝอลานคำก็อยู่ที่ ชามเล็กไม่ใส่เนื้อ 15พันกีบ=60 บาท ใส่เนื้อถ้วยเล็ก 20พันกีบ ถ้วยใหญ่ 25พันกีบ
(ที่ลาวนับเงินเป็นพันตามฝรั่งเศส เช่น 15000=สิบห้าพัน ส่วนหลักอื่นๆเรียกตามปกติ ฝึกไว้ครับเพราะถ้าไปจริงๆอาจจะงง)
หลังจากอิ่มหมีพีมันกินกันแทบไม่หวาดไม่ไหว เราก็เดินทางไปเช่ารถมอไซค์เพื่อเดินทางท่องเที่ยวในภาคบ่าย
ซึ่งจุดหมายปลายทางในวันนี้คือ “น้ำตกผาส้วม”
ร้านเช่ารถที่เราใช้บริการวันนี้อยู่ใกล้ๆโรงแรมครับ ไม่ต้องเดินไกล สนนราคาค่าเช่าก็...
หากเป็นฮอนด้าเวฟจะมีค่าเช่าอยู่ที่ 60 พันกีบต่อวัน หากเช่า 2 วันขึ้นไปอยู่ที่วันละ 50 พันกีบ สำหรับออโต้ 1 แสนกีบต่อวัน
เรื่องน้ำมัน... เติมเองครับ คนให้เช่าบอกว่าเรื่องน้ำมันขากลับ จะเหลือหรือไม่เหลือไว้ก็ได้ แต่หากรถมีการเสียหายต้องรับผิดชอบ
เป็นอันว่าเราเลือกฮอนด้าเวฟครับ เนื่องจากทางที่เราจะไปลำบากพอสมควร กลัวว่าออโต้จะเป็นภาหะระแทนพาหะนะเอาซะก่อน
อ่อออ ผมลืมบอกไปว่าที่ลาวขับรถทางขวานะครับ แรกๆอาจจะงงๆหน่อย แต่หลังๆเดี๋ยวก็ชินครับ ☺
ค่าน้ำมันแนะนำให้เติมแค่ 20 พันกีบพอนะครับ ขนาดผมขับแบบยับๆยังเหลือน้ำมันอาน
ไม่ต้องกลัวว่าน้ำมันจะไม่พอเพราะระหว่างทางมีปั๊มน้ำมันอยู่บ้างตลอดทางที่ไป ไม่ปั๊มใหญ่ก็ปั๊มหลอดครับ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
การเดินทางไปตาดผาส้วมจะใช้เส้นทางเดียวกันกับที่เราเดินทางไปหลักแปด(หลักในภาษาลาว=หลักกิโลเมตร)
ตรงนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนนะครับว่าพอถึงวงเวียนแล้วให้ขวาตามวงเวียนไป จะเจอสี่แยกแล้วค่อยเลี้ยวซ้าย
แต่ถ้าใครอยากไปแบบพายุหมุนฝุ่นตลบกลบแผ่นดินทันที... อังกอร์ เอ้ยยย ไปทางลัด
แต่ไม่ค่อยแนะนำเท่าไหร่เพราะถนนเส้นนี้ เค้ากำลังทำถนนกันอยู่ แต่ถ้าใจพอก็.... ถึงวงเวียนตรงยาวเลยครับ
หลังจากที่ขับรถมาถึงหลัก 21 (เลยโรงงานกาแฟดาวมาไม่ไกลมาก สังเกตได้จากป้ายหมู่บ้านหรือถามคนแถวนั้น)
เราจะมองเห็นสามแยกตรงหลัก 21 พอดี ให้เราเลี้ยวซ้ายเข้าไป ขับตรงไปเรื่อยๆประมาณ 18 กิโลเมตรจนถึงเมืองบาเจียง
สังเกตได้จากจะมีหมู่บ้านชนเผ่าปลูกอยู่เยอะอย่างผิดหูผิดตาหรือถ้าตาดีหน่อยก็ดูป้ายครับ
เพราะขนาดผมเองที่อ่านออกเขียนได้ยังอาศัยว่าถามคนในพื้นที่อยู่เลยครับ
พอถึงหมู่บ้านนี้จะมีสามแยกให้เราเลี้ยวซ้ายเพื่อเข้าไปสู่น้ำตกผาส้วม
**** ถ้ากลัวหลงก็ถามครับ คนที่นี่ใจดีกับนักท่องเที่ยวแทบทุกคน ****
และแล้วเราก็มาถึงจุดหมายแรกครับ.... “ น้ำตกผาส้วม ”
แค่ทางเข้านี่ผมก็บอกได้เลยครับว่า ธรรมชาติสุดๆ มีลำธาร มีป่า มีภูเขา ขับมาเรื่อยๆจะเจอทางเข้าซึ่งเป็นด่านเก็บเงิน
ค่าเข้าค่าเข้าชมที่นี่ก็คนละ 5000 กีบ ค่าฝากรถคันละ 3000 กีบ (มารู้ทีหลังว่าที่นี่ได้รับการสัมปทานโดยคนไทยครับ)
ทันทีที่ลงจากรถ... ผมสัมผัสได้ถึงเสียงธรรมชาติที่กำลังร้องเรียกเราอยู่ มีเสียงน้ำไหล นกร้อง พระอาทิตย์กำลังอ่อนแสง
แหม่... มันช่างเปนช่วงเวลาที่เหมาะสมซะเหลือเกิน ไม่ทันที่จะพักหายเหนื่อยผมรีบจ้ำอ้าวลงไปดูน้ำตกก่อนเลย
อุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกล เคยเห็นแต่ในรูปไม่เคยเห็นของจริง วันนี้เดี๋ยวได้เห็นจริงๆแล้วครับ
และแล้ว... และแล้ว และแล้วเราก็มาถึงครับ “ น้ำตกผาส้วม ” บอกเลยครับว่า ครั้งแรกที่เห็นคือ มันสวยมากกก(ก.ไก่ประมาณล้านตัว)
มันสวยกว่าในรูปที่ผมเห็นอีก เสียงน้ำ เสียงสัตว์ป่ามากันครบ แทบจะเรียกได้ว่า ที่ขับรถมาเหนื่อยๆแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง
ผมเดินดูรอบๆหลังจากที่ให้ชาวคณะใช้เวลาส่วนตัวที่นี่ จนเดินมาถึงทางที่จะเดินเข้าไปชมน้ำตกอีกฝั่งนึงก็ได้พบกับสิ่งนี้....
มันคงจะเป็นความเชื่อที่เราเห็นกันอยู่บ่อยๆจนชินตา ที่นี่ก็ไม่ต่างกันครับ ที่น้ำตกผาส้วมแห่งนี้จะมีศาลเพียงตา(แต่หลังใหญ่)
เอาไว้เป็นที่สิงสถิตของเจ้าป่าเจ้าเขา ตอนผมเดินมาคนเดียวนี่แอบหลอนๆนะครับ
เพราะช่วงที่ไปรู้สึกจะมีแค่กลุ่มผมกลุ่มเดียวที่เข้าไปเที่ยวน้ำตกในเวลานั้น
สะพานที่ใช้เดินข้ามมายังจุดชมวิวน้ำตกไม่ได้มีแค่สะพานที่เราเห็นไปก่อนหน้านี้เท่านั้นนะครับ
แต่จะมีสะพานไม้ไผ่อีกอันหนึ่งเอาไว้ให้เราข้ามไปชมน้ำตกได้เช่นเดียวกัน ซึ่งสะพานนี้จะเป็นทางไปชมวิวน้ำตกที่ใกล้กว่า
สะพานนี้สวยดีนะครับ เหมาะสำหรับการถ่ายรูปเล่นมากๆ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว.... จัดซักรูปครับ
พระอาทิตย์ลับขอบฟ้า... เป็นสัญญาณบอกว่าพวกเราต้องเดินทางกลับ เพราะตอนนั้นก็เป็นเวลา 6 โมงกว่าแล้ว
เจอกันใหม่นะ " ผาส้วม "