พ่อเล่าว่า ..
ตอนที่ย่าคลอดพ่อเป็นเวลาเดียวกันกับปู่กำลังเตรียมตัวไปเล่นลิเกที่งานวัดภูเขาทอง ย่าของฉันเป็นพี่สาวแม่ของป้าคนโต .. แต่เป็นย่าคนที่เท่าไรก็ยังไม่ได้ทำลำดับ
พ่อบอกให้ฟังบ่อย ๆ เมื่อยามฉันยังเด็กว่าปู่เล่นลิเกเป็นตัวร้ายและเขียนบทที่จะเล่นในแต่ละวันด้วย จะเล่นเรื่องอะไร มีตัวร้ายตัวดียังไง ปู่จะเป็นคนกำหนดหมด มีค่าจ้างวันละ 50 บาท ส่วนที่ผ่านหูแต่จำได้แม่นเป็นเรื่องที่ญาติผู้ใหญ่ ๆ พูดล้อคุณย่าหมายเลขหนึ่งที่ไปหลงเสน่ห์ “ไขลู” หรือก็คือปู่ของฉันจนตัดสินใจตกล่องปล่องชิ้นกันแต่สุดท้ายก็แยกทางกันไป แต่ตัวของคุณย่าเองก็ยังอยู่กับครอบครัวของเราจนสิ้นอายุขัยไปเมื่ออายุเจ็ดสิบกว่าปี
ในขณะที่ปู่รักหลงใหลในการเล่นลิเกเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็ไม่สนับสนุนให้ลูกเดินตามรอย แม้จะหอบหิ้วเอาไปเล่นลิเกด้วยไปไหนไปกัน พ่อว่าแค่เผลอตัวเดินเฉียดเข้าไปใกล้กลองทับฉิ่งฉับไม่โดนดุก็โดนตีผัวะจนน้ำตาร่วง นึกไม่ออกเลยว่าเวลาปู่ดุหรือตีจะเป็นยังไง เพราะโตมาฉันก็เห็นปู่ยิ้ม ยิ้ม และ ยิ้ม ไม่ยิ้มก็นั่งร้องลิเก หรือโขกหมากรุกกับพ่อ ปู่ว่า “รุกเข้าไป” พ่อก็ว่า "รุกเข้าไป" พูดกันอยู่แค่นี้ จนฉันทนไม่ไหว "ลุก" หนีไปเล่นที่อื่นดีกว่า
บ้านหลังแรกในความทรงจำของพ่ออยู่ย่านถนนดินสอใกล้โรงเรียนสตรีวิทยา หันหลังให้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเดินตรงเข้าไปสักห้าสิบเมตรและเลี้ยวขวาเข้าซอยผ่านบ้านห้าหกหลังเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงเดินเลยไปอีกนิดจะมีลำคลองระบายน้ำเล็ก ๆ แต่ไม่ใช่คลองผดุงกรุงเกษมที่อยู่ห่างต้องข้ามถนนไปอีกหนึ่งครั้ง หน้าฝนน้ำเอ่อขึ้นมา พ่อในวัยเด็กน้อยยังเคยลงไปลุยเล่นแม้เป็นเหมือนน้ำขังเฉอะแฉะมากกว่าเป็นคลอง ที่นี่พ่อคิดว่าคงจะเป็นบ้านของย่าทวดหรือของปู่ ตามคำบอกเล่าที่ว่าย่าทวดเป็นแม่ค้าขายขนมหวานอยู่ย่านนี้ก่อนพบรักกับปู่ทวด
หลังคลอดย่าป่วยเป็นอัมพฤกษ์ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ พ่อจึงเติบโตมาโดยญาติทางฝ่ายแม่ช่วยกันเลี้ยงดูป้อนข้าวบดกล้วยบดแทนน้ำนมแม่ และเลยเป็นเหตุให้พ่อไม่ชอบและไม่กินกล้วยน้ำหว้าอีกเลย พ่อว่าตอนเด็ก ๆ กินมาเยอะแล้ว
บ้านอีกหลังที่พ่อคุ้นเคยอยู่ในตรอกเล็กฝั่งทางซ้ายของถนนดินสอด้านหน้าเป็นร้านตัดผม เลี้ยวเข้าไปแล้วเลาะด้านหลังของห้องแถวด้านหน้ามาหลังติดกับกำแพงโรงเรียนเดินต่อไปเรื่อย ๆ จะไปถึงถนนตะนาวได้ ที่นั่นเป็นบ้านน้องชายของก๋งที่พ่อเรียกว่าตาหมอแหยม ที่เรียกตาหมอเพราะเป็นหมอยาแผนโบราณ วัยเด็กส่วนใหญ่พ่อจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ โตขึ้นอีกหน่อยก็ไปเกาะบันไดหลับที่กุฏิพระในวัดบวรนิเวศ เลี่ยงการกลับไปโดนบังคับให้นอนหลับตอนบ่ายที่บ้านตาหมอแหยม
พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเป็นหวย กอ ขอ พ่อเป็นคนที่บอกหวยให้ชาวบ้านในตรอกถูกได้ทุกวัน คนมักจะถามพ่อเวลาเดินผ่านบ้านชาวบ้านมักจะถามว่า “วันนี้ ..หวยออกอะไร” พ่อก็จะบอกไป ตอนบ่าย ๆ กลับมาก็จะได้ขนมคนถูกหวยกลับมากินทุกวัน ฉันถามพ่อว่าไปเรียนวิชาคาถาอาคมบอกหวยมาหรือมีวิชาตาทิพย์ถึงรู้ว่าจะออกอะไร พ่อว่า “จะไปยากอะไร เราผ่านบ้านแรกก็บอก กอไก่ บ้านที่สองก็ขอไข่ ไล่จนถึง ฮอนกฮูก อักษรไทยมีแค่สี่สิบสี่ตัว บอกไปมันก็ต้องถูกสักบ้านแหละ “ .. อ้าว .. ไหงงั้นล่ะพ่อ
พ่อเล่าว่า : ๑ บ้านที่ถนนดินสอ
ตอนที่ย่าคลอดพ่อเป็นเวลาเดียวกันกับปู่กำลังเตรียมตัวไปเล่นลิเกที่งานวัดภูเขาทอง ย่าของฉันเป็นพี่สาวแม่ของป้าคนโต .. แต่เป็นย่าคนที่เท่าไรก็ยังไม่ได้ทำลำดับ
พ่อบอกให้ฟังบ่อย ๆ เมื่อยามฉันยังเด็กว่าปู่เล่นลิเกเป็นตัวร้ายและเขียนบทที่จะเล่นในแต่ละวันด้วย จะเล่นเรื่องอะไร มีตัวร้ายตัวดียังไง ปู่จะเป็นคนกำหนดหมด มีค่าจ้างวันละ 50 บาท ส่วนที่ผ่านหูแต่จำได้แม่นเป็นเรื่องที่ญาติผู้ใหญ่ ๆ พูดล้อคุณย่าหมายเลขหนึ่งที่ไปหลงเสน่ห์ “ไขลู” หรือก็คือปู่ของฉันจนตัดสินใจตกล่องปล่องชิ้นกันแต่สุดท้ายก็แยกทางกันไป แต่ตัวของคุณย่าเองก็ยังอยู่กับครอบครัวของเราจนสิ้นอายุขัยไปเมื่ออายุเจ็ดสิบกว่าปี
ในขณะที่ปู่รักหลงใหลในการเล่นลิเกเป็นชีวิตจิตใจ แต่ก็ไม่สนับสนุนให้ลูกเดินตามรอย แม้จะหอบหิ้วเอาไปเล่นลิเกด้วยไปไหนไปกัน พ่อว่าแค่เผลอตัวเดินเฉียดเข้าไปใกล้กลองทับฉิ่งฉับไม่โดนดุก็โดนตีผัวะจนน้ำตาร่วง นึกไม่ออกเลยว่าเวลาปู่ดุหรือตีจะเป็นยังไง เพราะโตมาฉันก็เห็นปู่ยิ้ม ยิ้ม และ ยิ้ม ไม่ยิ้มก็นั่งร้องลิเก หรือโขกหมากรุกกับพ่อ ปู่ว่า “รุกเข้าไป” พ่อก็ว่า "รุกเข้าไป" พูดกันอยู่แค่นี้ จนฉันทนไม่ไหว "ลุก" หนีไปเล่นที่อื่นดีกว่า
บ้านหลังแรกในความทรงจำของพ่ออยู่ย่านถนนดินสอใกล้โรงเรียนสตรีวิทยา หันหลังให้อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเดินตรงเข้าไปสักห้าสิบเมตรและเลี้ยวขวาเข้าซอยผ่านบ้านห้าหกหลังเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ลักษณะเป็นบ้านใต้ถุนสูงเดินเลยไปอีกนิดจะมีลำคลองระบายน้ำเล็ก ๆ แต่ไม่ใช่คลองผดุงกรุงเกษมที่อยู่ห่างต้องข้ามถนนไปอีกหนึ่งครั้ง หน้าฝนน้ำเอ่อขึ้นมา พ่อในวัยเด็กน้อยยังเคยลงไปลุยเล่นแม้เป็นเหมือนน้ำขังเฉอะแฉะมากกว่าเป็นคลอง ที่นี่พ่อคิดว่าคงจะเป็นบ้านของย่าทวดหรือของปู่ ตามคำบอกเล่าที่ว่าย่าทวดเป็นแม่ค้าขายขนมหวานอยู่ย่านนี้ก่อนพบรักกับปู่ทวด
หลังคลอดย่าป่วยเป็นอัมพฤกษ์ทำให้ไม่สามารถเลี้ยงดูลูกได้ พ่อจึงเติบโตมาโดยญาติทางฝ่ายแม่ช่วยกันเลี้ยงดูป้อนข้าวบดกล้วยบดแทนน้ำนมแม่ และเลยเป็นเหตุให้พ่อไม่ชอบและไม่กินกล้วยน้ำหว้าอีกเลย พ่อว่าตอนเด็ก ๆ กินมาเยอะแล้ว
บ้านอีกหลังที่พ่อคุ้นเคยอยู่ในตรอกเล็กฝั่งทางซ้ายของถนนดินสอด้านหน้าเป็นร้านตัดผม เลี้ยวเข้าไปแล้วเลาะด้านหลังของห้องแถวด้านหน้ามาหลังติดกับกำแพงโรงเรียนเดินต่อไปเรื่อย ๆ จะไปถึงถนนตะนาวได้ ที่นั่นเป็นบ้านน้องชายของก๋งที่พ่อเรียกว่าตาหมอแหยม ที่เรียกตาหมอเพราะเป็นหมอยาแผนโบราณ วัยเด็กส่วนใหญ่พ่อจะมาอาศัยอยู่ที่นี่ โตขึ้นอีกหน่อยก็ไปเกาะบันไดหลับที่กุฏิพระในวัดบวรนิเวศ เลี่ยงการกลับไปโดนบังคับให้นอนหลับตอนบ่ายที่บ้านตาหมอแหยม
พ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเป็นหวย กอ ขอ พ่อเป็นคนที่บอกหวยให้ชาวบ้านในตรอกถูกได้ทุกวัน คนมักจะถามพ่อเวลาเดินผ่านบ้านชาวบ้านมักจะถามว่า “วันนี้ ..หวยออกอะไร” พ่อก็จะบอกไป ตอนบ่าย ๆ กลับมาก็จะได้ขนมคนถูกหวยกลับมากินทุกวัน ฉันถามพ่อว่าไปเรียนวิชาคาถาอาคมบอกหวยมาหรือมีวิชาตาทิพย์ถึงรู้ว่าจะออกอะไร พ่อว่า “จะไปยากอะไร เราผ่านบ้านแรกก็บอก กอไก่ บ้านที่สองก็ขอไข่ ไล่จนถึง ฮอนกฮูก อักษรไทยมีแค่สี่สิบสี่ตัว บอกไปมันก็ต้องถูกสักบ้านแหละ “ .. อ้าว .. ไหงงั้นล่ะพ่อ