หลังจากเล่าปี่ทำผลงานในศึกปราบโจรโพกผ้าเหลือง จึงมีความดีความชอบ
ได้ไปครองเมืองอันฮ่อกวนขณะที่ 3 พี่น้องครองเมืองอยู่ได้ 4 เดือนเศษนั้น
ก็ได้มีผู้ตรวจการจากเมืองหลวงนามว่า ต๊กอิ๋ว มาตรวจการ ณ เมืองอันฮ่อกวน
เมื่อพอมาถึงก็จึงได้ทำการสอบถามประวัติและผลงานของเล่าปี่ เล่าปี่ก็จึงตอบ
ว่าตนนั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ และมีผลงานร่วมปราบโจรโผกผ้าเหลียงจึงได้มาเป็น
เจ้าเมืองอยู่อันฮ่อกวน ต๊กอิ้วไม่ยอมเชื่อหาว่าเป็นการแอบอ้าง แล้วแจ้งว่ามีรับสั่ง
ให้มาเรียกส่วยจากขุนนางที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ เล่าปี่มิได้ว่าประการใดและลาไปที่อยู่
แล้วเชิญปลัดอำเภอมาปรึกษา ปลัดอำเภอรู้ธรรมเนียมของเมืองตาหลิ่วดี จึงบอกแก่
เล่าปี่ว่าต๊กอิ้วมาครั้งนี้ด้วยหวังเอาสินบนเข้าตัว ไม่ใช่ภาษีเก็บเข้าหลวง
เล่าปี่จึงว่า
“ตั้งแต่เรามาอยู่เมืองนี้จะได้ค่าธรรมเนียม แลเบียดเบียนด้ายเส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่ง
แก่อาณาประชาราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนหามิได้ จะเอาสิ่งใดมาให้สินบน”
คำของเล่าปี่นี้สะท้อนถึงคุณธรรมประจำตัวและวัตรปฏิบัติราชการของเล่าปี่ อันเป็นที่มาของ
ความเคารพรักศรัทธาจากราษฎร หลังจากนี้เกือบสองพันปี เหมาเจ๋อตงผู้ นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน
จึงได้นำหลักการนี้ไปบัญญัติเป็นข้อหนึ่งในวินัยใหญ่สามข้อของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนว่า
“ห้ามเอาด้ายสักเส้น เข็มสักเล่มจากราษฎร”
รุ่งขึ้นต๊กอิ้วได้เรียกปลัดอำเภอมาสอบสวน บังคับให้กล่าวหาว่าเล่าปี่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ปลัดอำเภอ
ไม่ยอมกล่าวหา ต๊กอิ้วจึงสั่งให้นักการอำเภอเฆี่ยนปลัดอำเภอ บังคับให้ใส่ความเล่าปี่ แต่ปลัดอำเภอ
ก็สู้ทนอาญา ก้มหน้าทนเจ็บทนรับความปวดไม่ยอมกล่าวคำอันเป็นอาสัตย์ พอเล่าปี่จะมาพบต๊กอิ้วก็
ไม่ให้เข้าพบ เล่าปี่จึงกลับไปที่พัก ราษฎรได้ทราบความจึงพากันมาที่อำเภอเพื่อจะช่วยเหลือปลัดอำเภอ
แต่นายประตูได้ห้ามไว้
ราษฎรได้ชุมนุมอยู่ที่หน้าอำเภอด้วยความสงสารปลัดอำเภอและเล่าปี่ แล้วพากันร้องไห้ระงม พอดีเตียวหุย
เสพสุราขี่ม้าผ่านมาประสบเหตุ ได้ทราบความเข้าก็โกรธ บุกเข้าไปจิกหัวต๊กอิ้วลากออกมาหน้าเรือนรับรอง
จับผูกเข้ากับหลักม้า แล้วเอาแส้ม้าเฆี่ยนต๊กอิ้วเจ็บปวดเป็นสาหัส เล่าปี่ได้ยินเสียงร้องของต๊กอิ้วก็วิ่งมาดู
พอเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจจึงเข้าห้ามเตียวหุย ต๊กอิ้วเห็นดังนั้นจึงร้องขอให้เล่าปี่ช่วยชีวิต เล่าปี่มีใจสงสารก็
ห้ามเตียวหุยไม่ให้เฆี่ยนต๊กอิ้วอีกต่อไป (แท้จริงแล้ว คนเฆี่ยนเป็นเล่าปี่)
พอดีกวนอูผ่านมารู้เหตุแล้วจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า “เราทำความชอบอาสาแผ่นดินมาเป็นหลายครั้ง ก็ได้เป็นแต่
เพียงนี้ แต่ต๊กอิ้วถือรับสั่งมาแล้วว่าหยาบช้า ดูหมิ่นนอกรับสั่งให้ได้อัปยศดังนี้ อันเราพี่น้องสามคนอุปมา
ประดุจหงส์ซึ่งจะอาศัยในป่านี้ไม่สมควร เราจะฆ่าต๊กอิ้วเสียแล้วชวนกันไปอยู่บ้านเมืองที่อาศัยแห่งเราดีกว่า
ภายหลังจึงจะค่อยคิดการณ์ใหญ่สืบไป”
ความตอนนี้แสดงออกถึงอัธยาศัยใจคอ ความทรนงในศักดิ์และความปรารถนาทำการใหญ่ของกวนอูอย่างชัดเจน
เล่าปี่ฟังแล้วเห็นชอบด้วย แต่การที่จะฆ่าต๊กอิ้วเป็นการไม่สมควรเพราะเป็นผู้ถือรับสั่ง แม้ว่าจะมีการแอบอ้าง
อยู่ด้วยก็ตามที เล่าปี่จึงได้เอาตราสำคัญของนายอำเภอมาผูกคอต๊กอิ้ว แล้วว่าจะไว้ชีวิตให้ครั้งหนึ่ง บัดนี้เรา
ไม่ต้องการทำราชการแล้ว ให้ต๊กอิ้วนำตรากลับไป
เล่าปี่เฆี่ยน ต๊กอิ๋ว
หลังจากเล่าปี่ทำผลงานในศึกปราบโจรโพกผ้าเหลือง จึงมีความดีความชอบ
ได้ไปครองเมืองอันฮ่อกวนขณะที่ 3 พี่น้องครองเมืองอยู่ได้ 4 เดือนเศษนั้น
ก็ได้มีผู้ตรวจการจากเมืองหลวงนามว่า ต๊กอิ๋ว มาตรวจการ ณ เมืองอันฮ่อกวน
เมื่อพอมาถึงก็จึงได้ทำการสอบถามประวัติและผลงานของเล่าปี่ เล่าปี่ก็จึงตอบ
ว่าตนนั้นเป็นเชื้อพระวงศ์ และมีผลงานร่วมปราบโจรโผกผ้าเหลียงจึงได้มาเป็น
เจ้าเมืองอยู่อันฮ่อกวน ต๊กอิ้วไม่ยอมเชื่อหาว่าเป็นการแอบอ้าง แล้วแจ้งว่ามีรับสั่ง
ให้มาเรียกส่วยจากขุนนางที่ได้รับแต่งตั้งใหม่ เล่าปี่มิได้ว่าประการใดและลาไปที่อยู่
แล้วเชิญปลัดอำเภอมาปรึกษา ปลัดอำเภอรู้ธรรมเนียมของเมืองตาหลิ่วดี จึงบอกแก่
เล่าปี่ว่าต๊กอิ้วมาครั้งนี้ด้วยหวังเอาสินบนเข้าตัว ไม่ใช่ภาษีเก็บเข้าหลวง
เล่าปี่จึงว่า “ตั้งแต่เรามาอยู่เมืองนี้จะได้ค่าธรรมเนียม แลเบียดเบียนด้ายเส้นหนึ่งเข็มเล่มหนึ่ง
แก่อาณาประชาราษฎรให้ได้ความเดือดร้อนหามิได้ จะเอาสิ่งใดมาให้สินบน”
คำของเล่าปี่นี้สะท้อนถึงคุณธรรมประจำตัวและวัตรปฏิบัติราชการของเล่าปี่ อันเป็นที่มาของ
ความเคารพรักศรัทธาจากราษฎร หลังจากนี้เกือบสองพันปี เหมาเจ๋อตงผู้ นำพรรคคอมมิวนิสต์จีน
จึงได้นำหลักการนี้ไปบัญญัติเป็นข้อหนึ่งในวินัยใหญ่สามข้อของกองทัพปลดแอกประชาชนจีนว่า
“ห้ามเอาด้ายสักเส้น เข็มสักเล่มจากราษฎร”
รุ่งขึ้นต๊กอิ้วได้เรียกปลัดอำเภอมาสอบสวน บังคับให้กล่าวหาว่าเล่าปี่ฉ้อราษฎร์บังหลวง ปลัดอำเภอ
ไม่ยอมกล่าวหา ต๊กอิ้วจึงสั่งให้นักการอำเภอเฆี่ยนปลัดอำเภอ บังคับให้ใส่ความเล่าปี่ แต่ปลัดอำเภอ
ก็สู้ทนอาญา ก้มหน้าทนเจ็บทนรับความปวดไม่ยอมกล่าวคำอันเป็นอาสัตย์ พอเล่าปี่จะมาพบต๊กอิ้วก็
ไม่ให้เข้าพบ เล่าปี่จึงกลับไปที่พัก ราษฎรได้ทราบความจึงพากันมาที่อำเภอเพื่อจะช่วยเหลือปลัดอำเภอ
แต่นายประตูได้ห้ามไว้
ราษฎรได้ชุมนุมอยู่ที่หน้าอำเภอด้วยความสงสารปลัดอำเภอและเล่าปี่ แล้วพากันร้องไห้ระงม พอดีเตียวหุย
เสพสุราขี่ม้าผ่านมาประสบเหตุ ได้ทราบความเข้าก็โกรธ บุกเข้าไปจิกหัวต๊กอิ้วลากออกมาหน้าเรือนรับรอง
จับผูกเข้ากับหลักม้า แล้วเอาแส้ม้าเฆี่ยนต๊กอิ้วเจ็บปวดเป็นสาหัส เล่าปี่ได้ยินเสียงร้องของต๊กอิ้วก็วิ่งมาดู
พอเห็นเหตุการณ์ก็ตกใจจึงเข้าห้ามเตียวหุย ต๊กอิ้วเห็นดังนั้นจึงร้องขอให้เล่าปี่ช่วยชีวิต เล่าปี่มีใจสงสารก็
ห้ามเตียวหุยไม่ให้เฆี่ยนต๊กอิ้วอีกต่อไป (แท้จริงแล้ว คนเฆี่ยนเป็นเล่าปี่)
พอดีกวนอูผ่านมารู้เหตุแล้วจึงว่าแก่เล่าปี่ว่า “เราทำความชอบอาสาแผ่นดินมาเป็นหลายครั้ง ก็ได้เป็นแต่
เพียงนี้ แต่ต๊กอิ้วถือรับสั่งมาแล้วว่าหยาบช้า ดูหมิ่นนอกรับสั่งให้ได้อัปยศดังนี้ อันเราพี่น้องสามคนอุปมา
ประดุจหงส์ซึ่งจะอาศัยในป่านี้ไม่สมควร เราจะฆ่าต๊กอิ้วเสียแล้วชวนกันไปอยู่บ้านเมืองที่อาศัยแห่งเราดีกว่า
ภายหลังจึงจะค่อยคิดการณ์ใหญ่สืบไป”
ความตอนนี้แสดงออกถึงอัธยาศัยใจคอ ความทรนงในศักดิ์และความปรารถนาทำการใหญ่ของกวนอูอย่างชัดเจน
เล่าปี่ฟังแล้วเห็นชอบด้วย แต่การที่จะฆ่าต๊กอิ้วเป็นการไม่สมควรเพราะเป็นผู้ถือรับสั่ง แม้ว่าจะมีการแอบอ้าง
อยู่ด้วยก็ตามที เล่าปี่จึงได้เอาตราสำคัญของนายอำเภอมาผูกคอต๊กอิ้ว แล้วว่าจะไว้ชีวิตให้ครั้งหนึ่ง บัดนี้เรา
ไม่ต้องการทำราชการแล้ว ให้ต๊กอิ้วนำตรากลับไป