หากมีโอกาสไปเยือนสิงคโปร์ในช่วงนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสนามบินชางงีอย่างมากในเรื่องการปิดพื้นที่ก่อสร้าง รวมถึงการเร่งสร้าง Terminal ให้ครบ 5 แห่งโดยมีศูนย์กลางคือ Jewel อาคารผู้โดยสารหลังใหม่แห่งที่ 4 ด้วยเงินลงทุนราว 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอาคารสูงเหนือผิวดิน 5 ชั้น และใต้ดินอีก 5 ชั้น มีเนื้อที่ใช้สอยทั้งหมดกว่า 1.4 ล้านตารางฟุต คาดแล้วเสร็จในปี 2561 รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจาก 17.7 ล้านคน เป็นปีละ 24 ล้านคน เพื่อให้เป็นสนามบินแห่งการช็อปปิ้งและความอลังการ์ ฮับของอาเซียนอย่างแท้จริง
Jewel Changi’ หรือ ‘อัญมณีชางงี’ ที่ทำให้คำสองคำ คือ คำว่า สนามบิน กับ สวนสวรรค์ โดยอาคารของท่าอากาศยานแห่งใหม่ เจเวล ชางงี ของสิงคโปร์ มีโครงสร้างที่ทำจากเหล็กและกระจก รูปร่างลักษณะเหมือนขนมโดนัท มีความสูง 10 ชั้น ซึ่งเป็นชั้นใต้ดิน 5 ชั้น บนดิน 5 ชั้น ภายในอาคารจะเต็มไปด้วยต้นไม้ และน้ำตกขนาดใหญ่ที่จะเป็นน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลก รวมถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกในสนามบินครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้า โรงแรม และอื่น ส่วนชั้นบนของอาคาร จะเป็นสวน ทางเดิน สนามเด็กเล่น ร้านอาหารฯบนพื้นที่ประมาณ 13,000 ตารางเมตร
นายโรบิน โก๊ะ โฆษกประจำชางงี กรุ๊ป กล่าวกับผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นว่า ทางการสิงคโปร์ต้องการคงความเป็นสิงคโปร์ ในฐานะเป็น ‘เมืองในสวน’ (garden city) จึงได้กำหนดให้ศูนย์กลางของอาคารสนามบินเจเวล ชางงี จะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ มีความสูงเท่าตึก 5 ชั้น ที่มีต้นไม้ ตอไม้ และเฟิร์นหลายพันต้น
สำหรับอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ในสนามบินเจเวล ชางงี จะสร้างที่อาคารจอดรถเก่า บริเวณด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร เทอร์มินอล 1 ของสนามบินชางงี และจะมีการเชื่อมต่อกับอาคารเทอร์มินอลต่างๆ โดยผู้เดินทางสามารถพักที่โรงแรมของสนามบินเจเวล ชางงี ที่คาดว่าจะมีประมาณ 130 ห้อง โรงแรมของสนามบิน เจเวล ชางงี จะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ด้วยการเป็นเลาจน์สำหรับการเดินทาง นั่นหมายถึง จะให้บริการทั้งเรื่องตั๋วเครื่องบิน, การออกบอร์ดดิ้ง พาส และส่งกระเป๋าเดินทางให้แก่ผู้โดยสาร โดยผู้โดยสารที่เช็กอินกับโรงแรม จะอนุญาตให้ผู้โดยสารฝากกระเป๋าไว้ก่อนจะถึงกำหนดเวลาเช็กอิน อีกทั้งยังจะมีการสร้างเส้นทางรถไฟใต้ดินแห่งใหม่ เพื่อเชื่อมต่อระหว่างอาคารเทอร์มินอลต่างๆ ในสนามบินกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRTด้วย
เรื่องเชื่อมโยง:
http://www.oknation.net/blog/akom/2015/07/18/entry-1
Update สิงคโปร์เร่งสร้าง Terminal 4 จุดขาย Jewel
หากมีโอกาสไปเยือนสิงคโปร์ในช่วงนี้จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของสนามบินชางงีอย่างมากในเรื่องการปิดพื้นที่ก่อสร้าง รวมถึงการเร่งสร้าง Terminal ให้ครบ 5 แห่งโดยมีศูนย์กลางคือ Jewel อาคารผู้โดยสารหลังใหม่แห่งที่ 4 ด้วยเงินลงทุนราว 2.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ เป็นอาคารสูงเหนือผิวดิน 5 ชั้น และใต้ดินอีก 5 ชั้น มีเนื้อที่ใช้สอยทั้งหมดกว่า 1.4 ล้านตารางฟุต คาดแล้วเสร็จในปี 2561 รองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นจาก 17.7 ล้านคน เป็นปีละ 24 ล้านคน เพื่อให้เป็นสนามบินแห่งการช็อปปิ้งและความอลังการ์ ฮับของอาเซียนอย่างแท้จริง
Jewel Changi’ หรือ ‘อัญมณีชางงี’ ที่ทำให้คำสองคำ คือ คำว่า สนามบิน กับ สวนสวรรค์ โดยอาคารของท่าอากาศยานแห่งใหม่ เจเวล ชางงี ของสิงคโปร์ มีโครงสร้างที่ทำจากเหล็กและกระจก รูปร่างลักษณะเหมือนขนมโดนัท มีความสูง 10 ชั้น ซึ่งเป็นชั้นใต้ดิน 5 ชั้น บนดิน 5 ชั้น ภายในอาคารจะเต็มไปด้วยต้นไม้ และน้ำตกขนาดใหญ่ที่จะเป็นน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลก รวมถึงมีสิ่งอำนวยความสะดวกในสนามบินครบครัน ไม่ว่าจะเป็น ร้านค้า โรงแรม และอื่น ส่วนชั้นบนของอาคาร จะเป็นสวน ทางเดิน สนามเด็กเล่น ร้านอาหารฯบนพื้นที่ประมาณ 13,000 ตารางเมตร
นายโรบิน โก๊ะ โฆษกประจำชางงี กรุ๊ป กล่าวกับผู้สื่อข่าวซีเอ็นเอ็นว่า ทางการสิงคโปร์ต้องการคงความเป็นสิงคโปร์ ในฐานะเป็น ‘เมืองในสวน’ (garden city) จึงได้กำหนดให้ศูนย์กลางของอาคารสนามบินเจเวล ชางงี จะเป็นหุบเขาที่เต็มไปด้วยต้นไม้นานาพรรณ มีความสูงเท่าตึก 5 ชั้น ที่มีต้นไม้ ตอไม้ และเฟิร์นหลายพันต้น
สำหรับอาคารผู้โดยสารแห่งใหม่ในสนามบินเจเวล ชางงี จะสร้างที่อาคารจอดรถเก่า บริเวณด้านหน้าอาคารผู้โดยสาร เทอร์มินอล 1 ของสนามบินชางงี และจะมีการเชื่อมต่อกับอาคารเทอร์มินอลต่างๆ โดยผู้เดินทางสามารถพักที่โรงแรมของสนามบินเจเวล ชางงี ที่คาดว่าจะมีประมาณ 130 ห้อง โรงแรมของสนามบิน เจเวล ชางงี จะอำนวยความสะดวกให้แก่ผู้โดยสาร ด้วยการเป็นเลาจน์สำหรับการเดินทาง นั่นหมายถึง จะให้บริการทั้งเรื่องตั๋วเครื่องบิน, การออกบอร์ดดิ้ง พาส และส่งกระเป๋าเดินทางให้แก่ผู้โดยสาร โดยผู้โดยสารที่เช็กอินกับโรงแรม จะอนุญาตให้ผู้โดยสารฝากกระเป๋าไว้ก่อนจะถึงกำหนดเวลาเช็กอิน อีกทั้งยังจะมีการสร้างเส้นทางรถไฟใต้ดินแห่งใหม่ เพื่อเชื่อมต่อระหว่างอาคารเทอร์มินอลต่างๆ ในสนามบินกับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRTด้วย
เรื่องเชื่อมโยง: http://www.oknation.net/blog/akom/2015/07/18/entry-1