บทสัมภาษณ์ล่าสุดของ สึดะ นาโอคัทสึ ผู้กำกับโจโจ้อนิเมะ ในงาน LA Anime Expo 2015 ที่ผ่านมา



คุณสึดะ นาโอคัทสึ ผู้กำกับสร้างสรรค์ของ David Production ผู้กุมบังเหียนดัดแปลงอนิเมะ
จากมังงะที่มีสไตส์สุดโดดเด่นอย่าง โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ตอนนี้การสร้างอนิเมะภาค 3 จบลง
แล้ว ทำให้แฟนๆมีความหวังที่จะๆได้เห็นอนิเมะภาค 4 ในเร็วๆวัน แต่ก่อนจะถึงตอนนั้น เรามา
อ่านบทสัมภาษณ์ของสึดะซังที่ได้มาจากงาน Anime Expo 2015 ที่ LA เมื่อไม่กี่วันที่ผ่าน
มาก่อนดีกว่า



Q : อะไรคือความแตกต่างระหว่างคุณที่เป็นผู้กำกับสร้างสรรค์ กับคุณ สุซุกิ เคนอิจิ
ที่เป็น "ผู้กำกับซีรีย์" พวกคุณจัดการการทำงานกันยังไง?


A : สิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่เรื่องที่ที่ว่าเราทำงานกันยังไงนะครับ แต่เป็นการที่เราทำงานร่วมกัน
เป็นทีมเดียวกัน นี่เองในฐานะเอ็กส์คลูซีฟไดเรคเตอร์กันทั้งคู่


Q : แสดงว่าเขาเป็นมากกว่าแค่โปรดิวเซอร์ ส่วนคุณก็เป็นหัวหน้าฝ่ายสร้างสรรค์สินะ?

A : เราเป็นนักสร้างสรรค์กันทั้งคู่ครับ แต่ผมคือคนที่ต้องสรุปทุกอย่างในท้ายที่สุดให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน


Q : ตอนแรกที่คุณรู้ว่า คุณจะต้องกำกับอนิเมะ โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ ตอนนั้นคุณมีความเห็นยังไง?

A : คือ ความจริงตอนนั้นผมยังเป็นแค่ลูกจ้างคนนึงที่เขาจ้างมาทำงานก็เท่านั้น งานที่ผมกำกับใน
David ก่อนหน้านั้นก็มี Inu X Boku Secret Service กับไปช่วยทำอีกหลายๆงาน จนกระทั่งคาจิตะ
(หนึ่งในหัวเรือใหญ่ของ David) มาถามผมว่า "นายชอบโจโจ้ใช่มั๊ย?" ผมตอบไปว่า "แน่นอน!" เขา
ตอบว่า "ได้เลย! นายได้เป็นผู้กำกับโจโจ้แล้ว!" ง่ายๆแค่นั้นเลย (หัวเราะ)



Q : เวลามองดูรายละเอียดต่างๆ คุณรู้สึกยังไงเวลาจะต้องดัดแปลงผลงานที่มีทั้งรูปแบบเฉพาะ
และ Reference ต่างๆอัดแน่นในนั้นมากมาย แถมยังผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้วด้วย หรือคุณรู้สึกว่า
การเวลาไม่ได้ทำให้ผลงานเปลี่ยนไปเลย?


A : แนวคิดหลักๆในการดัดแปลงคือ การคงไว้ซึ่งวิชวลที่ล้ำสมัยตลอดเวลาของมันครับ ถ้าคุณดูใน
มังงะต้นฉบับ คุณจะเจอรายละเอียดมากมายที่หากตั้งคำถาม เราจะได้มุมมองของรายละเอียดตรง
นั้นได้ไม่มีที่สิ้นสุด ปกติเวลาสร้างอนิเมะจากมังงะ เราต้องหาสิ่งที่เป็นมาตรฐานสำหรับงานอนิเมะ
ให้ได้ ซึ่งมันมักจะเห็นได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว แต่กับโจโจ้ ตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา โจโจ้กลายเป็น
ส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอะไรบางอย่าง มันกลายเป็น MEME ยอดนิยมในอินเตอร์เน็ต เป็นสิ่งที่คนยก
มาเป็นแซมเปิ้ลหรือล้อเลียนกันมากมาย เราจึงต้องรักษาสิ่งที่แฟนๆยกมันเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม
ป๊อปเหล่านี้มาใส่ในอนิเมะ มีหลายสิ่งในอนิเมะที่หลังจากมันออกอากาศจบ มันกลายเป็นเอกลักษณ์
หรือถูกพูดถึงในหมู่แฟนๆ และกลายเป็น MEME ในวันถัดมา ไม่ว่าจะเป็นบทสนทนาอะไรก็ตาม ผม
ยกความดีให้กับความยูนีคและความโมเดิร์นสูงของตัวมังงะเลย


Q : น่าสนใจมากที่ได้ฟังคุณพูดถึงวัฒนธรรมป็อปหรือ MEME ในโจโจ้ แล้วหลังจากการทำงาน
พวกคุณมีความรู้สึกนี้มั๊ยว่า "โอ้ พวกเราทำมันได้สำเร็จแล้ว เราใส่ความรู้สึกดั้งเดิมคลาสสิคลง
ไปเพื่อแฟนๆมังงะได้จริงๆ" หรือเปล่า?


A : ใช่ครับ ความจริงคือมันเติมเต็มความรู้สึกเราด้วย เราต้องการจะให้แฟนๆที่เป็นแฟนมังงะอยู่แล้ว
แล้วมาดูอนิเมะ ดูเสร็จแล้วอยากจะกลับไปเอามังงะมาอ่านอีกครั้ง เราอยากจะแชร์มิติใหม่ๆสำหรับ
สิ่งที่แฟนๆชอบเอาไปใช้เป็น MEME และทำให้ทุกคนรู้สึกว่าในที่สุด โจโจ้ก็ลุกขึ้นมามีชีวิตแล้วนะ



Q : อย่างนึงที่ผมชอบ ที่ผมคิดว่าอนิเมะทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมมาก คือเรื่องของเพลงที่ใช้ใน
อนิเมะ ทั้งเพลงพื้นหลังและซาวนด์เอฟเฟคต่างๆ มันทรงพลังมากจริงๆ ผมฟังแล้วรู้สึกว่าแค่ฟังก้รู้
แล้วว่ามันต้องมาจากอนิเมะ โจโจ้ ล่าข้ามศตวรรษ แน่นอน คุณมีแนวคิดและความเห็นยังไงในการ
จัดการทำเพลงและเสียงเอฟเฟคที่จะเอามาใช้ในโจโจ้?


A : บางครั้งเราก็เรียกโจโจ้ว่าเป็น "โลกของตัวอักษร" นะครับ ในมังงะ เรามักจะได้เห็นตัวอักษรเสียง
เอฟเฟค ที่บางครั้งถูกออกแบบขึ้นมาใหม่ เพื่อใช้อธิบายอารมณ์ของเรื่องราวในขณะนั้น ทีนี้พอต้องทำ
เป็นอนิเมะ เสียงเหล่านั้นจะต้องถูกแปรสภาพให้กลายเป็นเสียงจริงๆขึ้นมา งานของเราอีกอย่างคือต้อง
ไปหารูปแบบเสียงที่หลากหลายมาใช้เป็น Reference กัน และตัวอักษรเสียงในฉากเป็นอีกส่วนหนึ่งของ
วัฒนธรรมป็อปโจโจ้ที่แฟนๆชอบ เราก็เลือกเสียงโปรดของแฟนๆขึ้นมาใช้ในบางฉาก ผมคิดว่าเวลามี
ตัวอักษรนี้ขึ้นมาเราไม่จำเป็นต้องไปอ่านมันหรอกนะครับ (หัวเราะ) มันคือภาษาของเสียง เป็นวิชวลที่ตามองไม่เห็น


Q : อะไรคือเหตุผลหลักที่เลือกเพลง Ending แต่ละเพลงมา ทั้ง Roundabout, Walk like an Egyptian
หรือ Last Train Home ความหมายของแต่ละเพลงคือการก้าวต่อไป มันเป็นสัญญาณบอกถึงภาคต่อ
ไปในอนาคตหรือเปล่า?


A : แน่นอน เพลงที่เลือกมาใช้มาจากอาจารย์ ฮิโรฮิโกะ อารากิ เป็นคนเลือกทั้งหมด ทุกเพลงที่ถูกเลือกมา
มักจะเป็นเพลงที่เขาฟังตอนกำลังเขียนภาคนั้นๆเสมอครับ ที่ อ.อารากิ ชอบฟังเพลงสากลนั้นไม่ใช่เพราะเขา
ชอบที่จะฟังเพลงภาษาอังกฤษมากกว่าญี่ปุ่นหรอกนะครับ แต่เพราะท่วงนำนองของเพลงนั้นเป็นเสียงที่บริสุทธ์
สำหรับเขา มันไม่เกี่ยวกับภาษา แต่เกี่ยวกับความสวยงามที่อยู่ในตัวเพลง เวลาเอาเพลงมาใช้มันทำให้หลาย
คนที่ถึงจะเคยฟังแล้ว ก็อยากจะหันกลับไปฟังอีกได้ ดังนั้นถ้าจะเลือกเพลงที่จะใช้ในภาคต่อไป ก็ต้องเป็นการ
เลือกด้วยเหตุผลเดิมแน่นอน ตรงนี้ผมคิดว่าอนิเมะโจโจ้ เป็นการเปิดประตูให้ชาวญี่ปุ่นหันมาสนเพลงจากฝั่ง
ตะวันตกกันมากขึ้นทางหนึ่งเลย แถมมันยังเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของแฟนๆชาวตะวันตก ซึ่งทาง WB
ก็เข้าใจเรื่องนี้ดี ตอนที่ขอลิขสิทธิ์เพลง ทางค่ายเพลงก็ยินดีที่จะร่วมงานกับเราเป็นอย่างดีและถูกต้องมาตลอด



Q : แน่นอนว่า ตัวละครบางตัวจะถูกเปลี่ยนชื่อไปเพื่อให้สำหรับตอนฉายที่อเมริกา วานิลลา ไอซ์ เปลี่ยนเป็น
คูล ไอซ์, โออิงโกะ โบอิงโกะ เปลี่ยนเป็น เซนยัตต้า มอนดัตต้า และอีกหลายๆชื่อ แต่ยังไงแฟนๆก็รู้ชื่อจริง
ของตัวละครกันอยู่แล้ว เลยมีบางส่วนที่จะขำๆ หรือไม่ค่อนชอบกัน ประมาณว่า "อะไรกัน พวกเขากลัวการถูก
ฟ้องร้องกันเหรอ?"
คุณรู้สึกยังไงเวลาแฟนๆชาวอเมริกันพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนชื่อตัวละคร?


A : เอาจริงๆคือ ผมไม่เคยคิดเลยว่าจะมีใครที่อ่อนไหวเรื่องการเปลี่ยนชื่อ เวลาที่งานถูกแปลในต่างประเทศ
มาก่อน เพราะในความเป็นจริงแล้ว เวลาศิลปินเห็นตัวละครที่มีชื่อเหมือนกับพวกเขา เขาคงไม่รู้สึกแฮปปี้แน่ๆ
โดยเฉพาะพวกตัวละครที่มีบทเล็กๆน้อยๆ ดังนั้นยังไงเราก็ต้องทำให้มันถูกต้องไว้ก่อน



Q : พูดถึงประเด็นนี้ผมขอถามเลย เพลงพิเศษของ โออิงโกะ โบอิงโกะ เริ่มต้นมาจากไหนกัน?
มันเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์และเจ๋งมากเลย!!!


A : ในภาค 3 เราแบ่งเนื้อหาออกเป็น 2 ส่วนตอนออกอากาศ พอมาถึงส่วนที่สอง โอโมริซัง
โปรดิวเซอร์ของวอร์เนอร์มิวสิค ถามเราว่า อยากได้เพลงอะไรพิเศษๆที่จะใช้ในเรื่องบ้างมั๊ย? เป็นเพลง
Ending ที่เป็นภาษาญี่ปุ่นเหมือนอนิเมะเรื่องอื่นๆ ในตอนไหนซักตอนของอนิเมะ แล้วตอนนั้นเรากำลัง
ทำช่วง โออิงโกะ โบอิงโกะ อยู่พอดี เลยคิดขึ้นมาว่า นี่เป็นตอนที่ค่อนข้างพิเศษกว่าตอนอื่นๆอยู่แล้ว
เป็นตอนที่ไม่มีทางได้เห็นบ่อยๆในเรื่องแน่ ที่สำคัญคือ โบอิงโกะเป็นตัวละครที่มีสแตนด์เป็นหนังสือ
การ์ตูนที่มีลายเส้นของตัวเอง ทุกอย่างมันเข้าทางไปซะหมดเลย ในที่สุดเราก็เอาไปบอกให้โอโมริซัง
ลองฟังดู จนออกมาเป็นเพลง Oingo Boingo Brothers อย่างที่ได้ฟังกันครับ


Q : มีตัวละครไหนบ้างที่เป็นตัวละครโปรดของคุณในโจโจ้ ตัวละครที่อยู่ในภาคที่ยังไม่ได้สร้างเป็น
อนิเมะ แล้วอยากจะเอาพวกเขามาอยู่ในอนิเมะ?


A : มีแน่นอนครับ หลังจากทำภาค 3 จบลงไป ผมเริ่มคิดถึงอนาคตของโจทาโร่ทันทีเลย ในภาค 4
ผมก็ยังคงชอบโจทาโร่ที่สุดอยู่ เพราะผมรู้จักเขาครั้งแรกตอนนั้น สมัยยังอยู่มัธยมปลาย ...แต่ถ้าเป็น
โจสตาร์ที่ผมชอบที่สุด ผมชอบ โจรุโน่ โจบาน่า ตัวเอกของภาค 5 ผู้เป็นลูกชายของดีโอ ที่สุด มันแสดง
ให้เห็นว่าจิตวิญญาณของตระกูลโจสตาร์นั้นยิ่งใหญ่และมีความหลากหลายมาก



Q : ในอนิเมะนั้นเราจะได้เห็นสีสันที่หลากหลายมากมายของตัวละครและฉาก มันเป็นไอเดียที่เกิดขึ้น
เพราะอาร์ตเวิร์คของมังงะ ไอเดียเจ๋งๆแบบนี้เกิดขึ้นมาตอนไหน?


A : มีสิ่งหนึ่งที่เราต้องยึดไว้เวลาสร้างอนิเมะมีคือสีสันที่ใช้เป็นสีหลักของเรื่อง เราเปลี่ยนมันไม่ได้
แต่ในอาร์ตเวิร์คของมังงะนั้นจะมีการลงสีที่ไม่ซ้ำกันและมีความหลากหลายมาก แฟนๆทุกคนต่างก็มี
"สีตัวเลือก" ที่ตัวเองอยากให้ใช้กันทุกคน ผมเองก็เป็นโจโจ้คนหนึ่งที่มีสีสันในดวงใจของตัวละคร
เหมือนกัน เราเลยจัดการ "เปลี่ยนสีสัน" ตามสถานการณ์ที่ต่างๆกันออกไปในเรื่องซะเลย เพราะมังงะ
ไม่มีการกำหนดสีที่ชัดเจนอยู่แล้ว มันเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดที่จะพาแฟนๆไปเจอกับทุกๆสีสันที่พวกเขา
ชอบหรือนึกออก เป็นสิ่งที่แฟนๆมังงะจะรู้ดีว่ามันคือสิ่งที่ใช่ที่สุด


Q : คำถามสุดท้าย โจโจ้เป็นอนิเมะที่มีทีมพากย์และการพากย์เสียงที่ทรงพลังและยอดเยี่ยมมาก
คุณมีโมเมนท์การพากย์โปรดในอนิเมะภาคนี้หรือเปล่า?


A : จริงๆมีตัวเลือกมากมายนะครับ แต่ถ้าให้เลือกแค่ฉากเดียว คงเป็นตอนสุดท้ายของภาค ในศึก
สุดท้ายของโจทาโร่กับดีโอ ความทรงพลังของการปะทะกันระหว่าง ORAORAORA และ MUDAMUDADA
พวกเขาไม่ทำให้ผมผิดหวังกันเลย


Q : ผมรู้เรื่องอยู่แล้วว่าอะไรจะเกิดขึ้น แต่เวลาที่ดีโอแบก Road Roller มานั้นมันเป็น
โมเมนท์ที่ยอดเยี่ยมและทรงพลังที่สุดจริงๆ!!!!


A : ผมมีความสุขมากจริงๆที่ได้ยินแบบนั้นครับ





เครดิต http://www.animenewsnetwork.com/
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่