เรื่องมันเกิดขึ้นจาก คนเผาอ้อยข้างที่ดินของผม ตามปกติก่อนจะตัดอ้อยขายมันจะเผาก่อน
เเล้วพอมันเผาไฟก็ลามมาเข้าสวนผม เผาต้นไม้วายวอดไปกว่าครึ่งสวน ข้างๆสวนก็มีบ้านคนเรียงราย
กันอยู่เขาก็เข้ามาช่วยกันดับไฟให้เพราะกลัวไฟมันจะลามไปเผาบ้านเขาด้วย
เราพอทราบเรื่องก็ไปดู เเต่คนเผาอ้อยมันก็ไปกันหมดเเล้ว ผมก็เลยไปเเจ้งความเพื่อดำเนินคดี
คิดว่าถ้าส่งฟ้องได้ ศาลท่านคงพิจารณาได้จากวัตถุพยานว่า น่าเชื่อถือได้ว่าสวนผมที่ไฟไหม้นั้นมีเหตุอันเกิดจาก
ความไม่ระมัดระวังรอบคอบในการจุดไฟทำให้ลามมาไหม้สวนผมทำให้ทรัพย์สินเสียหาย พอไปเเจ้งความผ่านไป
1 เดือน ตำรวจมันก็เรียกไปคุยเพื่อตกลงกับคุ่กรณี
คนเผาอ้อยมันก็มาพร้อมกับทนาย ตอนเเรกๆก็ทำท่าว่าจะจ่ายค่าเสียหายให้ส่วนหนึ่งจากที่เราเรียกร้อง พอไปๆมาๆ
ทนายมันก็ตามมาสมทบ ทำมาถามว่า "ตอนเขาเผาคุณเห็นหรือเปล่า ได้บันทึกภาพอะไรไว้บ้างไหม" ผมก็บอกไปว่า
ไม่เห็นเพราะบ้านเเละสวนมันอยู่กันคนละที่ไม่ได้อยุ่ในที่เดียวกัน มันก็ถามต่อว่า "เเล้วมีพยานรู้เห็นไหมว่าคนนี้เป็นคนเผา
เเล้วไฟมันลามมา" ชาวบ้านที่อยุ่บ้านใกล้เรือนเคียงก็เป็นชนชั้นระดับ ไทบ้าน(ทางอีสานคือชาวบ้านธรรมดาๆหาเช้ากินค่ำ
ยังชีพอยู่ด้วยรายได้น้อยไปวันๆ) เขาก็คงไม่กระทำในเเบบที่ว่า "อยู่ดีดีไม่ว่าดีหาเรื่องเอามือไปซุกหีบ" หรือ "เนื้อไม่ได้กิน
หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาเเขวนคอ"
พอผมไปสอบถามหาคนมาเป็นพยานก็เลยไม่มีใครรับ ใครช่วย ทั้งๆที่เขาก็รุ้เขาก็เห็น เเต่เขาก็ไม่เข้ามาอยากยุ่งด้วย
เเละเรื่องการเผาอ้อยจนไฟลามไปเผาที่คนอื่นนี่มันเกิดอยู่เป็นประจำในภาคอีสานอยู่เเล้ว พูดง่ายๆว่า เเค่ไทบ้านขับรถ
ผ่านมาเห็นสวนอ้อยกับสวนผมไหม้ดำอยู่ มันก็รู้ได้เลยทันทีว่าไอ้สวนอ้อยนี่มันเผาอ้อยเเล้วไฟลามไปเข้าที่เขาเเน่นอน
ดังนั้นในที่สุด ผมก็เลยไม่มีพยานหลักฐานที่จะไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้เลยเเม้เเต่บาทเดียว
ตำรวจมันก็เลยสรุปว่า "ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ผมก็ทำสำนวนคดีให้ไม่ได้" จบนะ เอ้อดีเนอะบ้านเมืองเป็นกันเเบบนี้
เลยอยากเอามาบอกให้ทุกท่านที่มีที่ดินอยุ่ที่อื่น(ไม่ได้มีบ้านพักอาศัยอยุ่ในที่ดินนั้น) ว่าขอให้ระวังให้ดี ว่ามีป่าอ้อย
อยุ่ใกล้ๆกับที่ดินที่ปลูกต้นไม้ของท่านไว้หรือไม่ เเล้วมันใกล้จะเผาเมื่อไหร่ ให้รีบหาคนไปเฝ้า ไม่งั้นก็จะเจอเเบบผม
เเน่นอน
เเละคนที่มีทั้งบ้านมีทั้งต้นไม้อยู่ใกล้กับป่าอ้อย ท่านจงระวัง ถ้าตอนเผาไฟมันลามเข้ามาเเล้วท่านอยู่บ้านก็อาจจะจับ
มันได้เเบบคาหนังคาเขา เเต่ถ้าเกิดท่านมีธุระต้องออกจากบ้านไปเเล้วเสร็จธุระกลับมาพบกับ บ้านเเละต้นไม้วอดวาย
หายไปไม่เหลือเเม้เเต่ซาก(พอเริ่มการเผาอ้อย ไฟก็จะลุกสูงเเละลมก็จะโหมมาจากทุกทิศทุกทาง ลมจะหมุนวนรอบ
กองไฟจนหมุนพัดเอาลูกไฟ หรือ เสวียนไฟลอยขึ้นมา ถ้ามันลอยไปตกที่ไหน ที่นั่นก็ต้องวินาศด้วยอัคคีภัยเเน่นอน
เพราะลูกมันไม่ใช่เล็กๆ)
ท่านก็เตรียมพบกับการเจรจาตามเเบบของเจ้าหน้าที่ของไทยได้เลย คือ
"ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ทำสำนวนคดีไม่ได้ก็ส่งฟ้องไม่ได้" เข้าใจนะ คุณจะให้ผมทำยังไง จบนะ
บ้านหลังหนึ่งไม่ใช่หลังละบาทหามาด้วยน้ำพักน้ำเเรงกว่าครึ่งชีวิต ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไม่ได้โตใหญ่สูง
ขึ้นมาได้ในวันเดียว ทุกอย่างหายไปหมดในกองเพลิง พร้อมกับ การไม่สามารถเอาผิด รับเงินเยียวยา
ฟ้องร้องเอาอะไรกับใครได้เลย เพราะคำพูดที่สุดจะคลาสสิค
"ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ทำสำนวนไม่ได้ ส่งฟ้องไม่ได้" จบนะ!
"ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ทำสำนวนไม่ได้ ส่งฟ้องไม่ได้"
เเล้วพอมันเผาไฟก็ลามมาเข้าสวนผม เผาต้นไม้วายวอดไปกว่าครึ่งสวน ข้างๆสวนก็มีบ้านคนเรียงราย
กันอยู่เขาก็เข้ามาช่วยกันดับไฟให้เพราะกลัวไฟมันจะลามไปเผาบ้านเขาด้วย
เราพอทราบเรื่องก็ไปดู เเต่คนเผาอ้อยมันก็ไปกันหมดเเล้ว ผมก็เลยไปเเจ้งความเพื่อดำเนินคดี
คิดว่าถ้าส่งฟ้องได้ ศาลท่านคงพิจารณาได้จากวัตถุพยานว่า น่าเชื่อถือได้ว่าสวนผมที่ไฟไหม้นั้นมีเหตุอันเกิดจาก
ความไม่ระมัดระวังรอบคอบในการจุดไฟทำให้ลามมาไหม้สวนผมทำให้ทรัพย์สินเสียหาย พอไปเเจ้งความผ่านไป
1 เดือน ตำรวจมันก็เรียกไปคุยเพื่อตกลงกับคุ่กรณี
คนเผาอ้อยมันก็มาพร้อมกับทนาย ตอนเเรกๆก็ทำท่าว่าจะจ่ายค่าเสียหายให้ส่วนหนึ่งจากที่เราเรียกร้อง พอไปๆมาๆ
ทนายมันก็ตามมาสมทบ ทำมาถามว่า "ตอนเขาเผาคุณเห็นหรือเปล่า ได้บันทึกภาพอะไรไว้บ้างไหม" ผมก็บอกไปว่า
ไม่เห็นเพราะบ้านเเละสวนมันอยู่กันคนละที่ไม่ได้อยุ่ในที่เดียวกัน มันก็ถามต่อว่า "เเล้วมีพยานรู้เห็นไหมว่าคนนี้เป็นคนเผา
เเล้วไฟมันลามมา" ชาวบ้านที่อยุ่บ้านใกล้เรือนเคียงก็เป็นชนชั้นระดับ ไทบ้าน(ทางอีสานคือชาวบ้านธรรมดาๆหาเช้ากินค่ำ
ยังชีพอยู่ด้วยรายได้น้อยไปวันๆ) เขาก็คงไม่กระทำในเเบบที่ว่า "อยู่ดีดีไม่ว่าดีหาเรื่องเอามือไปซุกหีบ" หรือ "เนื้อไม่ได้กิน
หนังไม่ได้รองนั่ง เอากระดูกมาเเขวนคอ"
พอผมไปสอบถามหาคนมาเป็นพยานก็เลยไม่มีใครรับ ใครช่วย ทั้งๆที่เขาก็รุ้เขาก็เห็น เเต่เขาก็ไม่เข้ามาอยากยุ่งด้วย
เเละเรื่องการเผาอ้อยจนไฟลามไปเผาที่คนอื่นนี่มันเกิดอยู่เป็นประจำในภาคอีสานอยู่เเล้ว พูดง่ายๆว่า เเค่ไทบ้านขับรถ
ผ่านมาเห็นสวนอ้อยกับสวนผมไหม้ดำอยู่ มันก็รู้ได้เลยทันทีว่าไอ้สวนอ้อยนี่มันเผาอ้อยเเล้วไฟลามไปเข้าที่เขาเเน่นอน
ดังนั้นในที่สุด ผมก็เลยไม่มีพยานหลักฐานที่จะไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายได้เลยเเม้เเต่บาทเดียว
ตำรวจมันก็เลยสรุปว่า "ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ผมก็ทำสำนวนคดีให้ไม่ได้" จบนะ เอ้อดีเนอะบ้านเมืองเป็นกันเเบบนี้
เลยอยากเอามาบอกให้ทุกท่านที่มีที่ดินอยุ่ที่อื่น(ไม่ได้มีบ้านพักอาศัยอยุ่ในที่ดินนั้น) ว่าขอให้ระวังให้ดี ว่ามีป่าอ้อย
อยุ่ใกล้ๆกับที่ดินที่ปลูกต้นไม้ของท่านไว้หรือไม่ เเล้วมันใกล้จะเผาเมื่อไหร่ ให้รีบหาคนไปเฝ้า ไม่งั้นก็จะเจอเเบบผม
เเน่นอน
เเละคนที่มีทั้งบ้านมีทั้งต้นไม้อยู่ใกล้กับป่าอ้อย ท่านจงระวัง ถ้าตอนเผาไฟมันลามเข้ามาเเล้วท่านอยู่บ้านก็อาจจะจับ
มันได้เเบบคาหนังคาเขา เเต่ถ้าเกิดท่านมีธุระต้องออกจากบ้านไปเเล้วเสร็จธุระกลับมาพบกับ บ้านเเละต้นไม้วอดวาย
หายไปไม่เหลือเเม้เเต่ซาก(พอเริ่มการเผาอ้อย ไฟก็จะลุกสูงเเละลมก็จะโหมมาจากทุกทิศทุกทาง ลมจะหมุนวนรอบ
กองไฟจนหมุนพัดเอาลูกไฟ หรือ เสวียนไฟลอยขึ้นมา ถ้ามันลอยไปตกที่ไหน ที่นั่นก็ต้องวินาศด้วยอัคคีภัยเเน่นอน
เพราะลูกมันไม่ใช่เล็กๆ)
ท่านก็เตรียมพบกับการเจรจาตามเเบบของเจ้าหน้าที่ของไทยได้เลย คือ
"ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ทำสำนวนคดีไม่ได้ก็ส่งฟ้องไม่ได้" เข้าใจนะ คุณจะให้ผมทำยังไง จบนะ
บ้านหลังหนึ่งไม่ใช่หลังละบาทหามาด้วยน้ำพักน้ำเเรงกว่าครึ่งชีวิต ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งไม่ได้โตใหญ่สูง
ขึ้นมาได้ในวันเดียว ทุกอย่างหายไปหมดในกองเพลิง พร้อมกับ การไม่สามารถเอาผิด รับเงินเยียวยา
ฟ้องร้องเอาอะไรกับใครได้เลย เพราะคำพูดที่สุดจะคลาสสิค
"ไม่มีพยาน ไม่มีหลักฐาน ทำสำนวนไม่ได้ ส่งฟ้องไม่ได้" จบนะ!