ตำนานสุดยอดพอยต์การ์ดไร้แหวน ถือกำเนิดขึ้นที่กรุงโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศเซาท์แอฟริกา จากอาชีพนักฟุตบอลของคุณพ่อชาวอังกฤษ พอขวบครึ่ง ได้ย้ายมาแคนนาดา และต่อมาเรียนไม่ดี พ่อจับส่งไปอยู่โรงเรียนประจำ St. Michaels ใน Victoria นี้คือจุดเริ่มต้นของ Steve Nash ตำนานพอยต์การ์ดของลีก แนสก่อนที่จะมาหลงรักบาสเก็ตบอล เคยเล่นฟุตบอลกับฮอกกี้เป็นกีฬาหลักมาก่อน เป็นปรกติของเด็กที่โน้นที่เล่นหลายชนิดกีฬา ตามฤดูกาล แนสพอได้มาสัมผัสก็ตกหลุมรักบาสเก็ตบอลตอน ม.2 ช่วงนี้เองที่เขาบอกแม่ว่าสักวันหนึ่งจะต้องมาเล่น และเป็นสตาร์ใน NBA ให้ได้ ที่ St. Michaels แนสเล่นทั้ง บาส ฟุตบอล และรับบี้ ในปี 1992 ปีสุดท้าย (ม.6) พาทีมโรงเรียนคว้าแชมป์รัฐ มีผลงานเฉลี่ย 21.3 แต้ม 11.2 แอสซิสต์ 9.1 รีบาวด์ต่อเกม ได้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของรัฐ ถึงกระนั้นก็ตาม โค้ชของแนส ได้ส่งรีพอร์ตบรรยายสรรพคุณ พร้อมวีดีโอ ให้กับมหาลัย 30 แห่ง แต่ไม่มีใครสนใจเลย จนกระทั้ง Dick Davey โค้ชของมหาลัยเล็กๆ Santa Clara ในแคลิฟอร์เนีย ขอดูวีดีโอของพอยต์การ์ดหนุ่มคนนี้ หลังดูจบ Davey บอก “พวกผมกังวนสุดๆ และหวังว่าจะไม่มีใครเห็น โดยเฉพาะทีมใหญ่ๆ มันไม่ต้องเก่งเทพก็ดูออกว่าหนุ่มน้อยคนนี้มีของดีจริงๆ” แล้วในที่สุดแนสก็ได้ทุนการจากมหาลัยนี้
ในปีแรก แนสพาทีมคว้าแชมป์คอนเฟอร์เรนซ์ WCC ได้เข้าไปเล่นในทัวนาเมนต์ NCAA 1993 เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี รอบแรกพา Santa Clara มวยรองบ่อนหลายขุม พลิกเอาชนะทีมอันดับ 2 ทะลุผ่านเข้าไปจอดแค่รอบ 2 ถึงจะแพ้แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเด็กปีหนึ่ง ปีต่อมาทีมไปไม่ถึงไหน ปีที่ 3 ทีมคืนฟอร์มเก่ง แนสเป็นผู้นำการทำแต้ม และแอสซิสต์ ได้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของสาย พร้อมคว้าแชมป์ WCC 1995 อีกสมัย แต่จอดแค่รอบแรก ปีนี้เองเป็นปีที่ต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือจะเทิร์นโปร แนสรู้ว่าคงไม่ได้ถูกดราฟรอบแรกในปีนี้ เลยตัดสินใจอยู่เก็บชม.บินต่ออีกปี ฤดูกาลสุดท้าย 1995–96 สื่อต่างๆเริ่มมาสนใจในตัวแนส เขาพาทีมคว้าแชมป์สายสมัยที่ 2 ติดต่อกัน และคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของสาย รอบแรก Santa Clara อันดับ 10 สอยทีมเป็นต่ออันดับ 7 แต่ก็มาโดน Kansas สอยจอดแค่รอบ 2 เป็นการสิ้นสุดการเล่นในระดับมหาลัย พร้อมกับสร้างผลงานให้ Santa Clara ไว้มากมาย อาทิ ผู้นำแอสซิสต์สูงสุดตลอดกาล 510 ครั้ง ลูกโทษแม่นสุด 89% ส่องไกลลง 263 ลูก และทำแต้มสูงสุดอันดับ 3 ตลอดกาล ต่อมาเสื้อเบอร์ 11 ของเขาได้ถูกแขวนไว้ที่มหาลัย Santa Clara
ปี 1996 หนุ่มน้อยแคนนาเดียนสมใจถูก Phoenix Suns ดราฟท่ามกลางเสียงโห่ ในรอบแรกอันดับที่ 15 มีเพื่อนร่วมดราฟคลาสเก่งๆหลายคน Allen Iverson (1), Ray Allen (5) และ Kobe Bryant (13) เป็นต้น ระหว่างดราฟท่ามกลางเสียงโห่ของแฟนๆที่ไม่พอใจการเลือกผู้เล่นซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้จัก อาจเป็นเพราะเล่นให้มหาลัยเล็กๆ แถมไม่ได้เข้ารอบลึกๆ อยู่สายไม่ดัง และไร้ดีกรีแชมป์ รุกกี้หนุ่ม 6’3 ทักษะเยี่ยม จ่ายบอลดี ทำแต้มได้แต่พร้อมแล้วหรือยังสำหรับลีกอาชีพ ปีแรกของการเริ่มต้นอาชีพบาสเก็ตบอลใน NBA ก็มาพร้อมกับอุปสรรค์ เส้นทางสู่สุดยอดพอยต์การ์ดของเขา ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหนือนของซุปเปอร์สตาร์ดังๆหลายคน ทุกอย่างแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย และความขยันอดทด ภายใต้เงาของ Sam Cassel (การ์ดจ่ายชุดแชมป์ของจรวดแดง) และ Kevin Johnson ต่อมา ช่วงปลายปีโดนเทรดแลกกับ Jason Kidd การ์ดจ่ายดาวรุ่งออลสตาร์ ดราฟเบอร์ 2 ทำให้รุกกี้หนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่เฝ้าม้านั้งสำรอง ลงเล่น 10 นาที เฉลี่ย 3.3 แต้ม 2.1 แอสซิสต์ 1 รีบาวด์ต่อเกม ปีที่ 2 ยังคงเป็นพอยต์การ์ดสำรองของทีม แต่ได้เวลาลงเล่นมากขึ้น 20 นาที เฉลี่ย 9.1 แต้ม 3.4 แอสซิสต์ 2.1 รีบาวด์ต่อเกม ปีนี้เองมีการพูดคุย ตกลงกับทางทีมว่า ถ้าอยากได้เวลาเล่นมากกว่านี้ควรเทรดไปทีมอื่น สุดท้ายทีมที่ถูกหวยคือ Dallas Mavericks เป็นดีลสุดคุ้ม แนสแลกกับผู้เล่นโนเนม 2 คน, สิทธิในตัวผู้เล่น และดราฟรอบแรก (ซึ่งต่อมา Suns ดราฟ Shawn Marion) แต่แฟนๆ Mavs ยังไม่เห็นเช่นนั้น ช่วงลงเล่นให้ทีมแรกๆ ถือบอลเมื่อไรโดนโห่เมื่อนั้น ทำแนสประสาทเสียพอสมควรแต่ก็ผ่านมาไปได้
พอยต์การ์ดผิวขาวคนใหม่ มาพร้อมกับฟอร์เวิร์ดผิวขาวคนใหม่ Dirk Nowisky นักบาสบาสยุโรปแท้ๆ กล่าวคือป๋าเดิร์กไม่เคยเรียน ไม่เคยอยู่ในระบบบาสของสหรัฐมาก่อนเลย ช่วงมา Dallas ใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาที่ถือว่ายากลำบากที่สุดตั้งแต่เข้าลีกมาของทั้ง 2 ผู้เล่นผิวขาว อย่างที่บอก แฟนเพลงของ Mavs ไม่สบอารมณ์เท่าไร กับการ์ดจ่ายตัวจริงของพวกเขาที่มีผลงานไม่สู้ดีนัก ป๋าเดิร์กบอกว่าช่วงที่เห็นแนสโดนแฟนๆทีมตัวเองโห่ เขาบอก “นั้นมันตัวผมเลย” ผลงานของทั้ง 2 หนุ่ม ต่ำกว่าความคาดหวังของแฟนๆแดนคาวบอย แต่ในความโชคร้าย ย่อมต้องมีความโชคดีมั่ง แนสได้เพื่อนซี้ปึกใหม่อย่างป๋าเดิร์ก ค่อยช่วยกันให้กำลังใจกันละกัน ช่วยกันแก้ไขข้อบกพร่องในการเล่น ทั้งยังพูดคุยสร้างมั่นใจให้ป๋าเดิร์กที่ต้องปรับตัวมากกว่ากับการเล่น ความเป็นอยู่ และภาษา ทั้งชวนป๋าเดิร์กที่คิดถึงบ้านออกเที่ยว พักผ่อนจิตใจ หลังซ้อม หรือเวลาว่างสองหนุ่มจะเล่น 1 ต่อ 1, เล่นฮอส และเล่นชู้ตติ้งเกมกัน สำหรับผลงานในฤดูกาลแรก (1998-1999 ล็อคเอาท์) แนสสมใจได้สตาร์ทตัวจริงทั้งหมด 40 เกมที่เล่น เฉลี่ย 7.9 แต้ม 5.5 แอสซิสต์ 2.9 รีบาวด์ ส่วนทีมจบอันดับที่ 11 สถิติ 19-31 ไม่ได้เข้าเพลย์ออฟ แต่ก็ทดแทนด้วยความสัมพันธ์ฉันพี่ฉันน้องกับป๋าเดิร์ก ซึ่งอายุอ่อนกว่าแนส ฤดูกาลต่อมา ทีมพัฒนาขึ้นจบอันดับ 9 สถิติ 40-24 ไม่ได้เข้าเพลย์ออฟอีกเป็นปีที่ 2 การจะสร้างทีมเก่งๆต้องใช้เวลา และ Mavs ก็พัฒนามาถูกทางแล้ว ป๋าเดิร์กเริ่มระเบิดฟอร์มเก่ง ผู้เล่นคนสำคัญของทีม Michael Finley ก็เช่นกัน ทีมยังเปลื่ยนเจ้าของทีมคนใหม่เป็น Mark Cuban ที่มาสร้างความตื่นเต้น และเติมพลังให้ทีม
2000-2001 แนสเวอร์ชั่นใหม่กับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการที่ Dallas กลายมาเป็นพอยต์การ์ดฝีมือร้ายกาจคนหนึ่งของลีก พร้อมเป็นคู่หู หมัด 1-2 ป้ายแดง จบฤดูกาลมีสถิติ 53-29 อันดับ 5 ของสาย สองหนุ่มสองสไตล์พา Mavs เข้ารอบเพลย์ออฟครั้งแรกในรอบ 10 ปี ทีมหนุ่มไฟแรงทะลุผ่านรอบแรกเข้าไปจอดแค่รอบสอง เจอ Spurs ที่มีท่านนายพลกับน้าทิมมี่สอยคว่ำ 4-1 เกม
2001-2002 แนสติดออลสตาร์ และติด All NBA Third Team เป็นครั้งแรก มีผลงานดีที่สุดตั้งแต่เข้าลีกมา เฉลี่ย 17.9 แต้ม 7.7 แอสซิสต์ต่อเกม เป็นรองแค่ Jason Kidd ที่ติดทีมที่ 2 ส่วนคู่หูบิ๊กแมนของเขา ติดทีมที่ 2 ตอนนี้แนสเป็นสตาร์เต็มตัว พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในบิ๊กทรีของ Dallas Mavericks เช่นเคยสามเกลอพาทีมเข้าเพลย์ออฟ กับสถิติดีขึ้น 57-25 อันดับ 4 ของสาย แต่เข้าไปจอดแค่รอบสอง พ่ายให้ Kings ของ Chris Webber ในยุครุ่งเรือง 4-1 เกม
2002-2003 Mavs สุดแกร่ง เปิดประเดิมอย่างโหดกับชัยชนะ 14 เกมติด ผ่านเข้าเพลย์ออฟอีกครั้ง สถิติ 60-22 อันดับ 1 ร่วมกับ Spurs แนสพาทีมล้างแค้น Kings สำเร็จ เอาชนะไปแบบหืดจับ 4-3 และผ่านเข้าไปถึงรอบชิงแชมป์สายเป็นครั้งที่ 2 ของแฟรนไชน์ แต่สุดท้ายก็อกหักอีกตามเคย พ่ายให้ Spurs 4-2 ซึ่งต่อมาได้แชมป์
2003-2004 มีการปรับเปลื่ยนผู้เล่นของทีมใหม่ แนสไม่ติดออลสตาร์ และทำแต้มเฉลี่ยน้อยลงจาก 17.7 แต้มต่อเกม ลดลงเหลือ 14.5 แต้ม แต่ทำแอสซิสต์สูงสุดในอาชีพ 8.8 ครั้งต่อเกม ในเพลย์ออฟ Mavs โดน Kings คู่รักคู่แค้นเอาคืน ในรอบสอง 4-1 เกม หลังจบฤดูกาลแนสกลายมาเป็นฟรีเอเจ้น เขาต้องการสัญญาระยะยาว มีการเจรจากัน ซึ่งเสี่ยมาร์คเจ้าของทีม ต้องการสร้างทีมโดยเอาป๋าเดิร์กที่อายุน้อยกว่าเป็นแกนหลัก และไม่ต้องการเสี่ยงกับสัญญาระยะยาวสำหรับผู้เล่นวัย 30 ที่ส่วนมากเลยจุดพีคไปแล้ว Mavs เสนอสัญญา 4 ปี ตกปีละ 9 ล้านเหรียญ ในทางกลับกัน Phoenix Suns เสนอ 6 ปี ตกปีละ 10.5 ล้านเหรียญ แนสแน่นอนอยากอยู่ Dallas ต่อ แต่สุดท้าย Cubin ไม่สู้ราคา หลังจบฤดูกาล แนสจำใจต้องจากป๋าเดิร์ก กลับไป Phoenix
2004-2005 เสี่ยมาร์คคิดผิด ส่วนแนสกลับมานับหนึ่งใหม่ที่ Phoenix ฤดูกาลก่อนที่แนสจะมาถึง Suns มีสถิติย่ำแย่สุดๆ 29–53 รองบ๊วยของสาย Phoenix Suns ยุคนั้นเป็นทีมหนุ่มที่สร้างทีมจากการดราฟเป็นหลัก ประกอบด้วย Shawn Marion (อันดับ 9), Joe Johnson (10) และ Amar'e Stoudemire (9) หลายคนยังอ่อนด้อยประสบการ์ณ เซียนบาสต่างคาดการ์ณไว้ว่าฤดูกาลนี้ Suns จะห่วยเหมือนเดิม แต่พอเอาเข้าจริงดันกลับตาลปัด เซียนหน้าแหกกันถ้วนหน้า โค้ช Mike D'Antoni เปลื่ยนสไตล์การเล่นของทีมใหม่หมด โดยเล่นแบบอัพเทมโป้ ใช้ไลน์อัพแบบสมอล์บอล เข้าทางแนสที่ถนัดสไตล์นี้อยู่แล้ว ไม่ต้องปรับตัวมาก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจากทีมบ๊วยเมื่อปีที่แล้ว กลับกลายมาเป็นทีมอันดับ 1 ของลีก สถิติ 62-20 มีเกมบุกมหาโหด ทำ 110.4 แต้มต่อเกม สูงสุดในลีก ส่วนตัวแนสเองมีผลงานเฉลี่ยดีขึ้นจากปีที่แล้ว 15.5 แต้ม 11.5 แอสซิสต์ 3.3 รีบาวด์ต่อเกม แต้มอาจดูไม่เยอะ แต่แอสซิสต์นี้สิ ถือว่าไม่ธรรมดา จ่ายใส่พานงามๆให้เพื่อนร่วมทีมเล่นง่ายๆ จากผลงานอันยอดเยี่ยม พาทีมชนะมากที่สุดแบบหักปากกาเซียน และคว้าตำแหน่ง MVP ประจำปี 2005 มาครอง เป็นพอยต์การ์ดคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ได้ตำแหน่งนี้ เป็นรองแค่ Magic กับ Isiah ทำเอาเสี่ยมาร์คถึงกับร้องเสียงหลง อีหยังว่ะ “ทำไมเขาเล่นให้เราไม่เหมือน MVP เลย” ช่วงเพลย์ออฟ รอบแรกถลุงยับ Grizzlies 4-0 รอบ 2 อัดยับ Mavs ทีมเก่าตัวเองอย่างสะใจ 4-2 ซี่รี่ย์นี้แนสระเบิดฟอร์มโหด ทำเฉลี่ย 30 แต้ม 12 แอสซิสต์ 6.5 รีบาวด์ต่อเกม ในเกม 4 ยังทำสูงสุดในอาชีพ 48 แต้ม ฟิลโกล์แม้นแม่น 20-28 (70%) ทะลุผ่านเข้าไปรอบชิงแชมป์สายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยุคของท่านเซอร์ แต่สุดท้ายพ่ายให้ Spurs ซึ่งต่อมาได้แชมป์
2005-2006 ปีที่ 2 ในเวอร์ชั่น Phoenix Suns หน่วยป้องกันห่วงของทีม Stoudemire เจ็บหนัก Joe Johnson กับ Quentin Richardson ถูกเทรด Suns ดูเหมือนอ่อนลง แต่แนสก็ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวัง ทำแต้มเฉลี่ยเพิ่มขึ้น สูงที่สุดตลอดทั้งอาชีพ 18.8 แต้ม 10.5 แอสซิสต์ 4.2 รีบาวด์ พาทีมเข้าเพลย์ออฟ มีสถิติ 54–28 ปีนี้ Suns ยังเป็นทีมที่ทำแต้มต่อเกมสูงสุดเช่นเคย จากการจ่ายของแนส ส่งผลให้ผู้เล่นถึง 7 คนมีแต้มเฉลี่ยถึง 2 หลัก ตัวเองเก่งไม่พอทำให้เพื่อนร่วมทีมเก่งด้วย พอจบฤดูกาลแนสก็คว้า MVP เป็นสมัยที่ 2 ติด ช่วงเพลย์ออฟ สอยหมดทั้ง Lakers ทั้ง Clippers ผ่านเข้าไปชิงแชมป์สายกับคู่รักคู่แค้นเก่า Dallas Mavericks แต่ครั้งนี้ถูกสอยร่วง จอดแค่รอบชิงแชมป์สายอีกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
2006-2007 แนสในวัย 31 ยังคงพัฒนาต่อเนื่อง มีผลงานเฉลี่ย 18.6 แต้ม แอสซิสต์สูงสุดตลอดอาชีพ 11.6 แอสซิสต์ต่อเกม ทำให้เขาเป็นผู้เล่นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่มีค่าเฉลี่ย 18 แต้ม 11 แอสซิสต์ต่อเกม ส่วนคนแรกที่ทำได้ ไม่ต้องบอกคงเดากันถูกว่าเป็นใคร Suns จบอันดับ 2 ของสาย เช่นเคยถูก Spurs สอยจอดรอบรองชนะเลิศ สำหรับ MVP ปีนี้คะแนนโหวตของแนสเป็นรองแค่ป๋าเดิร์ก
2007-2008 มีการเทรดผู้เล่นกลางฤดูกาล Shawn Marion เซกุดบายไป Miami แต่ได้ Shaquille O'Neal เจ้าของแหวน 4 วง มาเสริมแทน Suns จบอันดับ 6 ของสาย และถูกสอยในรอบแรกโดย Spurs เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปี หลังจบฤดูกาลนี้ Suns ได้ Grant Hill มาเสริมทัพ
ย้อนเวลาหาอดีตกับ Steve Nash หนึ่งในสุดยอดพอยต์การ์ดตลอดกาล
ในปีแรก แนสพาทีมคว้าแชมป์คอนเฟอร์เรนซ์ WCC ได้เข้าไปเล่นในทัวนาเมนต์ NCAA 1993 เป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี รอบแรกพา Santa Clara มวยรองบ่อนหลายขุม พลิกเอาชนะทีมอันดับ 2 ทะลุผ่านเข้าไปจอดแค่รอบ 2 ถึงจะแพ้แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีสำหรับเด็กปีหนึ่ง ปีต่อมาทีมไปไม่ถึงไหน ปีที่ 3 ทีมคืนฟอร์มเก่ง แนสเป็นผู้นำการทำแต้ม และแอสซิสต์ ได้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของสาย พร้อมคว้าแชมป์ WCC 1995 อีกสมัย แต่จอดแค่รอบแรก ปีนี้เองเป็นปีที่ต้องตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อหรือจะเทิร์นโปร แนสรู้ว่าคงไม่ได้ถูกดราฟรอบแรกในปีนี้ เลยตัดสินใจอยู่เก็บชม.บินต่ออีกปี ฤดูกาลสุดท้าย 1995–96 สื่อต่างๆเริ่มมาสนใจในตัวแนส เขาพาทีมคว้าแชมป์สายสมัยที่ 2 ติดต่อกัน และคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของสาย รอบแรก Santa Clara อันดับ 10 สอยทีมเป็นต่ออันดับ 7 แต่ก็มาโดน Kansas สอยจอดแค่รอบ 2 เป็นการสิ้นสุดการเล่นในระดับมหาลัย พร้อมกับสร้างผลงานให้ Santa Clara ไว้มากมาย อาทิ ผู้นำแอสซิสต์สูงสุดตลอดกาล 510 ครั้ง ลูกโทษแม่นสุด 89% ส่องไกลลง 263 ลูก และทำแต้มสูงสุดอันดับ 3 ตลอดกาล ต่อมาเสื้อเบอร์ 11 ของเขาได้ถูกแขวนไว้ที่มหาลัย Santa Clara
ปี 1996 หนุ่มน้อยแคนนาเดียนสมใจถูก Phoenix Suns ดราฟท่ามกลางเสียงโห่ ในรอบแรกอันดับที่ 15 มีเพื่อนร่วมดราฟคลาสเก่งๆหลายคน Allen Iverson (1), Ray Allen (5) และ Kobe Bryant (13) เป็นต้น ระหว่างดราฟท่ามกลางเสียงโห่ของแฟนๆที่ไม่พอใจการเลือกผู้เล่นซึ่งน้อยคนนักที่จะรู้จัก อาจเป็นเพราะเล่นให้มหาลัยเล็กๆ แถมไม่ได้เข้ารอบลึกๆ อยู่สายไม่ดัง และไร้ดีกรีแชมป์ รุกกี้หนุ่ม 6’3 ทักษะเยี่ยม จ่ายบอลดี ทำแต้มได้แต่พร้อมแล้วหรือยังสำหรับลีกอาชีพ ปีแรกของการเริ่มต้นอาชีพบาสเก็ตบอลใน NBA ก็มาพร้อมกับอุปสรรค์ เส้นทางสู่สุดยอดพอยต์การ์ดของเขา ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบเหนือนของซุปเปอร์สตาร์ดังๆหลายคน ทุกอย่างแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย และความขยันอดทด ภายใต้เงาของ Sam Cassel (การ์ดจ่ายชุดแชมป์ของจรวดแดง) และ Kevin Johnson ต่อมา ช่วงปลายปีโดนเทรดแลกกับ Jason Kidd การ์ดจ่ายดาวรุ่งออลสตาร์ ดราฟเบอร์ 2 ทำให้รุกกี้หนุ่มใช้เวลาส่วนใหญ่เฝ้าม้านั้งสำรอง ลงเล่น 10 นาที เฉลี่ย 3.3 แต้ม 2.1 แอสซิสต์ 1 รีบาวด์ต่อเกม ปีที่ 2 ยังคงเป็นพอยต์การ์ดสำรองของทีม แต่ได้เวลาลงเล่นมากขึ้น 20 นาที เฉลี่ย 9.1 แต้ม 3.4 แอสซิสต์ 2.1 รีบาวด์ต่อเกม ปีนี้เองมีการพูดคุย ตกลงกับทางทีมว่า ถ้าอยากได้เวลาเล่นมากกว่านี้ควรเทรดไปทีมอื่น สุดท้ายทีมที่ถูกหวยคือ Dallas Mavericks เป็นดีลสุดคุ้ม แนสแลกกับผู้เล่นโนเนม 2 คน, สิทธิในตัวผู้เล่น และดราฟรอบแรก (ซึ่งต่อมา Suns ดราฟ Shawn Marion) แต่แฟนๆ Mavs ยังไม่เห็นเช่นนั้น ช่วงลงเล่นให้ทีมแรกๆ ถือบอลเมื่อไรโดนโห่เมื่อนั้น ทำแนสประสาทเสียพอสมควรแต่ก็ผ่านมาไปได้
พอยต์การ์ดผิวขาวคนใหม่ มาพร้อมกับฟอร์เวิร์ดผิวขาวคนใหม่ Dirk Nowisky นักบาสบาสยุโรปแท้ๆ กล่าวคือป๋าเดิร์กไม่เคยเรียน ไม่เคยอยู่ในระบบบาสของสหรัฐมาก่อนเลย ช่วงมา Dallas ใหม่ๆ เป็นช่วงเวลาที่ถือว่ายากลำบากที่สุดตั้งแต่เข้าลีกมาของทั้ง 2 ผู้เล่นผิวขาว อย่างที่บอก แฟนเพลงของ Mavs ไม่สบอารมณ์เท่าไร กับการ์ดจ่ายตัวจริงของพวกเขาที่มีผลงานไม่สู้ดีนัก ป๋าเดิร์กบอกว่าช่วงที่เห็นแนสโดนแฟนๆทีมตัวเองโห่ เขาบอก “นั้นมันตัวผมเลย” ผลงานของทั้ง 2 หนุ่ม ต่ำกว่าความคาดหวังของแฟนๆแดนคาวบอย แต่ในความโชคร้าย ย่อมต้องมีความโชคดีมั่ง แนสได้เพื่อนซี้ปึกใหม่อย่างป๋าเดิร์ก ค่อยช่วยกันให้กำลังใจกันละกัน ช่วยกันแก้ไขข้อบกพร่องในการเล่น ทั้งยังพูดคุยสร้างมั่นใจให้ป๋าเดิร์กที่ต้องปรับตัวมากกว่ากับการเล่น ความเป็นอยู่ และภาษา ทั้งชวนป๋าเดิร์กที่คิดถึงบ้านออกเที่ยว พักผ่อนจิตใจ หลังซ้อม หรือเวลาว่างสองหนุ่มจะเล่น 1 ต่อ 1, เล่นฮอส และเล่นชู้ตติ้งเกมกัน สำหรับผลงานในฤดูกาลแรก (1998-1999 ล็อคเอาท์) แนสสมใจได้สตาร์ทตัวจริงทั้งหมด 40 เกมที่เล่น เฉลี่ย 7.9 แต้ม 5.5 แอสซิสต์ 2.9 รีบาวด์ ส่วนทีมจบอันดับที่ 11 สถิติ 19-31 ไม่ได้เข้าเพลย์ออฟ แต่ก็ทดแทนด้วยความสัมพันธ์ฉันพี่ฉันน้องกับป๋าเดิร์ก ซึ่งอายุอ่อนกว่าแนส ฤดูกาลต่อมา ทีมพัฒนาขึ้นจบอันดับ 9 สถิติ 40-24 ไม่ได้เข้าเพลย์ออฟอีกเป็นปีที่ 2 การจะสร้างทีมเก่งๆต้องใช้เวลา และ Mavs ก็พัฒนามาถูกทางแล้ว ป๋าเดิร์กเริ่มระเบิดฟอร์มเก่ง ผู้เล่นคนสำคัญของทีม Michael Finley ก็เช่นกัน ทีมยังเปลื่ยนเจ้าของทีมคนใหม่เป็น Mark Cuban ที่มาสร้างความตื่นเต้น และเติมพลังให้ทีม
2000-2001 แนสเวอร์ชั่นใหม่กับการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และแจ้งเกิดอย่างเป็นทางการที่ Dallas กลายมาเป็นพอยต์การ์ดฝีมือร้ายกาจคนหนึ่งของลีก พร้อมเป็นคู่หู หมัด 1-2 ป้ายแดง จบฤดูกาลมีสถิติ 53-29 อันดับ 5 ของสาย สองหนุ่มสองสไตล์พา Mavs เข้ารอบเพลย์ออฟครั้งแรกในรอบ 10 ปี ทีมหนุ่มไฟแรงทะลุผ่านรอบแรกเข้าไปจอดแค่รอบสอง เจอ Spurs ที่มีท่านนายพลกับน้าทิมมี่สอยคว่ำ 4-1 เกม
2001-2002 แนสติดออลสตาร์ และติด All NBA Third Team เป็นครั้งแรก มีผลงานดีที่สุดตั้งแต่เข้าลีกมา เฉลี่ย 17.9 แต้ม 7.7 แอสซิสต์ต่อเกม เป็นรองแค่ Jason Kidd ที่ติดทีมที่ 2 ส่วนคู่หูบิ๊กแมนของเขา ติดทีมที่ 2 ตอนนี้แนสเป็นสตาร์เต็มตัว พร้อมเป็นส่วนหนึ่งในบิ๊กทรีของ Dallas Mavericks เช่นเคยสามเกลอพาทีมเข้าเพลย์ออฟ กับสถิติดีขึ้น 57-25 อันดับ 4 ของสาย แต่เข้าไปจอดแค่รอบสอง พ่ายให้ Kings ของ Chris Webber ในยุครุ่งเรือง 4-1 เกม
2002-2003 Mavs สุดแกร่ง เปิดประเดิมอย่างโหดกับชัยชนะ 14 เกมติด ผ่านเข้าเพลย์ออฟอีกครั้ง สถิติ 60-22 อันดับ 1 ร่วมกับ Spurs แนสพาทีมล้างแค้น Kings สำเร็จ เอาชนะไปแบบหืดจับ 4-3 และผ่านเข้าไปถึงรอบชิงแชมป์สายเป็นครั้งที่ 2 ของแฟรนไชน์ แต่สุดท้ายก็อกหักอีกตามเคย พ่ายให้ Spurs 4-2 ซึ่งต่อมาได้แชมป์
2003-2004 มีการปรับเปลื่ยนผู้เล่นของทีมใหม่ แนสไม่ติดออลสตาร์ และทำแต้มเฉลี่ยน้อยลงจาก 17.7 แต้มต่อเกม ลดลงเหลือ 14.5 แต้ม แต่ทำแอสซิสต์สูงสุดในอาชีพ 8.8 ครั้งต่อเกม ในเพลย์ออฟ Mavs โดน Kings คู่รักคู่แค้นเอาคืน ในรอบสอง 4-1 เกม หลังจบฤดูกาลแนสกลายมาเป็นฟรีเอเจ้น เขาต้องการสัญญาระยะยาว มีการเจรจากัน ซึ่งเสี่ยมาร์คเจ้าของทีม ต้องการสร้างทีมโดยเอาป๋าเดิร์กที่อายุน้อยกว่าเป็นแกนหลัก และไม่ต้องการเสี่ยงกับสัญญาระยะยาวสำหรับผู้เล่นวัย 30 ที่ส่วนมากเลยจุดพีคไปแล้ว Mavs เสนอสัญญา 4 ปี ตกปีละ 9 ล้านเหรียญ ในทางกลับกัน Phoenix Suns เสนอ 6 ปี ตกปีละ 10.5 ล้านเหรียญ แนสแน่นอนอยากอยู่ Dallas ต่อ แต่สุดท้าย Cubin ไม่สู้ราคา หลังจบฤดูกาล แนสจำใจต้องจากป๋าเดิร์ก กลับไป Phoenix
2004-2005 เสี่ยมาร์คคิดผิด ส่วนแนสกลับมานับหนึ่งใหม่ที่ Phoenix ฤดูกาลก่อนที่แนสจะมาถึง Suns มีสถิติย่ำแย่สุดๆ 29–53 รองบ๊วยของสาย Phoenix Suns ยุคนั้นเป็นทีมหนุ่มที่สร้างทีมจากการดราฟเป็นหลัก ประกอบด้วย Shawn Marion (อันดับ 9), Joe Johnson (10) และ Amar'e Stoudemire (9) หลายคนยังอ่อนด้อยประสบการ์ณ เซียนบาสต่างคาดการ์ณไว้ว่าฤดูกาลนี้ Suns จะห่วยเหมือนเดิม แต่พอเอาเข้าจริงดันกลับตาลปัด เซียนหน้าแหกกันถ้วนหน้า โค้ช Mike D'Antoni เปลื่ยนสไตล์การเล่นของทีมใหม่หมด โดยเล่นแบบอัพเทมโป้ ใช้ไลน์อัพแบบสมอล์บอล เข้าทางแนสที่ถนัดสไตล์นี้อยู่แล้ว ไม่ต้องปรับตัวมาก ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อจากทีมบ๊วยเมื่อปีที่แล้ว กลับกลายมาเป็นทีมอันดับ 1 ของลีก สถิติ 62-20 มีเกมบุกมหาโหด ทำ 110.4 แต้มต่อเกม สูงสุดในลีก ส่วนตัวแนสเองมีผลงานเฉลี่ยดีขึ้นจากปีที่แล้ว 15.5 แต้ม 11.5 แอสซิสต์ 3.3 รีบาวด์ต่อเกม แต้มอาจดูไม่เยอะ แต่แอสซิสต์นี้สิ ถือว่าไม่ธรรมดา จ่ายใส่พานงามๆให้เพื่อนร่วมทีมเล่นง่ายๆ จากผลงานอันยอดเยี่ยม พาทีมชนะมากที่สุดแบบหักปากกาเซียน และคว้าตำแหน่ง MVP ประจำปี 2005 มาครอง เป็นพอยต์การ์ดคนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ที่ได้ตำแหน่งนี้ เป็นรองแค่ Magic กับ Isiah ทำเอาเสี่ยมาร์คถึงกับร้องเสียงหลง อีหยังว่ะ “ทำไมเขาเล่นให้เราไม่เหมือน MVP เลย” ช่วงเพลย์ออฟ รอบแรกถลุงยับ Grizzlies 4-0 รอบ 2 อัดยับ Mavs ทีมเก่าตัวเองอย่างสะใจ 4-2 ซี่รี่ย์นี้แนสระเบิดฟอร์มโหด ทำเฉลี่ย 30 แต้ม 12 แอสซิสต์ 6.5 รีบาวด์ต่อเกม ในเกม 4 ยังทำสูงสุดในอาชีพ 48 แต้ม ฟิลโกล์แม้นแม่น 20-28 (70%) ทะลุผ่านเข้าไปรอบชิงแชมป์สายเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ยุคของท่านเซอร์ แต่สุดท้ายพ่ายให้ Spurs ซึ่งต่อมาได้แชมป์
2005-2006 ปีที่ 2 ในเวอร์ชั่น Phoenix Suns หน่วยป้องกันห่วงของทีม Stoudemire เจ็บหนัก Joe Johnson กับ Quentin Richardson ถูกเทรด Suns ดูเหมือนอ่อนลง แต่แนสก็ไม่ทำให้แฟนๆผิดหวัง ทำแต้มเฉลี่ยเพิ่มขึ้น สูงที่สุดตลอดทั้งอาชีพ 18.8 แต้ม 10.5 แอสซิสต์ 4.2 รีบาวด์ พาทีมเข้าเพลย์ออฟ มีสถิติ 54–28 ปีนี้ Suns ยังเป็นทีมที่ทำแต้มต่อเกมสูงสุดเช่นเคย จากการจ่ายของแนส ส่งผลให้ผู้เล่นถึง 7 คนมีแต้มเฉลี่ยถึง 2 หลัก ตัวเองเก่งไม่พอทำให้เพื่อนร่วมทีมเก่งด้วย พอจบฤดูกาลแนสก็คว้า MVP เป็นสมัยที่ 2 ติด ช่วงเพลย์ออฟ สอยหมดทั้ง Lakers ทั้ง Clippers ผ่านเข้าไปชิงแชมป์สายกับคู่รักคู่แค้นเก่า Dallas Mavericks แต่ครั้งนี้ถูกสอยร่วง จอดแค่รอบชิงแชมป์สายอีกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
2006-2007 แนสในวัย 31 ยังคงพัฒนาต่อเนื่อง มีผลงานเฉลี่ย 18.6 แต้ม แอสซิสต์สูงสุดตลอดอาชีพ 11.6 แอสซิสต์ต่อเกม ทำให้เขาเป็นผู้เล่นคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ที่มีค่าเฉลี่ย 18 แต้ม 11 แอสซิสต์ต่อเกม ส่วนคนแรกที่ทำได้ ไม่ต้องบอกคงเดากันถูกว่าเป็นใคร Suns จบอันดับ 2 ของสาย เช่นเคยถูก Spurs สอยจอดรอบรองชนะเลิศ สำหรับ MVP ปีนี้คะแนนโหวตของแนสเป็นรองแค่ป๋าเดิร์ก
2007-2008 มีการเทรดผู้เล่นกลางฤดูกาล Shawn Marion เซกุดบายไป Miami แต่ได้ Shaquille O'Neal เจ้าของแหวน 4 วง มาเสริมแทน Suns จบอันดับ 6 ของสาย และถูกสอยในรอบแรกโดย Spurs เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปี หลังจบฤดูกาลนี้ Suns ได้ Grant Hill มาเสริมทัพ