จาก Page
https://www.facebook.com/seamhoon/posts/1644069109138948
ก่อนอื่นเลย โพสนี้จะพูดถึงเรื่อง Mind set วิธีคิด การมอง ทัศนคติต่างๆในการลงทุนและการใช้ชีวิต ว่าเราควรจะมองของพวกนี้ยังไง แบบไหนถึงจะเรียกว่ามี Mind set ที่ดีมีความสุขในชีวิตของผม(แต่อาจไม่ใช่ของคุณ)
ขอกล่าวย้อนไปถึง Background ของผมซักนิดเพื่อเพิ่มความกระจ่างใสให้ผู้อ่านทุกท่านได้เข้าใจถึงตัวตนและสิ่งที่ผมเคยได้รับหรือผ่านพ้นมา จะได้เข้าใจในสิ่งที่ผมเขียนต่อไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ผมเองเกิดมาในครอบครัวคนจีน ตระกูลค่อนข้างใหญ่ และญาติผู้ใหญ่ทุกท่านตั้งแต่ผมจำความได้ล้วนแล้วแต่ มีธุรกิจส่วนตัวของตัวเอง ทุกคน(ซึงก็ค่อนข้างมีฐานะกว่าบ้านผมทุกคน)
สมัยผมเด็กๆ บ้านผมเป็นโรงสีขนาดค่อนข้างใหญ่ ผมโตมาพร้อมกับตำแหน่งที่คนอื่นเรียกผมว่า ลูกเถ้าแก่
ด้วยความเป็นลูกชาย หลานชายคนโตที่สุดในตระกูล ตั้งแต่เด็กๆจึงมีแต่ความคาดหวังของทุกๆคนที่ต้องการให้ผมเป็น แบบอย่าง เป็นผู้นำ หรือเป็นอะไรก็ไม่ทราบได้ ตามอย่างที่คนอื่นคิด
ผมถูกสอนมาให้เสียสละให้คนที่อยู่ข้างหลังเสมอ
ม๊าผมดุมาก ! สมัยเด็กๆแม้ที่บ้านผมจะมีคนใช้ แต่ผมพูดได้เต็มปากว่าผมไม่เคยได้สบาย ม๊าผมสอนให้ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง
ตั้งแต่ ป.1 ต้องซักถุงเท้าเอง เก็บที่นอนทุกเช้า ทำความสะอาดห้องนอน- หัวเตียง ล้างจานที่กินเอง ปัดกวาดเช็ดถูทุกอย่าง ที่เราเป็นคนทำเลอะ
ทุกๆวันต้องทำภารกิจให้เสร็จก่อนเสมอถึงจะได้ไปเล่น
ม๊าเริ่มสอนให้รู้จักการออมเงิน โดยให้แข่งกันเก็บเงินกับน้องสาว
เอาค่าขนมให้ให้ไปโรงเรียน(ตอนนั้นได้ไปวันละ 10บาท) มาหยอดกระปุกทุกวัน
แล้วพอจบเทอม คนไหนชนะ ม๊าจะฝากธนาคารให้เบิ้ลเป็น 2 เท่า ทุกเทอม
ผมกับน้องสาวก็แข่งกัน ทุกเทอม ผมก็ชนะทุกเทอม (แต่ม๊าก็เบิ้ลให้ทั้งสองคนอยู่ดี โธ่ !)
พอขึ้น ป.4 ผมเริ่มท่องสูตรคูณ ม๊าเริ่มให้ผมช่วยทำบัญชี เริ่มให้ทำความเข้าใจเรื่องตัวเลข การบวกลบ การกำไร และการขาดทุน ว่ามันคืออะไร สอนเรื่องธุรกิจเท่าที่เด็กๆจะรับรู้ได้
การบ้านที่มีจากโรงเรียน ม๊าบอกว่าห้ามเหลือกลับมาทำที่บ้าน
ต้องทำที่โรงเรียนให้เสร็จ กลับมาบ้านถึงจะได้มีเวลาทำอย่างอื่น
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจเลยใน ขณะที่เพื่อนๆผมเล่นกันทั้งวัน แต่ผมต้องมานั่งทำอะไรอยู่เนี่ย แต่ถ้าไม่ทำกลับไปโดนฟาดชัวร์ แต่ผมก็อยากเล่นกับเพื่อนนี่หว่า ผมแก้ปัญหาด้วยการทำมันในชั่วโมงเรียนคาบต่อไป ตอนพักจะได้มีเวลาเล่น บอลลูนด่าน กับเพื่อนๆมั่ง
ม๊าผมไม่เคยถามหรือสนใจว่าลุกชายจะสอบได้ที่เท่าไหร่ แต่ที่ม๊าสนใจคือ
ผมรู้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ยิ่งเรื่องคณิตศาสตร์ม๊าผมเคี่ยวกว่าครูอีก แค่เรื่องสูตรคูณ คนอื่นท่องกันถึงแม่ 12 แต่ผมต้องท่องให้ม๊าฟังถึงแม่ 25 ทุกเช้าตอนม๊าขับรถไปส่งที่โรงเรียน
จุดพลิกผันในชีวิตผมเริ่มต้นที่ ป.4 ตอนนั้นเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี40
บ้านผมล้มละลาย โรงสีของป๊ากับม๊า รวมทั้งที่ดินของบ้านเรา ถูกยึด
ป๊าขึ้นศาลบ่อยมาก(แต่สมัยนั้นม๊าชอบโกหกผมว่าป๊าไปทำธุระบ้านเพื่อน)
ป๊ากับม๊าต้องหย่ากัน(แบบการเมือง) ดึงทรัพย์สินออกมาบางส่วน มาทำธุรกิจใหม่ แต่ป๊ากับม๊าก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย น้องสาวผมรับรู้แค่ป๊ากับม๊าบอกว่า อยู่ที่ตรงนี้มันดวงไม่ดี ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันดีกว่า
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมรู้ สิ่งที่ผมเห็นคือป๊ากับม๊าต้องกราบเท้าคนอื่นเพียงเพื่อให้เค้าผ่อนผันชำระหนี้ ป๊ากับม๊าต้องหลบหน้าเจ้าหนี้ที่ตามมาทวงหนี้แทบทุกวัน
มันเป็นอะไรที่แย่มากที่ต้องเห็นคนที่เรารักทำแบบนั้น
ในตอนมีก็มีแต่คนนับหน้าถือตา แต่พอเราไม่มี เราก็แค่หมาตัวนึง
ผมเริ่มรู้สึกได้ว่า ความเคารพจากคนอื่นๆ หรือลูกน้องที่มีให้ป๊ากับม๊า น้อยลง
เรื่องนี้ ผมเจอกับตัวเองตั้งแต่ผมเด็กๆ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนเราถึงเปลี่ยนกันง่ายดายเช่นนี้ คนที่เคยพูดจาดี วันนี้เค้าเปลี่ยนไป
เวลานั้นสอนให้ผมรู้จักคำว่า มิตรแท้ จริงๆ
ป๊าสอนผมเสมอว่า เพื่อนมีไม่ต้องเยอะ ในชีวิตเรามีเพื่อนดีๆซักคนเดียวป๊าก็ภูมิใจแล้ว
ผมภาวนาให้ทุกอย่างแย่ๆผ่านไป
แต่เด็กคนนึงจะทำอะไรได้ในตอนนั้น
ม๊าผมเองรู้ดีว่าผมรับรู้ฐานะการเงินในบ้าน(ก็แน่สิสอนเองกับมือนี่)
ม๊าพูดกับผมคำเดียว ผมยังจำมันฝังไปในสมองส่วน ที่ลึกที่สุดของผมได้เลยว่า
"ม๊าเหนือยม๊าหิวม๊าทนได้ แต่ถ้าหนูเป็นเด็กไม่ดี ม๊าทนไม่ได้"
หลังจากนั้นผมไม่บ่นอีกเลย
ผมไม่เคยบ่นอีกว่าทำไมผมต้องทำอะไรที่คนอื่นเค้าไม่ทำกัน
ไม่เคยคิดน้อยใจ ว่าทำไมผมอยากได้ของเล่นชิ้นนั้น ทำไมผมซื้อไม่ได้
ผมพยายามตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะมีปัญญาทำให้ป๊ากับม๊าได้
จน เปลี่ยนโรงเรียน ขึ้นม.1ผมเรียนโรงเรียนประจำ ตอนแรกๆนี่ร้องไห้ทุกวันคิดว่าม๊าไม่รักเราแล้ว(จริงจังนะ 555+) แต่ม๊าก็บอกว่าถ้าห่างม๊าแล้วตาย ก็รีบๆตายๆไปซะซักวันนึงม๊าก็ต้องตายอยู่ดี
แต่กว่าจะปรับตัว มีเพื่อนได้ ไม่ง่ายเลยสำหรับลุกคุณหนูที่เล่นกีฬาแทบไม่เป็นอย่างผม
ที่โรงเรียนประจำผมเรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับคนอื่น เรียนรู้วิธีพูด การวางตัวทำยังไงให้ไม่โดนต่อย ทำแบบไหนเรียกว่ากวนตีนหรือไม่กวนตีน รู้จักว่าเราควร treat คนแต่ละคนยังไง
ชีวิตเด็กประจำค่อนข้างเป็นระเบียบ มีตารางเวลาแน่นอน
แต่ในที่สุด ผมได้ ที่1 ของห้องในเทอมแรก
และเป็นครั้งแรก ที่ม๊าเอ่ยปากบอกว่า "เก่งนี่"
(แต่หลังจากนั้นถึงแม้จะเรียนดีแค่ไหนได้รางวัลอะไรมา ม๊าไม่เคยชมอีกเลย55+)
ในขณะที่ธุรกิจใหม่ของบ้านผมเป็นไปได้ด้วยดีหลังจากวิกฤติครั้งนั้น
เราทะยอยใช้หนี้(นอกระบบ) ไปเรื่อยๆ จนเราหมดหนี้ตอน ม.3
ช่วงเวลานั้นผมได้มีโอกาส ได้ไปเข้าร่วม ค่ายโอลิมปิกวิชาการ
ณ ความคิดในหัวตรงนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรเลย
นอกจากจะได้ไม่ต้องไปเรียนที่โรงเรียน 555+ (แต่ไปเรียนที่มหาลัยแทน)
ในการเรียนในค่ายโอลิมปิก ตอนแรกๆผมสนุกมาก มีคนที่น่าสนใจหลายคน
แล้วก็สนุกที่ได้อยู่ ได้ใช้ไอเดียร่วมกัน แต่หลังจากนั้นมันก็ผมเริ่มไม่สนุกแล้วล่ะ
พอได้เรียน จริงๆจัง ความเข้มข้นในการเรียนค่ายโอลิมปิกคือการ เอาเนื้อหาของนักศึกษาปริญญาตรีทั้งปี มาสอนให้เด็ก ม.4เข้าใจ ภายในระยะเวลา 2 เดือน
(ซึ่งตรงนี้ผมอยากจะบอกมากๆเลยว่า f*ck up เชี่ยๆนะฮะ ตอนนั้นผมเป็นเด็ก ม.4 ที่ยังไม่รู้จัก Differential equation หรือ ฟังก์ชัน Logarithm ใดๆ)
พอถึงจุดนึงผมเริ่มคิดแล้วว่าจริงๆแล้วที่ผมเรียนๆของพวกนี้ไปทำไม?
เราต้องเก่งไปขนาดนั้นเพื่ออะไรหรอ ? ม๊าจะภูมิใจขึ้นหรอ ?
ชีวิตเรามีความหมายเพิ่มขึ้นบ้างมั้ย ?
ถามว่าให้เรียน เรียนได้ แต่ผมไม่สนุกเลยว่ะ
หลังจากกลับมาจากค่ายนั้น ผมแทบเปลี่ยนไปเลย
ผมถามตัวเองมากขึ้นว่าผมต้องการอะไรในชีวิตการเรียนกันแน่
ผมอยากเรียนเก่งไปมากๆ หรือได้เกรดดีๆไป จริงรึเปล่า ?
มีคำถามมากมายในหัวว่าโตไปผมอยากอยู่ตรงไหน
แต่ผมก็ยังรักษาผลการเรียนไว้ในระดับที่ไม่ทำให้ใครมาว่าม๊าผมได้ ว่าลูกบ้านนี้เรียนไม่ดี
ผมเริ่มสนใจรายละเอียดรอบๆตัวมากขึ้น เล่นกีฬากับเพื่อนมากขึ้น เล่นดนตรีบ้าง
ใช้ชีวิตไร้สาระบ้าง ให้รายละเอียดกับชีวิตมากขึ้น แต่ยังไม่ได้ทันได้ทำอะไร
ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ในชีวืตผมอีกครั้ง
.....ป๊าผมเป็นมะเร็งปอด ระยะที่ 3
ทุกคนช็อคมาก หมอบอกป๊าอาจจะอยู่ได้แค่ 6 เดือน มันกระทันหันมากๆ
เหมือนสวรรค์แกล้ง ธุรกิจที่ทำก็เริ่มไม่ดีไปด้วย โดนโกงบ้าง กำไรน้อยลงบ้าง ในที่สุด จากกำไรเดือนละหกหลัก กลายเป็นกำไรเหลือเดือนละ 3หมื่นเท่านั้น
เราเริ่มเป็นหนี้อีกครั้ง ม๊ากู้เงินมารักษาป๊าหลายล้าน ค่าเทอมเด็กประจำผมก็ค่อนข้างแพงมาก ผมบอกม๊าว่าย้ายโรงเรียนได้นะ แต่ม๊าก็ไม่ทำแถมโดนด่ากลับมาอีกตังหาก ว่ามีหน้าที่เรียนก็เรียนไป
ผมเองรับรู้และรู้ดีเสมอว่าที่บ้านเราเป็นยังไง มันแทบไม่มีทางออกเลย
ไม่ต้องเรียนคณิตศาสตร์เก่งๆ ก็รับรู้ได้ว่า รายจ่ายที่มากกว่ารายได้ มันคืออะไร
ในที่สุด ม.5 ป๊าผมก็จากโลกนี้ไป (โดยที่ป๊าอยู่มาหลังจากที่รู้เกือบ 2 ปี)
ทุกอย่างแย่ลงสุดขีด ทางจิตใจ เหมือนเพื่อนคู่คิดในชีวิตม๊าของผมหายไป
ชีวิตผู้หญิงขยันๆคนนึงผมว่ามันไม่ควรจะต้องมาเจออะไรขนาดนี้
แต่ม๊ายังคงพูดคำเดิม หลังจากงานศพป๊า
"ม๊าเหนือยม๊าหิวม๊าทนได้ แต่ถ้าหนูเป็นเด็กไม่ดี ม๊าทนไม่ได้ อย่าทำให้ม๊าเสียใจ"
ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมก็ทำได้แค่เรียนให้ดี กับช่วยงานที่บ้านเท่าที่ช่วยได้เท่านั้น
ม๊าผมทำทุกอย่าง ที่มันมีผลตอบแทนกลับมา ตอนนั้นที่บ้านเรามีดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
(ไม่รวมเงินต้น) ราวๆ 5พันบาทต่อวัน หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล 28% ต่อปี
มันทำร้ายครอบครัวผมไม่หยุดยั้ง
ผมไม่เข้าใจว่าม๊าทำได้ยังไง แต่เราก็ยังคงใช้ชีวิตกันแบบเดิม
เราใช้จ่ายกันเท่าเดิม(เพราะครอบครัวเราไม่ได้ฟุ่ยเฟือยอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว)
ผมไม่เคยได้เห็นความท้อแท้หรือน้ำตาจากผู้หญิงคนนี้เลย นอกจากที่งานศพป๊า
จนในที่สุดผมจบ ม.6
ผมสอบได้คณะวิศวะ ในมหาวิทยาลัยที่เค้าว่าดีที่สุดในประเทศนี้
แต่สำหรับผมมันไม่มีค่าอะไรเลย
เมื่อม๊าพูดกับผมเป็นครั้งแรก ว่าม๊าเหนื่อย ม๊าทำคนเดียวไม่ไหว
ม๊าไม่อยากให้ผมไปไกลๆบ้าน ไม่มีคนช่วยม๊า
แทบไม่ต้องคิด ผมไม่คิดจะไปเรียนมหาลัยดังๆนั่นทันที
ผมเรียนใกล้บ้านก็ได้ ผมไม่แคร์เลย
พอผมเข้ามหาลัยใกล้บ้าน ตลอดเวลาผมรู้ตัวดี ว่าผมมาที่นี่เพื่ออะไร
ต้องการอะไร และจะทำอะไรต่อไป
ถึงผมเรียนคณะวิศวะสาขานึง
แต่มันไม่ได้หมายความ ผมจะรู้เรื่องในศาสตร์ หรือความรู้อื่นๆไม่ได้นี่?
มันขึ้นอยู่กับตัวผมคนเดียวเลยจริงๆ ว่าผมอยากจะรู้อะไร
ผมทำอะไรหลายๆอย่าง ชีวิตมหาลัยเป็นชีวิตที่มีอิสระ และมีเวลาว่างมากที่สุดในชีวิตผม
ปี1 ผมแทบไม่เรียน (ฟังดูอาจเหมือนขี้โกง แต่ผมก็เรียนในค่ายมาหมดแล้วนี่)
ผมมองหาความรู้และประสบการณ์ที่จำเป็นในการใช้ชีวิตในอนาคต
ช่วงชีวิตตอนนั้น ผมเจออะไรมากมาย
ผมเริ่มเล่นหุ้นจริงจัง หลังจากศึกษามาตั้งแต่อยู่ม.ปลาย โดยเริ่มจากเงินที่ม๊าฝากให้เบิ้ลไปเรื่อยๆตั้งแต่เด็กๆ นั่นแหละ(ตอนนั้นก็มีอยู่หลายแสนแล้ว)
ม๊าพูดว่านั่นคือเงินของผม ผมจะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าทำให้ม๊าเสียใจ
(โคตรกดดันเลยตอนนั้น) ผมเองก็เริ่มจาก กากๆ
สมัยนั้นแทบไม่มีหนังสือภาษาไทยให้อ่านแบบทุกวันนี้
แต่ทุกอย่างหาได้ใน Google(แต่เป็นภาษาอังกฤษง่ะ)
ผมไม่เพื่อนซักคนเดียวที่เล่นหุ้น ไม่มีคนคอยสอน คอยแนะนำซักครั้งในการตัดสินใจ
ยิ่งถ้าไปถามม๊า นี่บ้านแตกชัวร์ ยิ่งไม่อยากให้ม๊าห่วงด้วย เลยแอบเล่นตลอดมา 555
แต่ผมคิดว่ามันดีแล้วที่เป็นแบบนั้น เพราะผมได้เรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
ประสบการณ์ที่ได้รับในการลงทุนมันคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป
โดยที่ตอนนั้น ธุรกิจส่วนตัวที่บ้านดีขึ้น
จนในที่สุดเราหมดหนี้กันอีกครั้งตอน ผมปี 3
เหมือนเราเกิดใหม่กันเป็นครั้งที่ 2
หลังจากนั้นมาฐานะทางการเงินที่บ้านเราดีขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากจบ ปี 4 ผมเองรู้ตัวดีว่าผมต้องทำอะไรต่อไป
ใบปริญญาที่ได้มาไม่มีค่าอะไรกับผมนอกจากทำให้ม๊ารู้เท่านั้น ว่าผมไม่ได้เหลวไหล
และทำให้เค้าภูมิใจว่า ผมโตขึ้นมาไม่เกเร เค้าคนเดียวก็ส่งผมเรียนจบ อย่างสมบูรณ์แบบได้
---ต่อด้านล่างนะครับ ตัวอักษรเกิน
เรื่องเล่าจากลูกคนล้มละลาย
ก่อนอื่นเลย โพสนี้จะพูดถึงเรื่อง Mind set วิธีคิด การมอง ทัศนคติต่างๆในการลงทุนและการใช้ชีวิต ว่าเราควรจะมองของพวกนี้ยังไง แบบไหนถึงจะเรียกว่ามี Mind set ที่ดีมีความสุขในชีวิตของผม(แต่อาจไม่ใช่ของคุณ)
ขอกล่าวย้อนไปถึง Background ของผมซักนิดเพื่อเพิ่มความกระจ่างใสให้ผู้อ่านทุกท่านได้เข้าใจถึงตัวตนและสิ่งที่ผมเคยได้รับหรือผ่านพ้นมา จะได้เข้าใจในสิ่งที่ผมเขียนต่อไปได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ผมเองเกิดมาในครอบครัวคนจีน ตระกูลค่อนข้างใหญ่ และญาติผู้ใหญ่ทุกท่านตั้งแต่ผมจำความได้ล้วนแล้วแต่ มีธุรกิจส่วนตัวของตัวเอง ทุกคน(ซึงก็ค่อนข้างมีฐานะกว่าบ้านผมทุกคน)
สมัยผมเด็กๆ บ้านผมเป็นโรงสีขนาดค่อนข้างใหญ่ ผมโตมาพร้อมกับตำแหน่งที่คนอื่นเรียกผมว่า ลูกเถ้าแก่
ด้วยความเป็นลูกชาย หลานชายคนโตที่สุดในตระกูล ตั้งแต่เด็กๆจึงมีแต่ความคาดหวังของทุกๆคนที่ต้องการให้ผมเป็น แบบอย่าง เป็นผู้นำ หรือเป็นอะไรก็ไม่ทราบได้ ตามอย่างที่คนอื่นคิด
ผมถูกสอนมาให้เสียสละให้คนที่อยู่ข้างหลังเสมอ
ม๊าผมดุมาก ! สมัยเด็กๆแม้ที่บ้านผมจะมีคนใช้ แต่ผมพูดได้เต็มปากว่าผมไม่เคยได้สบาย ม๊าผมสอนให้ทุกคนต้องรับผิดชอบตัวเอง
ตั้งแต่ ป.1 ต้องซักถุงเท้าเอง เก็บที่นอนทุกเช้า ทำความสะอาดห้องนอน- หัวเตียง ล้างจานที่กินเอง ปัดกวาดเช็ดถูทุกอย่าง ที่เราเป็นคนทำเลอะ
ทุกๆวันต้องทำภารกิจให้เสร็จก่อนเสมอถึงจะได้ไปเล่น
ม๊าเริ่มสอนให้รู้จักการออมเงิน โดยให้แข่งกันเก็บเงินกับน้องสาว
เอาค่าขนมให้ให้ไปโรงเรียน(ตอนนั้นได้ไปวันละ 10บาท) มาหยอดกระปุกทุกวัน
แล้วพอจบเทอม คนไหนชนะ ม๊าจะฝากธนาคารให้เบิ้ลเป็น 2 เท่า ทุกเทอม
ผมกับน้องสาวก็แข่งกัน ทุกเทอม ผมก็ชนะทุกเทอม (แต่ม๊าก็เบิ้ลให้ทั้งสองคนอยู่ดี โธ่ !)
พอขึ้น ป.4 ผมเริ่มท่องสูตรคูณ ม๊าเริ่มให้ผมช่วยทำบัญชี เริ่มให้ทำความเข้าใจเรื่องตัวเลข การบวกลบ การกำไร และการขาดทุน ว่ามันคืออะไร สอนเรื่องธุรกิจเท่าที่เด็กๆจะรับรู้ได้
การบ้านที่มีจากโรงเรียน ม๊าบอกว่าห้ามเหลือกลับมาทำที่บ้าน
ต้องทำที่โรงเรียนให้เสร็จ กลับมาบ้านถึงจะได้มีเวลาทำอย่างอื่น
ตอนนั้นผมไม่เข้าใจเลยใน ขณะที่เพื่อนๆผมเล่นกันทั้งวัน แต่ผมต้องมานั่งทำอะไรอยู่เนี่ย แต่ถ้าไม่ทำกลับไปโดนฟาดชัวร์ แต่ผมก็อยากเล่นกับเพื่อนนี่หว่า ผมแก้ปัญหาด้วยการทำมันในชั่วโมงเรียนคาบต่อไป ตอนพักจะได้มีเวลาเล่น บอลลูนด่าน กับเพื่อนๆมั่ง
ม๊าผมไม่เคยถามหรือสนใจว่าลุกชายจะสอบได้ที่เท่าไหร่ แต่ที่ม๊าสนใจคือ
ผมรู้อะไรเพิ่มขึ้นบ้าง ยิ่งเรื่องคณิตศาสตร์ม๊าผมเคี่ยวกว่าครูอีก แค่เรื่องสูตรคูณ คนอื่นท่องกันถึงแม่ 12 แต่ผมต้องท่องให้ม๊าฟังถึงแม่ 25 ทุกเช้าตอนม๊าขับรถไปส่งที่โรงเรียน
จุดพลิกผันในชีวิตผมเริ่มต้นที่ ป.4 ตอนนั้นเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ปี40
บ้านผมล้มละลาย โรงสีของป๊ากับม๊า รวมทั้งที่ดินของบ้านเรา ถูกยึด
ป๊าขึ้นศาลบ่อยมาก(แต่สมัยนั้นม๊าชอบโกหกผมว่าป๊าไปทำธุระบ้านเพื่อน)
ป๊ากับม๊าต้องหย่ากัน(แบบการเมือง) ดึงทรัพย์สินออกมาบางส่วน มาทำธุรกิจใหม่ แต่ป๊ากับม๊าก็ไม่เคยพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย น้องสาวผมรับรู้แค่ป๊ากับม๊าบอกว่า อยู่ที่ตรงนี้มันดวงไม่ดี ย้ายไปอยู่ที่อื่นกันดีกว่า
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมรู้ สิ่งที่ผมเห็นคือป๊ากับม๊าต้องกราบเท้าคนอื่นเพียงเพื่อให้เค้าผ่อนผันชำระหนี้ ป๊ากับม๊าต้องหลบหน้าเจ้าหนี้ที่ตามมาทวงหนี้แทบทุกวัน
มันเป็นอะไรที่แย่มากที่ต้องเห็นคนที่เรารักทำแบบนั้น
ในตอนมีก็มีแต่คนนับหน้าถือตา แต่พอเราไม่มี เราก็แค่หมาตัวนึง
ผมเริ่มรู้สึกได้ว่า ความเคารพจากคนอื่นๆ หรือลูกน้องที่มีให้ป๊ากับม๊า น้อยลง
เรื่องนี้ ผมเจอกับตัวเองตั้งแต่ผมเด็กๆ ตอนนั้นผมไม่เข้าใจเลยว่าทำไมคนเราถึงเปลี่ยนกันง่ายดายเช่นนี้ คนที่เคยพูดจาดี วันนี้เค้าเปลี่ยนไป
เวลานั้นสอนให้ผมรู้จักคำว่า มิตรแท้ จริงๆ
ป๊าสอนผมเสมอว่า เพื่อนมีไม่ต้องเยอะ ในชีวิตเรามีเพื่อนดีๆซักคนเดียวป๊าก็ภูมิใจแล้ว
ผมภาวนาให้ทุกอย่างแย่ๆผ่านไป
แต่เด็กคนนึงจะทำอะไรได้ในตอนนั้น
ม๊าผมเองรู้ดีว่าผมรับรู้ฐานะการเงินในบ้าน(ก็แน่สิสอนเองกับมือนี่)
ม๊าพูดกับผมคำเดียว ผมยังจำมันฝังไปในสมองส่วน ที่ลึกที่สุดของผมได้เลยว่า
"ม๊าเหนือยม๊าหิวม๊าทนได้ แต่ถ้าหนูเป็นเด็กไม่ดี ม๊าทนไม่ได้"
หลังจากนั้นผมไม่บ่นอีกเลย
ผมไม่เคยบ่นอีกว่าทำไมผมต้องทำอะไรที่คนอื่นเค้าไม่ทำกัน
ไม่เคยคิดน้อยใจ ว่าทำไมผมอยากได้ของเล่นชิ้นนั้น ทำไมผมซื้อไม่ได้
ผมพยายามตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด เพราะนั่นเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะมีปัญญาทำให้ป๊ากับม๊าได้
จน เปลี่ยนโรงเรียน ขึ้นม.1ผมเรียนโรงเรียนประจำ ตอนแรกๆนี่ร้องไห้ทุกวันคิดว่าม๊าไม่รักเราแล้ว(จริงจังนะ 555+) แต่ม๊าก็บอกว่าถ้าห่างม๊าแล้วตาย ก็รีบๆตายๆไปซะซักวันนึงม๊าก็ต้องตายอยู่ดี
แต่กว่าจะปรับตัว มีเพื่อนได้ ไม่ง่ายเลยสำหรับลุกคุณหนูที่เล่นกีฬาแทบไม่เป็นอย่างผม
ที่โรงเรียนประจำผมเรียนรู้วิธีอยู่ร่วมกับคนอื่น เรียนรู้วิธีพูด การวางตัวทำยังไงให้ไม่โดนต่อย ทำแบบไหนเรียกว่ากวนตีนหรือไม่กวนตีน รู้จักว่าเราควร treat คนแต่ละคนยังไง
ชีวิตเด็กประจำค่อนข้างเป็นระเบียบ มีตารางเวลาแน่นอน
แต่ในที่สุด ผมได้ ที่1 ของห้องในเทอมแรก
และเป็นครั้งแรก ที่ม๊าเอ่ยปากบอกว่า "เก่งนี่"
(แต่หลังจากนั้นถึงแม้จะเรียนดีแค่ไหนได้รางวัลอะไรมา ม๊าไม่เคยชมอีกเลย55+)
ในขณะที่ธุรกิจใหม่ของบ้านผมเป็นไปได้ด้วยดีหลังจากวิกฤติครั้งนั้น
เราทะยอยใช้หนี้(นอกระบบ) ไปเรื่อยๆ จนเราหมดหนี้ตอน ม.3
ช่วงเวลานั้นผมได้มีโอกาส ได้ไปเข้าร่วม ค่ายโอลิมปิกวิชาการ
ณ ความคิดในหัวตรงนั้น ผมไม่ได้คิดอะไรเลย
นอกจากจะได้ไม่ต้องไปเรียนที่โรงเรียน 555+ (แต่ไปเรียนที่มหาลัยแทน)
ในการเรียนในค่ายโอลิมปิก ตอนแรกๆผมสนุกมาก มีคนที่น่าสนใจหลายคน
แล้วก็สนุกที่ได้อยู่ ได้ใช้ไอเดียร่วมกัน แต่หลังจากนั้นมันก็ผมเริ่มไม่สนุกแล้วล่ะ
พอได้เรียน จริงๆจัง ความเข้มข้นในการเรียนค่ายโอลิมปิกคือการ เอาเนื้อหาของนักศึกษาปริญญาตรีทั้งปี มาสอนให้เด็ก ม.4เข้าใจ ภายในระยะเวลา 2 เดือน
(ซึ่งตรงนี้ผมอยากจะบอกมากๆเลยว่า f*ck up เชี่ยๆนะฮะ ตอนนั้นผมเป็นเด็ก ม.4 ที่ยังไม่รู้จัก Differential equation หรือ ฟังก์ชัน Logarithm ใดๆ)
พอถึงจุดนึงผมเริ่มคิดแล้วว่าจริงๆแล้วที่ผมเรียนๆของพวกนี้ไปทำไม?
เราต้องเก่งไปขนาดนั้นเพื่ออะไรหรอ ? ม๊าจะภูมิใจขึ้นหรอ ?
ชีวิตเรามีความหมายเพิ่มขึ้นบ้างมั้ย ?
ถามว่าให้เรียน เรียนได้ แต่ผมไม่สนุกเลยว่ะ
หลังจากกลับมาจากค่ายนั้น ผมแทบเปลี่ยนไปเลย
ผมถามตัวเองมากขึ้นว่าผมต้องการอะไรในชีวิตการเรียนกันแน่
ผมอยากเรียนเก่งไปมากๆ หรือได้เกรดดีๆไป จริงรึเปล่า ?
มีคำถามมากมายในหัวว่าโตไปผมอยากอยู่ตรงไหน
แต่ผมก็ยังรักษาผลการเรียนไว้ในระดับที่ไม่ทำให้ใครมาว่าม๊าผมได้ ว่าลูกบ้านนี้เรียนไม่ดี
ผมเริ่มสนใจรายละเอียดรอบๆตัวมากขึ้น เล่นกีฬากับเพื่อนมากขึ้น เล่นดนตรีบ้าง
ใช้ชีวิตไร้สาระบ้าง ให้รายละเอียดกับชีวิตมากขึ้น แต่ยังไม่ได้ทันได้ทำอะไร
ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ในชีวืตผมอีกครั้ง
.....ป๊าผมเป็นมะเร็งปอด ระยะที่ 3
ทุกคนช็อคมาก หมอบอกป๊าอาจจะอยู่ได้แค่ 6 เดือน มันกระทันหันมากๆ
เหมือนสวรรค์แกล้ง ธุรกิจที่ทำก็เริ่มไม่ดีไปด้วย โดนโกงบ้าง กำไรน้อยลงบ้าง ในที่สุด จากกำไรเดือนละหกหลัก กลายเป็นกำไรเหลือเดือนละ 3หมื่นเท่านั้น
เราเริ่มเป็นหนี้อีกครั้ง ม๊ากู้เงินมารักษาป๊าหลายล้าน ค่าเทอมเด็กประจำผมก็ค่อนข้างแพงมาก ผมบอกม๊าว่าย้ายโรงเรียนได้นะ แต่ม๊าก็ไม่ทำแถมโดนด่ากลับมาอีกตังหาก ว่ามีหน้าที่เรียนก็เรียนไป
ผมเองรับรู้และรู้ดีเสมอว่าที่บ้านเราเป็นยังไง มันแทบไม่มีทางออกเลย
ไม่ต้องเรียนคณิตศาสตร์เก่งๆ ก็รับรู้ได้ว่า รายจ่ายที่มากกว่ารายได้ มันคืออะไร
ในที่สุด ม.5 ป๊าผมก็จากโลกนี้ไป (โดยที่ป๊าอยู่มาหลังจากที่รู้เกือบ 2 ปี)
ทุกอย่างแย่ลงสุดขีด ทางจิตใจ เหมือนเพื่อนคู่คิดในชีวิตม๊าของผมหายไป
ชีวิตผู้หญิงขยันๆคนนึงผมว่ามันไม่ควรจะต้องมาเจออะไรขนาดนี้
แต่ม๊ายังคงพูดคำเดิม หลังจากงานศพป๊า
"ม๊าเหนือยม๊าหิวม๊าทนได้ แต่ถ้าหนูเป็นเด็กไม่ดี ม๊าทนไม่ได้ อย่าทำให้ม๊าเสียใจ"
ผมทำอะไรไม่ได้เลย ผมก็ทำได้แค่เรียนให้ดี กับช่วยงานที่บ้านเท่าที่ช่วยได้เท่านั้น
ม๊าผมทำทุกอย่าง ที่มันมีผลตอบแทนกลับมา ตอนนั้นที่บ้านเรามีดอกเบี้ยที่ต้องจ่าย
(ไม่รวมเงินต้น) ราวๆ 5พันบาทต่อวัน หนี้สินเชื่อส่วนบุคคล 28% ต่อปี
มันทำร้ายครอบครัวผมไม่หยุดยั้ง
ผมไม่เข้าใจว่าม๊าทำได้ยังไง แต่เราก็ยังคงใช้ชีวิตกันแบบเดิม
เราใช้จ่ายกันเท่าเดิม(เพราะครอบครัวเราไม่ได้ฟุ่ยเฟือยอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้ว)
ผมไม่เคยได้เห็นความท้อแท้หรือน้ำตาจากผู้หญิงคนนี้เลย นอกจากที่งานศพป๊า
จนในที่สุดผมจบ ม.6
ผมสอบได้คณะวิศวะ ในมหาวิทยาลัยที่เค้าว่าดีที่สุดในประเทศนี้
แต่สำหรับผมมันไม่มีค่าอะไรเลย
เมื่อม๊าพูดกับผมเป็นครั้งแรก ว่าม๊าเหนื่อย ม๊าทำคนเดียวไม่ไหว
ม๊าไม่อยากให้ผมไปไกลๆบ้าน ไม่มีคนช่วยม๊า
แทบไม่ต้องคิด ผมไม่คิดจะไปเรียนมหาลัยดังๆนั่นทันที
ผมเรียนใกล้บ้านก็ได้ ผมไม่แคร์เลย
พอผมเข้ามหาลัยใกล้บ้าน ตลอดเวลาผมรู้ตัวดี ว่าผมมาที่นี่เพื่ออะไร
ต้องการอะไร และจะทำอะไรต่อไป
ถึงผมเรียนคณะวิศวะสาขานึง
แต่มันไม่ได้หมายความ ผมจะรู้เรื่องในศาสตร์ หรือความรู้อื่นๆไม่ได้นี่?
มันขึ้นอยู่กับตัวผมคนเดียวเลยจริงๆ ว่าผมอยากจะรู้อะไร
ผมทำอะไรหลายๆอย่าง ชีวิตมหาลัยเป็นชีวิตที่มีอิสระ และมีเวลาว่างมากที่สุดในชีวิตผม
ปี1 ผมแทบไม่เรียน (ฟังดูอาจเหมือนขี้โกง แต่ผมก็เรียนในค่ายมาหมดแล้วนี่)
ผมมองหาความรู้และประสบการณ์ที่จำเป็นในการใช้ชีวิตในอนาคต
ช่วงชีวิตตอนนั้น ผมเจออะไรมากมาย
ผมเริ่มเล่นหุ้นจริงจัง หลังจากศึกษามาตั้งแต่อยู่ม.ปลาย โดยเริ่มจากเงินที่ม๊าฝากให้เบิ้ลไปเรื่อยๆตั้งแต่เด็กๆ นั่นแหละ(ตอนนั้นก็มีอยู่หลายแสนแล้ว)
ม๊าพูดว่านั่นคือเงินของผม ผมจะทำอะไรก็ได้ แต่อย่าทำให้ม๊าเสียใจ
(โคตรกดดันเลยตอนนั้น) ผมเองก็เริ่มจาก กากๆ
สมัยนั้นแทบไม่มีหนังสือภาษาไทยให้อ่านแบบทุกวันนี้
แต่ทุกอย่างหาได้ใน Google(แต่เป็นภาษาอังกฤษง่ะ)
ผมไม่เพื่อนซักคนเดียวที่เล่นหุ้น ไม่มีคนคอยสอน คอยแนะนำซักครั้งในการตัดสินใจ
ยิ่งถ้าไปถามม๊า นี่บ้านแตกชัวร์ ยิ่งไม่อยากให้ม๊าห่วงด้วย เลยแอบเล่นตลอดมา 555
แต่ผมคิดว่ามันดีแล้วที่เป็นแบบนั้น เพราะผมได้เรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างแท้จริง
ประสบการณ์ที่ได้รับในการลงทุนมันคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไป
โดยที่ตอนนั้น ธุรกิจส่วนตัวที่บ้านดีขึ้น
จนในที่สุดเราหมดหนี้กันอีกครั้งตอน ผมปี 3
เหมือนเราเกิดใหม่กันเป็นครั้งที่ 2
หลังจากนั้นมาฐานะทางการเงินที่บ้านเราดีขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากจบ ปี 4 ผมเองรู้ตัวดีว่าผมต้องทำอะไรต่อไป
ใบปริญญาที่ได้มาไม่มีค่าอะไรกับผมนอกจากทำให้ม๊ารู้เท่านั้น ว่าผมไม่ได้เหลวไหล
และทำให้เค้าภูมิใจว่า ผมโตขึ้นมาไม่เกเร เค้าคนเดียวก็ส่งผมเรียนจบ อย่างสมบูรณ์แบบได้
---ต่อด้านล่างนะครับ ตัวอักษรเกิน