ถ้าเมลเบิร์นเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกหลายปีติดกัน
หนึ่งในปัจจัยเหล่านั้นคงไม่ได้มาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และค่าครองชีพที่แพงหูฉี่เป็นแน่
....
ออสเตรเลียมีหลายเมืองทำไม ถึงเลือกไปเมลเบิร์น?
เป็นคำถามสุดท้ายที่เจ้านายเคยถามไว้ ก่อนยื่นใบลาออก
เราเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้..
จำได้ว่าเป็นเพราะอ่านรีวิวจากหลายสำนัก ว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ ผู้คนเป็นมิตร
มีสถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่องสวยงาม และเป็นเมืองที่มีนักเรียนอยู่มากที่สุดเมืองหนึ่งของออสเตรเลีย
(เมลเบิร์นมี นักเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ประมาณ 270,000 คน และมากกว่า 1 ใน 3 หรือประมาณ 91,000 คน เป็นนักเรียนต่างชาติ)
เดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย แถมค่าครองชีพก็ยังถูกกว่าถ้าเทียบกับเมืองใหญ่อย่างซิดนีย์
… ซึ่งก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของเราในตอนนั้น
มาถึงเมลเบิร์นวันแรก ยังจำคำโปรยในหนังสือรีวิวพวกนั้นได้เป็นอย่างดี
ในหัวยังมีภาพของเมลเบิร์นพร้อมประติมากรรมสวยๆ ตัดเข้ามาถี่ๆ
มันบิ้วอารมณ์ให้อยากรู้จักเมลเบิร์นเป็นที่สุด ว่าเธอจะสวยงามเหมือนคำโปรย และน่าอยู่ซักแค่ไหน
ถึงหน้าโรงแรมก้าวลง Skybus ปุ๊บ วางกระเป๋าไว้ในห้องพักเสร็จ
ก็พร้อมจะกระโจนตัวออกมาเช็คอินพร้อมเป็นเด็กนักเรียนเมลเบิร์นให้ได้ซะเดี๋ยวนั้น
First Impression ของเมลเบิร์นไม่ทำให้เราผิดหวัง
ก้าวแรกที่เดินออกมาจากโรงแรม จะเห็นว่าเมลเบิร์นมีตึกสูงบ้าง
พอให้มองเห็นท้องฟ้าโปร่งๆ แต่ก็ไม่สูงเสียดฟ้าหนาแน่นเหมือนกรุงเทพฯบ้านเรา
เดินไปเรื่อยๆจะเห็นถนนหนทาง โบสต์คริสต์ อาคารต่างๆ มีรูปทรง ดีไซน์ กลิ่นอายแบบอังกฤษ
สลับกับตึกแบบใหม่ๆ ผสมผสานกันไป มีรูปปั้นเก๋ๆ ตามมุมต่างๆของเมือง ที่บางทีก็ดูไม่มีเหตุผล
แต่กลับทำให้ทัศนียภาพโดยรวมสวยงาม ดูมีเสน่ห์ สมกับคำชื่นชมว่าเป็นเมืองศิลปะ ตามที่พวกรีวิวเคยให้ไว้
ส่วนผู้คนที่เดินขวักไขว่กันอยู่ตามท้องถนนที่นี่ก็ไม่ค่อยจะเหมือนเดินอยู่ในเมืองฝรั่งซักเท่าไหร่
เราจะเห็นฝรั่งออสซี่ส่วนหนึ่ง พร้อมกับเอเชียหัวดำ จีนบ้าง อินเดียบ้าง ปะปนกันไปตลอดทาง
(ถ้าจินตนาการเมลเบิร์นเป็นหญิงสาว จะพบว่าเมลเบิร์น เป็นสาวยุโรปผมทอง นัยน์ตาฟ้า
แต่พูดสำเนียงเอเชียชัดแจ๋ว ลูกครึ่งอะไรประมาณนั้น)
เดินมาซักพักเริ่มหิวน้ำ เห็นป้าย 7eleven รีบเดินปรี่เข้าไป
(ตามสัญชาตญาณคนไทย เห็นสัญลักษณ์นี้ที่ไหน แสดงว่าไม่อดตายสินะ ฮ่า ฮ่า)
พอเห็นราคาน้ำเปล่าที่นี่เท่านั้นแหละ…วิ่งออกมาแทบไม่ทัน น้ำเปล่าที่นี่แพงมากก
ขวดเล็กๆขวดนึง $3.5 เหรียญ เป็นเงินไทย ก็ประมาณ 80-90 บาท
(ตอนที่มาใหม่ๆ ทุกอย่างคูณเป็นเงินไทยหมดค่ะ ปี 2012 ค่าเงินไทยประมาณ 32-33 บาทต่อ AUD ด้วยนะคะ แพงชะมัด)
แต่ก็ต้องอดทนเดินเข้าไปซื้อใหม่
หยิบน้ำมาวางที่เคาท์เตอร์อย่างจำใจ หลังจากที่คิดได้ว่าราคาที่อื่นก็คงประมาณนี้
(คนขายคง งง อ่ะค่ะ ว่า มันจะเข้าๆออกๆทำไมฟระ!!)
เรา: “Can I have this one please?” (เอาอันนี้ค่ะ)
คนขาย: "Sure. Anything else?" (แน่นอนครับ รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ?)
เรา: “No, thank you.” (ไม่เป็นไรค่ะ ยังไม่หิว แค่ราคาน้ำก็ซื้ออะไรไม่ค่อยลงแล้วค่ะ TT)
จ่ายตังค์ แล้วเดินออกมาจาก 7eleven ในใจคิดว่า..
ถ้าเมลเบิร์นเป็นหญิงสาวจริงๆ ชัดเจนว่าเราคงรู้จักอีกด้านของเธอแล้วสินะ หึหึ
ภาระกิจของวันที่สองคือการออกไปดูบ้านค่ะ บ้านเช่าที่เราดู ราคาไม่แพงมาก และมักจะอยู่รอบๆ เมือง
คราวนี้แหละ… เราจะได้รู้จักเมลเบิร์นแบบมุมกว้างบ้างแล้ว
เมลเบิร์นขึ้นชื่อเรื่องการเดินทางสะดวกสบาย มีตัวเลือกให้เลือกมากมายทั้ง รถไฟ รถบัส และรถรางหรือรถแทรม
เค้าว่ามีรถแทรมฟรีด้วยนะ (และแน่นอนเราต้องเลือกรถแทรมฟรีอยู่แล้ว แล้วค่อยไปต่อรถไฟอีกทีนึง)
(พนักงานโรงแรมให้คำแนะนำมาอย่างดีบอกรถแทรมสีขาวคือ Yarra Tram เก็บค่าบริการ
ส่วนสีน้ำตาลรูปร่างคลาสสิค คือ City Circle Tram วิ่งวนเป็นสี่เหลี่ยมรอบเมือง เปิดให้บริการฟรีสำหรับนักท่องเที่ยว)
เดินทางจากโรงแรมมาไม่ไกลเราจะเจอป้ายรถแทรม ซึ่งโดยส่วนมากรางและป้ายรถแทรมจะตั้งอยู่กลางถนน
สองข้างทางเป็นเลนส์รถยนต์ซ้ายขวา เวลารอรถแทรมก็ข้ามไปตรงกลางถนนนั่นแหละ
พื้นที่มีจำกัด ราวกับเครื่องบินชั้นประหยัด พอดีสำหรับยืนรอเป็นเส้นตรง จะเดินสวนกันยังลำบาก
(ป้ายไหนใหญ่หน่อย ที่ยืนรอก็จะยกระดับขึ้นมา และที่มีนั่งให้ด้วยนะ เสมือนป้ายแทรมระดับ Business Class)
สำหรับคนไทยอย่างเราคงรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมายืนรอรถแทรมอย่างโดดเดี่ยวอยู่ตรงกลางถนน
ซึ่งป้ายที่รออยู่ตอนนั้น คือป้ายระดับ economy class
10 นาทีผ่านไป… Yarra Tram ผ่านไปหลายคัน
แต่แทรมฟรียังไม่มา…นึกในใจว่า อ่อ มันวิ่งวน นานๆคงมาซักคันนึงสินะ
20 นาทีผ่านไป…. Yarra Tram ผ่านไปอีกหลายคัน
แทรมฟรีก็ยังไม่เห็นวี่แวว…ยังคงมั่นใจว่า เดี๋ยวมันต้องมา ของฟรีมันไม่ได้ ได้มาง่ายๆ นะ!!
30 นาทีผ่านไป…
ตัดภาพกลับมาเป็นเอเชียหัวดำแบกเป้ สะพายกล้อง ถือสมุดท่องเที่ยวออสเตรเลียเล่มเขียว
พร้อมแผนที่ ยืนรออยู่ที่เดิม…เมลเบิร์นเธอเริ่มไม่น่ารักแล้วนะ !
“Are you alright? Where are you going?” ฝรั่งผู้หญิง วัยประมาณ 30 ท่าทางใจดี เดินเข้ามาถาม คาดว่าน่าจะเห็นเหตุการณ์อยู่นานแล้ว
“Yes, I am but I am waiting for a city circle tram.” ตอบพร้อมชี้ภาพรถแทรมในหนังสือประกอบ กลัวเค้าไม่เข้าใจ
“Hahaha. Today is Australia Day the tram is not running.” นางหัวเราะเสียงดังลั่น
“…...................” (ขอขอบพระคุณ หนังสือท่องเที่ยวเล่มเขียว และพนักงานโรงแรมที่แนะนำ)
“Come with me. I am going to meet my friend at Flinders street station and you can take the train there” เชิญชวนพร้อมรอยยิ้ม กว้างๆ
“Ohh..Thank you”
(เฮ้ยยย..ประทับใจ นางเป็นออสซี่ที่น่ารักมาก ใจดีพาเราไปขึ้นรถไฟด้วยและนี่ก็คือมิตรภาพแรกที่ได้รับที่เมลเบิร์นของเรา)
วันนั้นเป็นวันที่ 26 มกราคม 2012 เราเดินตามเธอมาเรื่อยๆ บนถนน Swanston Street
บรรยากาศระหว่างทางเป็นชาวเมลเบิร์นกำลังเฉลิมฉลองกับงานวัน Australia Day
บนถนนหน้า Melbourne Town Hall มีขบวนทหารม้าแต่งองค์ทรงเครื่องและขบวนพาเหรด
ส่วนผู้คน บ้านเรือนประดับประดาด้วยธงชาติออสเตรเลีย
เด็กๆ เพ้นท์หน้าเป็นธงชาติ ร้านค้าที่ขายของที่ระลึกเป็นธงชาติออสเตรเลียต่างขายดิบขายดี
คนที่นี่เค้าเฉลิมฉลองวันชาติกันน่ารักชะมัด
ถึง Flinders Street แล้ว เลยขอถ่ายรูปกับมิเชลมิตรภาพแรกที่นี่ของเรา เป็นที่ระลึก
พร้อมกล่าวคำอำลา เราก็มุ่งหน้าไปขึ้นรถไฟ ภารกิจของเราวันนั้นยังอีกยาวไกล
พอมีเวลาศึกษาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับออสเตรเลียแล้วเราจะพบว่า
เฮ้ย มันน่าสนใจ.. ตรงที่ประชากรส่วนใหญ่ของออสเตรเลียส่วนใหญ่กลับไม่ใช่ออสซี่แท้ๆโดยกำเนิด
(อารมณ์แบบประชากรไทย ไม่ใช่คนไทย อ้าว..แล้วมาจากไหนกัน)
คือออสเตรเลียมีประชากรทั้งหมด 24 ล้านคน แต่ 28 คนใน 100 คน (หรือประมาณ 6.6 ล้านคน)
ไม่ได้เกิดในประเทศออสเตรเลีย (มาจากอังกฤษบ้าง นิวซีแลนด์บ้าง จีน อินเดีย และประเทศอื่นๆอีกมากมาย รวมมากกว่า 150 เชื้อชาติ โอ้วววววว...) ส่วนที่เหลือ ถึงจะเกิดในออสเตรเลียก็จริง แต่พ่อหรือแม่ก็กลับไม่ได้เกิดในออสเตรเลียซะงั้น
เลยไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็น ขบวนพาเหรดวันชาติของออสเตรเลีย
มีกลุ่มคนจากหลายเชื้อชาติมาร่วมขบวนมากมาย และคนที่เดินไปมาตามท้องถนน
ก็มีทั้งหน้าตา สีผม ผสมผสานปนเปกันไป ถ้าเปรียบออสเตรเลียเป็นจานสีจานใหญ่
ในจานจะมีทั้งแม่สี และก็สีผสมช่องเล็กๆอีกหลายๆช่องอยู่ในจานเดียวกัน (150 สี เลยนะ)
นั่งรถไฟออกมาประมาณ 20 นาที ก็ถึงสถานีเล็กๆปลายทาง คนก็ทยอยต่อแถวกันตอกบัตร
(สมัยนั้นเป็นบัตรกระดาษ) เพื่อเข้าออกสถานี ไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจ ไม่มีอะไรกั้น
เราเดินออกไปเลยได้มั้ยนะ .. จริงๆสามารถเดินออกไปโดยไม่ต้องซื้อตั๋วเลยก็ได้นะ (แต่ทุกคนที่นี่กลับไม่ทำอย่างนั้น)
คนพิการต่อแถว.. ทุกคนก็หลีกทางให้คนพิการไปก่อน
ออกจากสถานีรถไฟเจอทางม้าลาย..ยังไม่ทันจะก้าวลงไป
แต่คนขับรถเบรครอมาแต่ไกล รีบหยุดทันทีพอเห็นเราทำท่าทีจะข้าม (หึหึ มันไม่ชินเลยเนอะ)
อย่างที่เราบอกว่ามันเป็นสถานีเล็กๆปลายทาง ไม่มีตำรวจ ไม่มีเจ้าหน้าที่
คนโดยสาร คนพิการ คนขับรถ ก็ไม่รู้ เชื้อชาติอะไร..
..แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่าทุกคนอยู่ที่นี่แล้วเป็น "คนเมลเบิร์น"
ซึ่งมีจิตสำนึกต่อเมลเบิร์นและต่อส่วนรวม และจิตสำนึกที่ดีของคนที่นี่มันดูเป็นอัตโนมัติไปซะแล้ว
เอ....แล้วเราจะเป็นคนไทยหรือคนเมลเบิร์นดีนะ
เลือกจะมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ต้องอย่าให้เสียชื่อคนไทยที่อยู่เมลเบิร์นสิ
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี มีจิตสำนึกต่อสังคม ถ้าช่วยเหลือคนอื่นได้อีกก็ยิ่งดี (ขอมงกุฏนางงาม)
"ชัดเจนว่าคนที่เมลเบิร์น ก็ทำให้เมลเบิร์นเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก"
ส่วนเราเวลาจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ จะลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่าเราเคยเป็นคนเมลเบิร์นจริงๆรึยัง?
ปล. พออยู่เมลเบิร์นวันที่ 3 ก็ได้รู้ว่า สถานีรถไฟที่ใกล้โรงแรมมากที่สุดคือ Melbourne Central Station
ระยะทางที่เดินไปสถานีนี้ พอๆกับที่เดินไปรอรถแทรมวันก่อน (แล้วไหง มิเชลพาเราไป Flinders Station ซึ่งอยู่อีกมุมของเมืองล่ะฮะ)
และถึงจะขึ้นรถแทรมแล้วขึ้นรถไฟ ก็ใช้ตั๋วเดียวกัน และซื้อเป็นรายวันก็ราคาเท่ากันอยู่ดี (แล้วพี่รอแทรมฟรีไปทำไมฮะ TT)
(ขอขอบพระคุณพนักงานโรงแรมและมิเชลอีกครั้ง)
เรื่อง บุณฑริกา เด็ก (นอก) บ้าน
ตีพิมพ์ลงหนังสือ Melb Issue 63 | May-Jun 2015 ขอบคุณนะคะ (กราบงามๆ)
ถ่ายรูปโดย น้องริกกี้ ยิ่งสวัสดิ์ ธนสุวรรณเกษม
ข้อมูล: Australian Bureau of Statistics
ติดตามต่อได้ที่
https://www.facebook.com/justgotogether?fref=ts ค่ะ
ชอบกระทู้ อย่าลืมกดโหวตกระทู้ให้นะค้า จะได้มีกำลังใจเขียนบ่อยๆค่ะ
เด็กนอก: Melbourne First Impressions .. เมลเบิร์น..ครั้งแรก !!
หนึ่งในปัจจัยเหล่านั้นคงไม่ได้มาจากสภาพอากาศที่แปรปรวน และค่าครองชีพที่แพงหูฉี่เป็นแน่
....
ออสเตรเลียมีหลายเมืองทำไม ถึงเลือกไปเมลเบิร์น?
เป็นคำถามสุดท้ายที่เจ้านายเคยถามไว้ ก่อนยื่นใบลาออก
เราเองก็ยังหาคำตอบไม่ได้..
จำได้ว่าเป็นเพราะอ่านรีวิวจากหลายสำนัก ว่าเป็นเมืองที่น่าอยู่ ผู้คนเป็นมิตร
มีสถาปัตยกรรมตึกรามบ้านช่องสวยงาม และเป็นเมืองที่มีนักเรียนอยู่มากที่สุดเมืองหนึ่งของออสเตรเลีย
(เมลเบิร์นมี นักเรียนมหาวิทยาลัยอยู่ประมาณ 270,000 คน และมากกว่า 1 ใน 3 หรือประมาณ 91,000 คน เป็นนักเรียนต่างชาติ)
เดินทางไปไหนมาไหนก็สะดวกสบาย แถมค่าครองชีพก็ยังถูกกว่าถ้าเทียบกับเมืองใหญ่อย่างซิดนีย์
… ซึ่งก็น่าจะเป็นคำตอบที่ดีที่สุดของเราในตอนนั้น
มาถึงเมลเบิร์นวันแรก ยังจำคำโปรยในหนังสือรีวิวพวกนั้นได้เป็นอย่างดี
ในหัวยังมีภาพของเมลเบิร์นพร้อมประติมากรรมสวยๆ ตัดเข้ามาถี่ๆ
มันบิ้วอารมณ์ให้อยากรู้จักเมลเบิร์นเป็นที่สุด ว่าเธอจะสวยงามเหมือนคำโปรย และน่าอยู่ซักแค่ไหน
ถึงหน้าโรงแรมก้าวลง Skybus ปุ๊บ วางกระเป๋าไว้ในห้องพักเสร็จ
ก็พร้อมจะกระโจนตัวออกมาเช็คอินพร้อมเป็นเด็กนักเรียนเมลเบิร์นให้ได้ซะเดี๋ยวนั้น
First Impression ของเมลเบิร์นไม่ทำให้เราผิดหวัง
ก้าวแรกที่เดินออกมาจากโรงแรม จะเห็นว่าเมลเบิร์นมีตึกสูงบ้าง
พอให้มองเห็นท้องฟ้าโปร่งๆ แต่ก็ไม่สูงเสียดฟ้าหนาแน่นเหมือนกรุงเทพฯบ้านเรา
เดินไปเรื่อยๆจะเห็นถนนหนทาง โบสต์คริสต์ อาคารต่างๆ มีรูปทรง ดีไซน์ กลิ่นอายแบบอังกฤษ
สลับกับตึกแบบใหม่ๆ ผสมผสานกันไป มีรูปปั้นเก๋ๆ ตามมุมต่างๆของเมือง ที่บางทีก็ดูไม่มีเหตุผล
แต่กลับทำให้ทัศนียภาพโดยรวมสวยงาม ดูมีเสน่ห์ สมกับคำชื่นชมว่าเป็นเมืองศิลปะ ตามที่พวกรีวิวเคยให้ไว้
ส่วนผู้คนที่เดินขวักไขว่กันอยู่ตามท้องถนนที่นี่ก็ไม่ค่อยจะเหมือนเดินอยู่ในเมืองฝรั่งซักเท่าไหร่
เราจะเห็นฝรั่งออสซี่ส่วนหนึ่ง พร้อมกับเอเชียหัวดำ จีนบ้าง อินเดียบ้าง ปะปนกันไปตลอดทาง
(ถ้าจินตนาการเมลเบิร์นเป็นหญิงสาว จะพบว่าเมลเบิร์น เป็นสาวยุโรปผมทอง นัยน์ตาฟ้า
แต่พูดสำเนียงเอเชียชัดแจ๋ว ลูกครึ่งอะไรประมาณนั้น)
เดินมาซักพักเริ่มหิวน้ำ เห็นป้าย 7eleven รีบเดินปรี่เข้าไป
(ตามสัญชาตญาณคนไทย เห็นสัญลักษณ์นี้ที่ไหน แสดงว่าไม่อดตายสินะ ฮ่า ฮ่า)
พอเห็นราคาน้ำเปล่าที่นี่เท่านั้นแหละ…วิ่งออกมาแทบไม่ทัน น้ำเปล่าที่นี่แพงมากก
ขวดเล็กๆขวดนึง $3.5 เหรียญ เป็นเงินไทย ก็ประมาณ 80-90 บาท
(ตอนที่มาใหม่ๆ ทุกอย่างคูณเป็นเงินไทยหมดค่ะ ปี 2012 ค่าเงินไทยประมาณ 32-33 บาทต่อ AUD ด้วยนะคะ แพงชะมัด)
แต่ก็ต้องอดทนเดินเข้าไปซื้อใหม่
หยิบน้ำมาวางที่เคาท์เตอร์อย่างจำใจ หลังจากที่คิดได้ว่าราคาที่อื่นก็คงประมาณนี้
(คนขายคง งง อ่ะค่ะ ว่า มันจะเข้าๆออกๆทำไมฟระ!!)
เรา: “Can I have this one please?” (เอาอันนี้ค่ะ)
คนขาย: "Sure. Anything else?" (แน่นอนครับ รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มมั้ยครับ?)
เรา: “No, thank you.” (ไม่เป็นไรค่ะ ยังไม่หิว แค่ราคาน้ำก็ซื้ออะไรไม่ค่อยลงแล้วค่ะ TT)
จ่ายตังค์ แล้วเดินออกมาจาก 7eleven ในใจคิดว่า..
ถ้าเมลเบิร์นเป็นหญิงสาวจริงๆ ชัดเจนว่าเราคงรู้จักอีกด้านของเธอแล้วสินะ หึหึ
ภาระกิจของวันที่สองคือการออกไปดูบ้านค่ะ บ้านเช่าที่เราดู ราคาไม่แพงมาก และมักจะอยู่รอบๆ เมือง
คราวนี้แหละ… เราจะได้รู้จักเมลเบิร์นแบบมุมกว้างบ้างแล้ว
เมลเบิร์นขึ้นชื่อเรื่องการเดินทางสะดวกสบาย มีตัวเลือกให้เลือกมากมายทั้ง รถไฟ รถบัส และรถรางหรือรถแทรม
เค้าว่ามีรถแทรมฟรีด้วยนะ (และแน่นอนเราต้องเลือกรถแทรมฟรีอยู่แล้ว แล้วค่อยไปต่อรถไฟอีกทีนึง)
(พนักงานโรงแรมให้คำแนะนำมาอย่างดีบอกรถแทรมสีขาวคือ Yarra Tram เก็บค่าบริการ
ส่วนสีน้ำตาลรูปร่างคลาสสิค คือ City Circle Tram วิ่งวนเป็นสี่เหลี่ยมรอบเมือง เปิดให้บริการฟรีสำหรับนักท่องเที่ยว)
เดินทางจากโรงแรมมาไม่ไกลเราจะเจอป้ายรถแทรม ซึ่งโดยส่วนมากรางและป้ายรถแทรมจะตั้งอยู่กลางถนน
สองข้างทางเป็นเลนส์รถยนต์ซ้ายขวา เวลารอรถแทรมก็ข้ามไปตรงกลางถนนนั่นแหละ
พื้นที่มีจำกัด ราวกับเครื่องบินชั้นประหยัด พอดีสำหรับยืนรอเป็นเส้นตรง จะเดินสวนกันยังลำบาก
(ป้ายไหนใหญ่หน่อย ที่ยืนรอก็จะยกระดับขึ้นมา และที่มีนั่งให้ด้วยนะ เสมือนป้ายแทรมระดับ Business Class)
สำหรับคนไทยอย่างเราคงรู้สึกแปลกๆ ที่ต้องมายืนรอรถแทรมอย่างโดดเดี่ยวอยู่ตรงกลางถนน
ซึ่งป้ายที่รออยู่ตอนนั้น คือป้ายระดับ economy class
10 นาทีผ่านไป… Yarra Tram ผ่านไปหลายคัน
แต่แทรมฟรียังไม่มา…นึกในใจว่า อ่อ มันวิ่งวน นานๆคงมาซักคันนึงสินะ
20 นาทีผ่านไป…. Yarra Tram ผ่านไปอีกหลายคัน
แทรมฟรีก็ยังไม่เห็นวี่แวว…ยังคงมั่นใจว่า เดี๋ยวมันต้องมา ของฟรีมันไม่ได้ ได้มาง่ายๆ นะ!!
30 นาทีผ่านไป…
ตัดภาพกลับมาเป็นเอเชียหัวดำแบกเป้ สะพายกล้อง ถือสมุดท่องเที่ยวออสเตรเลียเล่มเขียว
พร้อมแผนที่ ยืนรออยู่ที่เดิม…เมลเบิร์นเธอเริ่มไม่น่ารักแล้วนะ !
“Are you alright? Where are you going?” ฝรั่งผู้หญิง วัยประมาณ 30 ท่าทางใจดี เดินเข้ามาถาม คาดว่าน่าจะเห็นเหตุการณ์อยู่นานแล้ว
“Yes, I am but I am waiting for a city circle tram.” ตอบพร้อมชี้ภาพรถแทรมในหนังสือประกอบ กลัวเค้าไม่เข้าใจ
“Hahaha. Today is Australia Day the tram is not running.” นางหัวเราะเสียงดังลั่น
“…...................” (ขอขอบพระคุณ หนังสือท่องเที่ยวเล่มเขียว และพนักงานโรงแรมที่แนะนำ)
“Come with me. I am going to meet my friend at Flinders street station and you can take the train there” เชิญชวนพร้อมรอยยิ้ม กว้างๆ
“Ohh..Thank you”
(เฮ้ยยย..ประทับใจ นางเป็นออสซี่ที่น่ารักมาก ใจดีพาเราไปขึ้นรถไฟด้วยและนี่ก็คือมิตรภาพแรกที่ได้รับที่เมลเบิร์นของเรา)
วันนั้นเป็นวันที่ 26 มกราคม 2012 เราเดินตามเธอมาเรื่อยๆ บนถนน Swanston Street
บรรยากาศระหว่างทางเป็นชาวเมลเบิร์นกำลังเฉลิมฉลองกับงานวัน Australia Day
บนถนนหน้า Melbourne Town Hall มีขบวนทหารม้าแต่งองค์ทรงเครื่องและขบวนพาเหรด
ส่วนผู้คน บ้านเรือนประดับประดาด้วยธงชาติออสเตรเลีย
เด็กๆ เพ้นท์หน้าเป็นธงชาติ ร้านค้าที่ขายของที่ระลึกเป็นธงชาติออสเตรเลียต่างขายดิบขายดี
คนที่นี่เค้าเฉลิมฉลองวันชาติกันน่ารักชะมัด
ถึง Flinders Street แล้ว เลยขอถ่ายรูปกับมิเชลมิตรภาพแรกที่นี่ของเรา เป็นที่ระลึก
พร้อมกล่าวคำอำลา เราก็มุ่งหน้าไปขึ้นรถไฟ ภารกิจของเราวันนั้นยังอีกยาวไกล
พอมีเวลาศึกษาข้อมูลเพิ่มเกี่ยวกับออสเตรเลียแล้วเราจะพบว่า
เฮ้ย มันน่าสนใจ.. ตรงที่ประชากรส่วนใหญ่ของออสเตรเลียส่วนใหญ่กลับไม่ใช่ออสซี่แท้ๆโดยกำเนิด
(อารมณ์แบบประชากรไทย ไม่ใช่คนไทย อ้าว..แล้วมาจากไหนกัน)
คือออสเตรเลียมีประชากรทั้งหมด 24 ล้านคน แต่ 28 คนใน 100 คน (หรือประมาณ 6.6 ล้านคน)
ไม่ได้เกิดในประเทศออสเตรเลีย (มาจากอังกฤษบ้าง นิวซีแลนด์บ้าง จีน อินเดีย และประเทศอื่นๆอีกมากมาย รวมมากกว่า 150 เชื้อชาติ โอ้วววววว...) ส่วนที่เหลือ ถึงจะเกิดในออสเตรเลียก็จริง แต่พ่อหรือแม่ก็กลับไม่ได้เกิดในออสเตรเลียซะงั้น
เลยไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็น ขบวนพาเหรดวันชาติของออสเตรเลีย
มีกลุ่มคนจากหลายเชื้อชาติมาร่วมขบวนมากมาย และคนที่เดินไปมาตามท้องถนน
ก็มีทั้งหน้าตา สีผม ผสมผสานปนเปกันไป ถ้าเปรียบออสเตรเลียเป็นจานสีจานใหญ่
ในจานจะมีทั้งแม่สี และก็สีผสมช่องเล็กๆอีกหลายๆช่องอยู่ในจานเดียวกัน (150 สี เลยนะ)
นั่งรถไฟออกมาประมาณ 20 นาที ก็ถึงสถานีเล็กๆปลายทาง คนก็ทยอยต่อแถวกันตอกบัตร
(สมัยนั้นเป็นบัตรกระดาษ) เพื่อเข้าออกสถานี ไม่มีเจ้าหน้าที่ตรวจ ไม่มีอะไรกั้น
เราเดินออกไปเลยได้มั้ยนะ .. จริงๆสามารถเดินออกไปโดยไม่ต้องซื้อตั๋วเลยก็ได้นะ (แต่ทุกคนที่นี่กลับไม่ทำอย่างนั้น)
คนพิการต่อแถว.. ทุกคนก็หลีกทางให้คนพิการไปก่อน
ออกจากสถานีรถไฟเจอทางม้าลาย..ยังไม่ทันจะก้าวลงไป
แต่คนขับรถเบรครอมาแต่ไกล รีบหยุดทันทีพอเห็นเราทำท่าทีจะข้าม (หึหึ มันไม่ชินเลยเนอะ)
อย่างที่เราบอกว่ามันเป็นสถานีเล็กๆปลายทาง ไม่มีตำรวจ ไม่มีเจ้าหน้าที่
คนโดยสาร คนพิการ คนขับรถ ก็ไม่รู้ เชื้อชาติอะไร..
..แต่เชื่ออย่างหนึ่งว่าทุกคนอยู่ที่นี่แล้วเป็น "คนเมลเบิร์น"
ซึ่งมีจิตสำนึกต่อเมลเบิร์นและต่อส่วนรวม และจิตสำนึกที่ดีของคนที่นี่มันดูเป็นอัตโนมัติไปซะแล้ว
เอ....แล้วเราจะเป็นคนไทยหรือคนเมลเบิร์นดีนะ
เลือกจะมาอยู่ที่นี่แล้ว ก็ต้องอย่าให้เสียชื่อคนไทยที่อยู่เมลเบิร์นสิ
ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี มีจิตสำนึกต่อสังคม ถ้าช่วยเหลือคนอื่นได้อีกก็ยิ่งดี (ขอมงกุฏนางงาม)
"ชัดเจนว่าคนที่เมลเบิร์น ก็ทำให้เมลเบิร์นเป็นเมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลก"
ส่วนเราเวลาจะกลับเมืองไทยเมื่อไหร่ จะลองตั้งคำถามกับตัวเองดูว่าเราเคยเป็นคนเมลเบิร์นจริงๆรึยัง?
ปล. พออยู่เมลเบิร์นวันที่ 3 ก็ได้รู้ว่า สถานีรถไฟที่ใกล้โรงแรมมากที่สุดคือ Melbourne Central Station
ระยะทางที่เดินไปสถานีนี้ พอๆกับที่เดินไปรอรถแทรมวันก่อน (แล้วไหง มิเชลพาเราไป Flinders Station ซึ่งอยู่อีกมุมของเมืองล่ะฮะ)
และถึงจะขึ้นรถแทรมแล้วขึ้นรถไฟ ก็ใช้ตั๋วเดียวกัน และซื้อเป็นรายวันก็ราคาเท่ากันอยู่ดี (แล้วพี่รอแทรมฟรีไปทำไมฮะ TT)
(ขอขอบพระคุณพนักงานโรงแรมและมิเชลอีกครั้ง)
เรื่อง บุณฑริกา เด็ก (นอก) บ้าน
ตีพิมพ์ลงหนังสือ Melb Issue 63 | May-Jun 2015 ขอบคุณนะคะ (กราบงามๆ)
ถ่ายรูปโดย น้องริกกี้ ยิ่งสวัสดิ์ ธนสุวรรณเกษม
ข้อมูล: Australian Bureau of Statistics
ติดตามต่อได้ที่ https://www.facebook.com/justgotogether?fref=ts ค่ะ
ชอบกระทู้ อย่าลืมกดโหวตกระทู้ให้นะค้า จะได้มีกำลังใจเขียนบ่อยๆค่ะ