สวัสดีค่ะ เราเป็นคนนึงที่ชอบท่องเที่ยว ตั้งใจจะทำรีวิวหลายทีแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส รีวิวนี้ถือเป็นรีวิวแรก ติชมกันได้นะคะ ^^
เราไปเที่ยวกัน 3 เมือง มีโตเกียว-เกียวโต-โอซาก้า ที่เลือก 3 เมืองนี้ก็เพราะว่า เห็นโปรโมชั่นของ AirAsia X บินตรงสู่ญี่ปุ่นนนนน
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ทริปนี้เราได้ตั๋วมาถูก เป็นตั๋วโปรที่ออกมาครั้งแรกเลย คิดเอาไว้ว่าจะไปหน้าหนาว แต่ตกลงวันกันไม่ได้ซักที พอจะเข้าไปจองอีกที เหลือแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไปแล้วซะงั้น >< เอาวะ หน้าร้อนก็ได้... และอีกอย่างนึงค่ะ ทริปนี้กินน้อยมาก เพราะกลัวจะเก็บที่ที่อยากไปได้ไม่ครบ (แต่ก็ไม่ครบจริงๆ นะ) เลยจะเน้นหนักมื้อเย็น มื้ออื่นๆ ก็หาทานระหว่างทานกันเอาค่ะ
ทริปนี้เรามีตัวช่วย ไปซื้อ Guidebook กันมาเป็นปีเลย (ดูเตรียมพร้อมสุดๆ แต่เปล่าเลย) กว่าจะได้แพลนจริงๆ ก็แค่อาทิตย์เดียวก่อนไป เลยมึนๆ งงๆ หลงๆ กัน แต่ก็สนุกดีค่ะ เลยให้ชื่อทริปนี้ว่า "Lost in Japan" Guidebook ที่เราเลือกมานั้น มีชื่อว่า "แบกเป้ตะลุยเดี่ยว ลัดเลี้ยวเที่ยว ญี่ปุ่น"
ก่อนจะไป ไปซื้อแผนที่มาเพิ่ม แต่ว่าเจอแต่แผนที่ของโตเกียว และก็โหลด app ต่างๆ มาช่วย ช่วยได้เยอะเลยนะคะ โดยเฉพาะ app "EAST ASIA" ช่วยแพลนการเดินทางคร่าวๆ ให้เราด้วย หรือ "trains.jp" และ "Tokyo Rail Map+ Lite" ก็ช่วยเรื่องรถไฟได้เยอะมาก เพราะรถไฟที่บ้านเค้า มึนจริงๆ ค่ะ นอกจากนั้นก็มี "Osaka Rail Map Lite" และ "Arukumachi KYOTO" ไปลองโหลดมากันได้น้า app ฟรี ไม่เสียตังค์จ้า
ว่าด้วยเรื่องค่าตั๋ว เราไปกัน 4 วัน 5 คืน เดินทางตอนกลางคืนถึงตอนเช้า ขาไปเราไปลงนาริตะ ขากลับกลับจากคันไซ
ค่าตั๋วขาไป DMK-NRT 2,990 บาท รวมค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว ประมาณ 3,080 บาท
ค่าตั๋วขากลับ KIX-DMK 3,150 บาท รวมค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว ประมาณ 3,255 บาท
ตั๋วที่ได้มาเป็นตั๋วเปล่าๆ เลย ไม่มีเลือกที่นั่ง ไม่มีน้ำหนักกระเป๋า ไม่มีอาหารบนเครื่อง
แต่เราว่าเรื่องที่นั่ง ก่อนไปประมาณ 14 วัน จะมี email แจ้งเตือนให้เข้าไป check-in online ใน website จะพอเลือกได้อยู่ค่ะ ในหนังสือบอกว่า ถ้าอยากเห็นฟูจิซัง ขาไปให้นั่งแถว A เราก็นั่งแถว A นะ พอใกล้จะถึง ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้าดูฟูจิซัง แต่... ฝนดันตก ไอน้ำเยอะมาก มองไม่เห็นฟูจิซังเลย T_T
ส่วนน้ำหนักกระเป๋า เราซื้อเพิ่มขากลับไป 20 g. ราคา 700 บาท ไปกัน 2 คน แต่ซื้อที่เดียว เลยขอหารสองนะคะ เป็น 350 บาท (ไม่แน่ใจว่า ถ้าซื้อตอนจอง อาจจะถูกกว่านี้รึป่าว)
อาหารบนเครื่อง เราไม่ได้เอาค่ะ เพราะเราเดินทางกลางคืน ขึ้นเครื่องไปก็ตีตั๋วนอนยาวเลยค่ะ เก็บแรงไว้เดินเที่ยวดีกว่า
- รวมค่าตั๋วเครื่องบิน
3,080+3,255+350 = 6,685 บาท
เราถึงสนามบินนาริตะ ประมาณ 07.50 น. พอถึงก็จัดแจงล้างหน้า แปรงฟัน ใครที่มีปัญหาเรื่องติดห้องน้ำแบบเรา มาญี่ปุ่นสบายใจได้เลย ห้องน้ำส่วนใหญ่เค้าค่อนข้างดีเลยทีเดียวค่ะ มีที่ฉีดก้น อิอิ สบายยยยย
หลังจากนั้น เราก็ซื้อมื้อเช้าแรกที่สนามบินเลย เวลาที่ญี่ปุ่นจะเร็วกว่าไทย 2 ชม. จริงๆ ตอนนั้นก็เวลาประมาณ 6 โมงเช้าไทย เลยไม่ค่อยหิวมากเท่าไหร่ ซื้อน้ำ ซื้อขนมปังมาคนละชิ้น เป็นร้านแนวมินิมาร์ท มีไมโครเวฟอุ่นให้เรียบร้อย
- ค่าอาหารเช้า ตกคนละประมาณ 65 บาท
6,685+65 = 6,750 บาท
อย่างที่บอก ว่าเราตั้งชื่อทริปว่า "Lost in Japan" พอทานมื้อเช้าเสร็จ เอาแล้วสิไปไงต่อดี... ในหนังสือบอกมาว่ามีหลายเวย์ จากสนามบินเข้ามาในตัวเมือง เราเลือกทางรถไฟละกัน ก็มองหาป้ายทางไปขึ้นรถไฟ พอลงมาข้างล่าง งงเลยครัช เอ๊!! ขึ้นไรดีแว๊?? ที่คิดไว้จะซื้อ Tokyo Combination Ticket ซื้อที่เคาน์เตอร์ JR ได้ แต่ที่สนามบินไม่มีขาย และจริงๆ มันใช้ได้เฉพาะแค่ในเขตตัวเมืองโตเกียวด้วย ที่พักเราก็อยู่ Higashijujo นอกเขตตัวเมือง (ถ้าเราเข้าใจไม่ผิดนะ 555) เพราะฉะนั้นตั๋วนี้ก็ไม่น่าคุ้ม
จนเวลาล่วงเลยไป 2 ชม.ได้ ตั้งใจว่าจะแวะเที่ยวก่อนถึงที่พัก ตามที่ app แพลนมาให้ ก็จะผ่าน Tokyo Skytree และวัดเซ็นโซจิ
...สุดท้ายเราก็เอาตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว เลือกขึ้นรถไฟ Keisei Narita Sky Access เพื่อที่จะไปลงสถานี Oshiage ก็จะถึง Tokyo Skytree พอดี ราคา 1,170 ¥ ประมาณ 327 บาท
แต่ซื้อผิด และดันเข้าผิดประตูอีก พนักงานเลยออกตั๋วให้ใหม่ แหะๆ Lost จริงๆ (แต่พนักงานที่นี่เค้าก็ใจดีน้า)
- ค่ารถไฟจากสนามบินไป Tokyo Skytree
6,750+327 = 7,077 บาท
ด้วยความฉลาดน้อยของเรา ที่ไม่แน่ใจว่าโรงแรมมีรับฝากของก่อน check-in รึป่าว และไม่รู้ว่าตามแต่ละสถานีมีล็อกเกอร์ไว้หยอดเหรียญฝากกระเป๋าด้วย!!!! เราก็เลยต้องแบกเป้เที่ยวกันไปตลอดทางเลย - -"
พอมาถึง Tokyo Skytree ที่นี่เป็นห้าง ซึ่งด้านบนจะมีหอคอยสูงๆ เราก็ไปตามหาว่าหอคอยสูงอยู่ไหนกันน๊า เพื่อที่จะไปถ่ายรูปกัน แต่ฝนก็ตกหนักขึ้น ทำให้ไม่ค่อยได้ภาพสวยๆ ซักเท่าไหร่
จากนั้นเราก็เริ่มหาของกินในห้างนั้นกัน ร้านแรกที่ไปประเดิมมาคือ ขนม Calbee เหยยยยย อร่อยมากเลย รสซาวครีม ราคา 250 ¥ หารสองประมาณ 35 บาท หลังจากนั้นก็ไปเจอไอติมโคนงาดำร้าน 63•c ราคา 380 ¥ หารสองประมาณ 50 บาท
- ค่าขนมที่ Tokyo Skytree
7,077+35+50 = 7,162 บาท
แล้วเราก็มองหาทางจะไปรถไฟเพื่อที่จะไปวัดเซนโซจิกันต่อ เดินลงไปชั้นล่างของห้าง โอ้โหหหห ขนม ของกิน น่ากินทั้งนั้นเลย อยากจะซื้อมาจัง แต่ก็สงสารสังขารตัวเอง เลยต้องตัดใจ โตเกียว บาบาน่า รสชาติใหม่ๆ ก็เพียบเลย อยากได้จุง...
ทางไปสถานี ก็จะมีร้านค้าต่างๆ อยู่ระหว่างห้างกับสถานีรถไฟ จาก Tokyo Skytree มาวัดเซนโซจิ เรานั่ง Tobu Tokyo Skytree ไปลงสถานี Asakusa เพียง 1 สถานีเท่านั้น ราคา 150 ¥ เท่ากับประมาณ 40 บาท
- ค่ารถไฟจาก Tokyo Skytree - Asakusa
7,162+40 = 7,202 บาท
พอออกจากสถานี เหมือนเราจะออกกันผิดประตู เพราะตามรีวิวต่างๆ จะบอกว่าจะเจอประตู Kaminarimon หรือ Thunder Gate เป็นประตูทางเข้าวัดก่อน แต่มาเจอถนนเส้นนี้ โล่ง ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แต่ก็สวยดีนะ ฝนตกปรอยๆ มีรถสามล้อด้วย ประเด็นคือ ไปทางไหนละเนี่ย?? เราเลยลองเดินไปตามสัญชาตญาณ
เดินไปซักพัก เริ่มเจอร้านขายของ
เห้ยยยยย ถนนนี่คุ้นๆ เหมือนในหนังสือเลย ใช่ละ เรามาถูกละ มาโผล่กลางถนนนากามิเซะ (Nakamise dori) คำว่า dori แปลว่าถนน เป็นถนนที่มีของขายเยอะมาก ทั้งของกิน ของฝาก ด้วยความที่ฝนตกหนักขึ้น เราเลยได้มีโอกาสหยิบเสื้อกันฝนพี่ตูนมาใช้ จาก concert Bodyslam 13 (ต้องขอขอบคุณพี่ตูนมา ณ โอกาสนี้ด้วย อิอิ)
แล้วเราก็ถึงประตูวัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) หรือ วัดโคมแดง ที่เรียกแบบนี้ เพราะว่ามีโคมไฟสีแดง เรียกประตูนี้ว่า "ประตูโฮโซม่อน" (Hozomon Gate) หรือเรียกอีกซื่อนึงว่า ประตูมหาสมบัติ... ป่ะ!!! เข้าไปไหว้พระกัน
พอผ่านประตูวัดมา ด้านซ้ายมือ เราจะเห็นเจดีย์ 5 ชั้น
ถัดจากเจดีย์ 5 ชั้น เดินตรงเข้ามา ด้านหน้าศาลาใหญ่ จะมีกระถางธูป เรียกว่า "โอโคโระ" (O-Koro) จะเห็นได้ว่า มีผู้คนมากมาย มุงอยู่ที่กระถางธูป แล้วกวักควันธูปเข้าหาตัว ตามความเชื่อ คือ จะเป็นสิริมงคล เจริญรุ่งเรือง และมีสุขภาพดี ส่วนธูปมีจำหน่าย ราคา 100 ¥ ประมาณ 28 บาท
- ค่าธูปที่วัดเซ็นโซจิ
7,202+28 = 7,230 บาท
จากนั้น ด้านข้างก็จะเห็นบ่อน้ำ ใช้สำหรับล้างไม้ล้างมือชำระจิตใจให้สะอาด
เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับการเข้าวัด หรือศาลเจ้าในญี่ปุ่น
1. ก่อนเข้าไปในศาลา ด้านหน้าจะมีบ่อน้ำ ให้ตักน้ำด้วยกระบวย ล้างไม้ ล้างมือ บ้วนปาก ตามความเชื่อ ว่า "ก่อนเข้าวัด ต้องชำระล้างร่างกายและจิตใจให้สะอาด" แต่อย่าใช้ปากสัมผัสกระบวย และขณะล้างมือต้องหงายมือขึ้น ห้ามคว่ำมือ
2. โยนเหรียญ 5 ¥ ลงในตู้บริจาคสีแดง ที่ต้องเป็นเหรียญ 5 เยน เพราะคนญี่ปุ่นออกเสียงว่า Go-En ซึ่งไปพ้องกับคำที่แปลว่า โชคดี เป็นการถือเคล็ดก่อนเข้าพอพร ให้ชีวิตมีแต่ความโชคดี
3. เมื่อต้องการจะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์ ให้โค้งคำนับ 2 ครั้ง และปรบมือตามอีก 2 ครั้ง จึงพนมมืออธิฐานขอพร
4. เมื่ออธิฐานเสร็จ ให้โค้งคำนับอีก 2 ครั้ง ถือว่าเสร็จสิ้นการขอพร หรือถ้าใครสนใจเสี่ยงเซียมซี ก็บริจาคเงินเพิ่ม
(ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือด้วย)
พอสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์เสร็จเรียบร้อย เราก็ไม่พลาดที่จะซื้อขนมแถวนั้นทานกัน ตามหนังสือบอกว่า ร้านเด็ดมี 2 ร้าน คือ Kimuraya Honpo เป็นขนมแป้งอบไส้ถั่วแดง ที่ตัวแป้งมีหลายรูปทรง เช่น รูปโคมไฟ, รูปนก และร้าน Kokonoe เป็นขนมแป้งทอดที่ข้างในมีไส้ เราซื้อกันมา 3 รส มีชาเขียว, งาดำ และก็ Sakura-cherry รสชาติก็อร่อยดีนะ แต่ทานไปซัก 2 อัน เริ่มเลี่ยนเหมือนกัน ราคา 490 ¥ หารสองประมาณ 66 บาท
- ค่าขนม
7,230+66 = 7,296 บาท
[CR] เที่ยวญี่ปุ่น 3 เมือง 4 วัน ด้วยงบ 15,000 เห้ย!! เป็นไปได้
สวัสดีค่ะ เราเป็นคนนึงที่ชอบท่องเที่ยว ตั้งใจจะทำรีวิวหลายทีแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส รีวิวนี้ถือเป็นรีวิวแรก ติชมกันได้นะคะ ^^
เราไปเที่ยวกัน 3 เมือง มีโตเกียว-เกียวโต-โอซาก้า ที่เลือก 3 เมืองนี้ก็เพราะว่า เห็นโปรโมชั่นของ AirAsia X บินตรงสู่ญี่ปุ่นนนนน
ก่อนอื่นต้องขอออกตัวก่อนเลยว่า ทริปนี้เราได้ตั๋วมาถูก เป็นตั๋วโปรที่ออกมาครั้งแรกเลย คิดเอาไว้ว่าจะไปหน้าหนาว แต่ตกลงวันกันไม่ได้ซักที พอจะเข้าไปจองอีกที เหลือแต่เดือนมิถุนายนเป็นต้นไปแล้วซะงั้น >< เอาวะ หน้าร้อนก็ได้... และอีกอย่างนึงค่ะ ทริปนี้กินน้อยมาก เพราะกลัวจะเก็บที่ที่อยากไปได้ไม่ครบ (แต่ก็ไม่ครบจริงๆ นะ) เลยจะเน้นหนักมื้อเย็น มื้ออื่นๆ ก็หาทานระหว่างทานกันเอาค่ะ
ทริปนี้เรามีตัวช่วย ไปซื้อ Guidebook กันมาเป็นปีเลย (ดูเตรียมพร้อมสุดๆ แต่เปล่าเลย) กว่าจะได้แพลนจริงๆ ก็แค่อาทิตย์เดียวก่อนไป เลยมึนๆ งงๆ หลงๆ กัน แต่ก็สนุกดีค่ะ เลยให้ชื่อทริปนี้ว่า "Lost in Japan" Guidebook ที่เราเลือกมานั้น มีชื่อว่า "แบกเป้ตะลุยเดี่ยว ลัดเลี้ยวเที่ยว ญี่ปุ่น"
ก่อนจะไป ไปซื้อแผนที่มาเพิ่ม แต่ว่าเจอแต่แผนที่ของโตเกียว และก็โหลด app ต่างๆ มาช่วย ช่วยได้เยอะเลยนะคะ โดยเฉพาะ app "EAST ASIA" ช่วยแพลนการเดินทางคร่าวๆ ให้เราด้วย หรือ "trains.jp" และ "Tokyo Rail Map+ Lite" ก็ช่วยเรื่องรถไฟได้เยอะมาก เพราะรถไฟที่บ้านเค้า มึนจริงๆ ค่ะ นอกจากนั้นก็มี "Osaka Rail Map Lite" และ "Arukumachi KYOTO" ไปลองโหลดมากันได้น้า app ฟรี ไม่เสียตังค์จ้า
ว่าด้วยเรื่องค่าตั๋ว เราไปกัน 4 วัน 5 คืน เดินทางตอนกลางคืนถึงตอนเช้า ขาไปเราไปลงนาริตะ ขากลับกลับจากคันไซ
ค่าตั๋วขาไป DMK-NRT 2,990 บาท รวมค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว ประมาณ 3,080 บาท
ค่าตั๋วขากลับ KIX-DMK 3,150 บาท รวมค่าธรรมเนียมต่างๆ แล้ว ประมาณ 3,255 บาท
ตั๋วที่ได้มาเป็นตั๋วเปล่าๆ เลย ไม่มีเลือกที่นั่ง ไม่มีน้ำหนักกระเป๋า ไม่มีอาหารบนเครื่อง
แต่เราว่าเรื่องที่นั่ง ก่อนไปประมาณ 14 วัน จะมี email แจ้งเตือนให้เข้าไป check-in online ใน website จะพอเลือกได้อยู่ค่ะ ในหนังสือบอกว่า ถ้าอยากเห็นฟูจิซัง ขาไปให้นั่งแถว A เราก็นั่งแถว A นะ พอใกล้จะถึง ตั้งหน้าตั้งตาเฝ้าดูฟูจิซัง แต่... ฝนดันตก ไอน้ำเยอะมาก มองไม่เห็นฟูจิซังเลย T_T
ส่วนน้ำหนักกระเป๋า เราซื้อเพิ่มขากลับไป 20 g. ราคา 700 บาท ไปกัน 2 คน แต่ซื้อที่เดียว เลยขอหารสองนะคะ เป็น 350 บาท (ไม่แน่ใจว่า ถ้าซื้อตอนจอง อาจจะถูกกว่านี้รึป่าว)
อาหารบนเครื่อง เราไม่ได้เอาค่ะ เพราะเราเดินทางกลางคืน ขึ้นเครื่องไปก็ตีตั๋วนอนยาวเลยค่ะ เก็บแรงไว้เดินเที่ยวดีกว่า
- รวมค่าตั๋วเครื่องบิน
3,080+3,255+350 = 6,685 บาท
เราถึงสนามบินนาริตะ ประมาณ 07.50 น. พอถึงก็จัดแจงล้างหน้า แปรงฟัน ใครที่มีปัญหาเรื่องติดห้องน้ำแบบเรา มาญี่ปุ่นสบายใจได้เลย ห้องน้ำส่วนใหญ่เค้าค่อนข้างดีเลยทีเดียวค่ะ มีที่ฉีดก้น อิอิ สบายยยยย
หลังจากนั้น เราก็ซื้อมื้อเช้าแรกที่สนามบินเลย เวลาที่ญี่ปุ่นจะเร็วกว่าไทย 2 ชม. จริงๆ ตอนนั้นก็เวลาประมาณ 6 โมงเช้าไทย เลยไม่ค่อยหิวมากเท่าไหร่ ซื้อน้ำ ซื้อขนมปังมาคนละชิ้น เป็นร้านแนวมินิมาร์ท มีไมโครเวฟอุ่นให้เรียบร้อย
- ค่าอาหารเช้า ตกคนละประมาณ 65 บาท
6,685+65 = 6,750 บาท
อย่างที่บอก ว่าเราตั้งชื่อทริปว่า "Lost in Japan" พอทานมื้อเช้าเสร็จ เอาแล้วสิไปไงต่อดี... ในหนังสือบอกมาว่ามีหลายเวย์ จากสนามบินเข้ามาในตัวเมือง เราเลือกทางรถไฟละกัน ก็มองหาป้ายทางไปขึ้นรถไฟ พอลงมาข้างล่าง งงเลยครัช เอ๊!! ขึ้นไรดีแว๊?? ที่คิดไว้จะซื้อ Tokyo Combination Ticket ซื้อที่เคาน์เตอร์ JR ได้ แต่ที่สนามบินไม่มีขาย และจริงๆ มันใช้ได้เฉพาะแค่ในเขตตัวเมืองโตเกียวด้วย ที่พักเราก็อยู่ Higashijujo นอกเขตตัวเมือง (ถ้าเราเข้าใจไม่ผิดนะ 555) เพราะฉะนั้นตั๋วนี้ก็ไม่น่าคุ้ม
จนเวลาล่วงเลยไป 2 ชม.ได้ ตั้งใจว่าจะแวะเที่ยวก่อนถึงที่พัก ตามที่ app แพลนมาให้ ก็จะผ่าน Tokyo Skytree และวัดเซ็นโซจิ
...สุดท้ายเราก็เอาตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ขายตั๋ว เลือกขึ้นรถไฟ Keisei Narita Sky Access เพื่อที่จะไปลงสถานี Oshiage ก็จะถึง Tokyo Skytree พอดี ราคา 1,170 ¥ ประมาณ 327 บาท
แต่ซื้อผิด และดันเข้าผิดประตูอีก พนักงานเลยออกตั๋วให้ใหม่ แหะๆ Lost จริงๆ (แต่พนักงานที่นี่เค้าก็ใจดีน้า)
- ค่ารถไฟจากสนามบินไป Tokyo Skytree
6,750+327 = 7,077 บาท
ด้วยความฉลาดน้อยของเรา ที่ไม่แน่ใจว่าโรงแรมมีรับฝากของก่อน check-in รึป่าว และไม่รู้ว่าตามแต่ละสถานีมีล็อกเกอร์ไว้หยอดเหรียญฝากกระเป๋าด้วย!!!! เราก็เลยต้องแบกเป้เที่ยวกันไปตลอดทางเลย - -"
พอมาถึง Tokyo Skytree ที่นี่เป็นห้าง ซึ่งด้านบนจะมีหอคอยสูงๆ เราก็ไปตามหาว่าหอคอยสูงอยู่ไหนกันน๊า เพื่อที่จะไปถ่ายรูปกัน แต่ฝนก็ตกหนักขึ้น ทำให้ไม่ค่อยได้ภาพสวยๆ ซักเท่าไหร่
จากนั้นเราก็เริ่มหาของกินในห้างนั้นกัน ร้านแรกที่ไปประเดิมมาคือ ขนม Calbee เหยยยยย อร่อยมากเลย รสซาวครีม ราคา 250 ¥ หารสองประมาณ 35 บาท หลังจากนั้นก็ไปเจอไอติมโคนงาดำร้าน 63•c ราคา 380 ¥ หารสองประมาณ 50 บาท
- ค่าขนมที่ Tokyo Skytree
7,077+35+50 = 7,162 บาท
แล้วเราก็มองหาทางจะไปรถไฟเพื่อที่จะไปวัดเซนโซจิกันต่อ เดินลงไปชั้นล่างของห้าง โอ้โหหหห ขนม ของกิน น่ากินทั้งนั้นเลย อยากจะซื้อมาจัง แต่ก็สงสารสังขารตัวเอง เลยต้องตัดใจ โตเกียว บาบาน่า รสชาติใหม่ๆ ก็เพียบเลย อยากได้จุง...
ทางไปสถานี ก็จะมีร้านค้าต่างๆ อยู่ระหว่างห้างกับสถานีรถไฟ จาก Tokyo Skytree มาวัดเซนโซจิ เรานั่ง Tobu Tokyo Skytree ไปลงสถานี Asakusa เพียง 1 สถานีเท่านั้น ราคา 150 ¥ เท่ากับประมาณ 40 บาท
- ค่ารถไฟจาก Tokyo Skytree - Asakusa
7,162+40 = 7,202 บาท
พอออกจากสถานี เหมือนเราจะออกกันผิดประตู เพราะตามรีวิวต่างๆ จะบอกว่าจะเจอประตู Kaminarimon หรือ Thunder Gate เป็นประตูทางเข้าวัดก่อน แต่มาเจอถนนเส้นนี้ โล่ง ไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน แต่ก็สวยดีนะ ฝนตกปรอยๆ มีรถสามล้อด้วย ประเด็นคือ ไปทางไหนละเนี่ย?? เราเลยลองเดินไปตามสัญชาตญาณ
เดินไปซักพัก เริ่มเจอร้านขายของ
เห้ยยยยย ถนนนี่คุ้นๆ เหมือนในหนังสือเลย ใช่ละ เรามาถูกละ มาโผล่กลางถนนนากามิเซะ (Nakamise dori) คำว่า dori แปลว่าถนน เป็นถนนที่มีของขายเยอะมาก ทั้งของกิน ของฝาก ด้วยความที่ฝนตกหนักขึ้น เราเลยได้มีโอกาสหยิบเสื้อกันฝนพี่ตูนมาใช้ จาก concert Bodyslam 13 (ต้องขอขอบคุณพี่ตูนมา ณ โอกาสนี้ด้วย อิอิ)
แล้วเราก็ถึงประตูวัดเซ็นโซจิ (Sensoji Temple) หรือ วัดโคมแดง ที่เรียกแบบนี้ เพราะว่ามีโคมไฟสีแดง เรียกประตูนี้ว่า "ประตูโฮโซม่อน" (Hozomon Gate) หรือเรียกอีกซื่อนึงว่า ประตูมหาสมบัติ... ป่ะ!!! เข้าไปไหว้พระกัน
พอผ่านประตูวัดมา ด้านซ้ายมือ เราจะเห็นเจดีย์ 5 ชั้น
ถัดจากเจดีย์ 5 ชั้น เดินตรงเข้ามา ด้านหน้าศาลาใหญ่ จะมีกระถางธูป เรียกว่า "โอโคโระ" (O-Koro) จะเห็นได้ว่า มีผู้คนมากมาย มุงอยู่ที่กระถางธูป แล้วกวักควันธูปเข้าหาตัว ตามความเชื่อ คือ จะเป็นสิริมงคล เจริญรุ่งเรือง และมีสุขภาพดี ส่วนธูปมีจำหน่าย ราคา 100 ¥ ประมาณ 28 บาท
- ค่าธูปที่วัดเซ็นโซจิ
7,202+28 = 7,230 บาท
จากนั้น ด้านข้างก็จะเห็นบ่อน้ำ ใช้สำหรับล้างไม้ล้างมือชำระจิตใจให้สะอาด
เคล็ด(ไม่)ลับ สำหรับการเข้าวัด หรือศาลเจ้าในญี่ปุ่น
1. ก่อนเข้าไปในศาลา ด้านหน้าจะมีบ่อน้ำ ให้ตักน้ำด้วยกระบวย ล้างไม้ ล้างมือ บ้วนปาก ตามความเชื่อ ว่า "ก่อนเข้าวัด ต้องชำระล้างร่างกายและจิตใจให้สะอาด" แต่อย่าใช้ปากสัมผัสกระบวย และขณะล้างมือต้องหงายมือขึ้น ห้ามคว่ำมือ
2. โยนเหรียญ 5 ¥ ลงในตู้บริจาคสีแดง ที่ต้องเป็นเหรียญ 5 เยน เพราะคนญี่ปุ่นออกเสียงว่า Go-En ซึ่งไปพ้องกับคำที่แปลว่า โชคดี เป็นการถือเคล็ดก่อนเข้าพอพร ให้ชีวิตมีแต่ความโชคดี
3. เมื่อต้องการจะสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์ ให้โค้งคำนับ 2 ครั้ง และปรบมือตามอีก 2 ครั้ง จึงพนมมืออธิฐานขอพร
4. เมื่ออธิฐานเสร็จ ให้โค้งคำนับอีก 2 ครั้ง ถือว่าเสร็จสิ้นการขอพร หรือถ้าใครสนใจเสี่ยงเซียมซี ก็บริจาคเงินเพิ่ม
(ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือด้วย)
พอสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์เสร็จเรียบร้อย เราก็ไม่พลาดที่จะซื้อขนมแถวนั้นทานกัน ตามหนังสือบอกว่า ร้านเด็ดมี 2 ร้าน คือ Kimuraya Honpo เป็นขนมแป้งอบไส้ถั่วแดง ที่ตัวแป้งมีหลายรูปทรง เช่น รูปโคมไฟ, รูปนก และร้าน Kokonoe เป็นขนมแป้งทอดที่ข้างในมีไส้ เราซื้อกันมา 3 รส มีชาเขียว, งาดำ และก็ Sakura-cherry รสชาติก็อร่อยดีนะ แต่ทานไปซัก 2 อัน เริ่มเลี่ยนเหมือนกัน ราคา 490 ¥ หารสองประมาณ 66 บาท
- ค่าขนม
7,230+66 = 7,296 บาท