สุรินทร์ซิตี้ ชื่อนั้นสำคัญไฉน?

สุรินทร์ซิตี้ ชื่อที่อาจไม่คุ้นหู แต่เชื่อว่าหลายๆคนเริ่มที่จะจับตามองและให้ความสนใจมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเซ็นสัญญานักเตะ รึการบริหารจัดการ แต่ใครพอจะทราบบ้างว่ากว่าจะมาได้จนถึงวันนี้ คนสุรินทร์ ได้รึ เสีย อะไรจากการก่อกำเนิดที่ว่ากันว่า “แหวกแนว” ที่สุดแบบนี้

1. มันคือทีมอะไรกันแน่? – ถ้าตอบแบบขวานผ่าซาก มันก็คือ ทีมอคาเดมี่บุรีรัมย์ยูฯ เพียงแต่มีฐานในการขัดเกลาอยู่ที่สุรินทร์นั่นเอง แน่นอนว่าทุกอย่างต้องตามมาตรฐานของบุรีรัมย์ยูฯเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็น การฝึก การตัดตัว การเซ็นนักเตะใหม่ สุรินทร์แท้ๆจึงมีเพียงแค่ สนาม กับ ชื่อทีม เท่านั้น

2. นักเตะอคาเดมี่ดีจริงเหรอ? – ก็ดีในระดับหนึ่ง ด้วยองค์ประกอบที่พรักพร้อมและสมบูรณ์ผู้เล่นของ อคาเดมี่บุรีรัมย์ในคราบของสุรินทร์ซิตี้ สามารถเล่นได้กับทุกทีมใน ลีกดี2 แต่จะชนะรึไม่นั่นคืออีกประเด็น การที่เรามักเข้าใจกันว่าทีมชุดนี้เก่งพอที่จะขึ้น ดี1 นั่นคือการปรามาสทีมร่วมลีกเกินไป ทุกวันนี้ ลีกภูมิภาคเขี้ยวและหินกว่าที่คิดนัก การที่นักเตะอายุ 17 18 19 ปี นั้นต้องลงสู้ศึกกับนักเตะรุ่นพี่ทั้งหลายแรกๆอาจจะได้เปรียบในเรื่องของความสดอยู่บ้าง แต่เมื่อถูกจับทางได้ผลลัพธ์ที่ออกมาเราสามารถไปดูตารางคะแนนได้ครับว่าเกิดอะไรขึ้น หลายๆครั้ง ความนิ่ง นักเตะเหล่านั้นยังมีไม่พอ ยุคแรกเริ่มของทีมนี้อาจขู่ได้ด้วย โลโก้ ตรงหน้ากลางเสื้อ แต่ทุกวันนี้มันไม่ใช่แล้ว

3. สุรินทร์ทีมเก่าหาสปอนเซอร์ไม่ได้จริงหรือ? – ถ้าจะตอบแบบกวนๆก็ตามตู้แช่ร้านขายของครับ แต่ในความเป็นจริง เรื่องนี้คือเรื่องที่พูดยากมากๆเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว คำว่า นักการเมืองท้องถิ่นยังขลังและศักดิ์สิทธิ์เสมอ การทำอะไรโดยไม่ดูทิศทางลมคงเป็นเรื่องที่ยากลำบาก แต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่า สุรินทร์ จะอับโชคจนถึงขนาดนั้น เพียงแต่ว่ารายการนี้มี การขอกันไว้ล่วงหน้าแล้ว และยิ่งมีเรื่องเกี่ยวกับการเมืองเข้ามาด้วยแล้วจึงเป็นอะไรที่พูดยากมากๆ

4. 10 ล้าน! – ออกจะเกินจริงไปบ้างถ้าทุกคนคิดว่า สุรินทร์ ได้เงิน 10 ล้านจากบุรีรัมย์ยูฯ คำว่า 10 ล้าน มันแตกออกเป็นหลายๆอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ค่าเหนื่อยนักเตะเอง ค่าเบี้ยเลี้ยงซ้อ ค่าจ้างโค้ช ฯลฯ ถามว่าถ้าบุรีรัมย์ยูฯไม่ส่งทีมมาทำแบบนี้กับสุรินทร์บุรีรัมย์ยูฯต้องจ่ายมั๊ย? ก็ต้องจ่ายเหมือนเดิมครับเพราะนักเตะและทีมงานเหล่านั้นขึ้นตรงกับบุรีรัมย์ยูฯ ฉะนั้น เงิน 10 ล้าน จึงไม่ควรจะนำมาพูด-ดันกันว่า “หามาสิ 10 ล้านแล้วบุรีรัมย์จะถอยออก” ก็ถ้าให้คนสุรินทร์เริ่มทำกันเองมูลค่าที่ต้องจ่ายมันคงไม่ถึงหรอกครับ 10 ล้าน

5. บุรีรัมย์ไม่ทำสุรินทร์มีปัญญามั๊ยล่ะ? – มีครับ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมเริ่มต้นจากน้อยไปหามาก ถ้าหากสุรินทร์จะเริ่มด้วยตนเองอีกครั้ง งบประมาณและความอลังการคงเทียบไม่ได้กับทีมชุดนี้ของบุรีรัมย์ด้วยว่า ศักยภาพในหลายๆมุมมันต่างกัน แต่ที่ไม่น่าจะหนีกันคือ ค่าเหนื่อยนักเตะ คิดรึครับว่านักเตะอคาเดมี่บุรีรัมย์จะรับกันเดือนละ หลายๆหมื่น นั่นไม่น่าจะเป็นไปได้ครับ กระดูกบอลยังไม่เขี้ยวถึงขนาดนั้น ซึ่งราคาขนาดนี้คงสามารถจับจ่ายใช้สอยนักเตะท้องถิ่นได้ตามสมควรครับ แต่ที่สำคัญคือ สุรินทร์จะมีเอกภาพในการเลือกนักเตะ เลือกผู้เล่น เอง ไม่ว่าจะในชาติหรือต่างชาติ ซึ่งตรงนี้ปัจจุบันไม่สามารถทำได้เพราะ บก.สูงสุดคือ บุรีรัมย์

6. ทำไมนักเตะที่ผ่านประเมินต้องไปพิจิตร? – หากเปรียบสุรินทร์เป็นฟาร์มเพาะเลี้ยงขั้นอนุบาล พิจิตร ก็น่าจะเป็นดั่ง ศูนย์วิจัยเพื่อพัฒนาให้เป็นตัวสมบูรณ์เต็มวัย แน่นอนครับว่าความเขี้ยวของทีมร่วมลีกระดับ ดี2 กับ ดี1 มันต่างกัน ครั้นจะให้เด็กๆอคาเดมี่ที่ชั่วโมงบินยังไม่ถึงไปปะทะกับ เสือ สิงห์ ทั้งหลาย ผลเสียมันจะมากกว่าผลดี การที่ประคองทีมไว้เพื่อลับฝีเท้าและประเมินศักยภาพเป็นรายตัวย่อมดีกว่าแน่ นั่นจึงเป็นคำตอบที่ว่า ทำไมทีมชุดนี้จึงไม่รีบผลีผลามขึ้น ดี1 ทั้งๆที่ถ้าจะทำจริงๆระดับ บุรีรัมย์ยูฯมันไม่น่าจะเป็นเรื่องยากเลย

7. “บรีฟออฟบุรีรัมย์” – ลมหายใจของบุรีรัมย์ นั่นคือสแตนด์ฝั่งฮาร์ดคอร์ที่ขึ้นชื่อมากไม่ว่าจะเรื่องเสียงเชียร์ หรือ การเชียร์แบบแหวกและล้ำ รวมถึงเสียงกลองที่กระหึ่ม การยืนเชียร์ตลอดแบบไม่รู้จักคำว่า เมื่อย และการนำเชียร์แบบถึงลูกถึงคน แน่นอนว่านั่นคือแบบอย่างที่น่าเลียนแบบยิ่ง แต่หลายๆคนมักลืมไปว่า การที่จะทำได้ขนาดนั้นมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย องค์ประกอบและปัจจัยที่หลากหลายล้วนเกี่ยวเนื่องกัน วกกลับมาที่สุรินทร์ แต่ก่อนสุรินทร์มีสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับกลุ่มเชียร์ต่างๆทั่วภาคอีสาน ด้วยว่าไม่มีรูปแบบที่ตายตัวทุกอย่างเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ไม่มีการเตี๊ยม ไม่มีการซ้อม สิ่งที่แสดงออกมาคือการดึงอารมณ์ร่วมของคนในบริเวณนั้นมากกว่า ซึ่งต่างจากของบุรีรัมย์ยูฯที่ต้องการ ฝึกซ้อม อย่างเข้มข้น (ส่วนทีมเชียร์ยุคปัจจุบัน ไม่ขอกล่าวถึงนะครับเพราะไม่มีข้อมูลเลย)

8. วิกฤตคนดู – สามพันปลายๆ คือยอดสูงสุดนับตั้งแต่มีบอลลีกเกิดขึ้น และก็เป็นทีมสุรินทร์ซิตี้ชุดปี 2013 ที่จารึกสถิตินี้ไว้พร้อมด้วยคำว่า “ไร้พ่ายในรังเหย้า” สถิติที่แม้แต่ทีมที่พะยี่ห้อบุรีรัมย์ก็ยังไม่สามารถทำได้ ในช่วงปีแรก (2014) ของการก้าวย่างเข้ามาของทีมอคาเดมี่บุรีรัมย์ ยอดคนดูยังไม่ถือว่าตกลงเท่าใดนัก อาจจะด้วยกับชื่อเสียงที่หอมหวลของสปอนเซอร์เย้ายวนความสำเร็จมากกว่า ยอดคนดูจึงลดลงเพียงเล็กน้อย (ที่ลดลงน่าจะเป็นพวกที่รับไม่ได้กับการทำทีมแบบนี้) แต่เมื่อผ่านเลกแรกไป ความชัดเจนเรื่อง ระบบฟาร์มลูกเล้า เด่นชัดมากขึ้น ยอดคนดูจึงเริ่มตกลงอย่างมีนัยยะสำคัญ และเมื่อถึงปี 2015 นั่นจึงเปรียบเสมือน ภูเขาไฟที่เริ่มปะทุ ยอดคนดูดิ่งเหวจนเป็นที่น่าวิตกว่า สนามที่เคยติดอันดับ ท็อปทรี ในเรื่องยอดผู้ชมของภาคในตอนนี้กำลังเข้าช่วงวิกฤตอย่างหนักหน่วง และคำตอบของเรื่องนี้คงต้องรอแฟนเจ้าถิ่นตัวจริงมาพูดหล่ะครับว่ามันเกิดจากอะไร

9. เสื้อนั้นสำคัญไฉน  - เรื่องของธุรกิจบางทีก็อาจจะไปไม่ได้กับเรื่องของความรู้สึก เมื่อเสื้อแข่งตัวแรกของสุรินทร์ซิตี้ 2014 ถูกเผยแพร่สู่สาธารณะชนมันก็สร้างปรากฏการณ์ แบ่งคนสุรินทร์เป็นสองฝ่ายทันที แน่นอนว่าสำหรับคนที่ชื่นชอบกับความสำเร็จของบุรีรัมย์คงมองว่านี่คือเสื้อแห่งตำนาน แต่มุมกลับกัน อีกฝ่ายย่อมรู้สึกว่า หมดสิ้นกันแล้วสำหรับเกียรติภูมิ ในเมื่อโลโก้ทีมอื่นดันมาใหญ่กว่าโลโก้ทีมตนเองซะงั้น อย่างว่าครับตรงนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ตราสโมสรบุรีรัมย์ไม่ใช่ยี่ห้อขนม ไม่ใช่ยี่ห้อเหล้าเบียร์ ไม่ใช่ยี่ห้อน้ำอัดลมหรือสายการบิน การที่มันโดดเด่นเป็นสง่ากว่าตราสโมสรทีมสุรินทร์จึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า “เหมาะสมแล้วหรือ” และแน่นอนเรื่องแบบนี้หากไม่เกิดกับทีมที่เรารักและซัพพอร์ตคงตอบไม่ถูกแน่ๆ เรื่องนี้จึงจัดเป็นเรื่องที่ว่า ผีเสือขยับปีกที่นิวยอร์กแต่ทำให้ฝนตกที่ปักกิ่ง....เกี่ยวกันมั๊ย

10. ใครได้ใครเสีย – หากไม่อคติจนเกินไปแน่นอนว่าคนที่เสียคือ เด็กๆในพื้นที่ เด็กๆเหล่านี้จะหมดโอกาสที่จะได้แสดงฝีเท้าในบ้านเกิดแน่นอน เพราะอย่างที่กล่าวมาในข้อแรกๆ ทุกอย่างต้อง บุรีรัมย์สแตนดาร์ด การตระเวนคัดตัวตามสโมสรต่างๆจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หากใจมันรักจริง นักฟุตบอลสุรินทร์หลายๆคนต้องตกงาน ต้องย้ายที่ทำกิน ต้องไปเป็นขวัญใจของคนต่างพื้นที่ต่างภูมิภาคก็ไม่ใช่น้อยเพราะอะไรหล่ะครับ ได้คำตอบกันแล้วใช่มั๊ย  ส่วนคนที่ได้ก็ อคาเดมี่บุรีรัมย์ ที่ได้สัมผัสกับของจริง ได้สัมผัสกับความเขี้ยวในระดับฮาร์ด และจะเพิ่มความยากเป็น ไนท์แมร์ เมื่อเขาเหล่านั้นสามารถอัพเกรดฝีเท้าจนได้ไปถึงทีมพิจิตรในดี1 หรือ ไปใส่สนับก้นที่ม้านั่งสำรองในทีมใหญ่

11. แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ – วันนี้สุรินทร์ยังไม่ต่างอะไรจาก มืดแปดด้าน จริงไม่จริงลองไล่อ่านดูกระทู้ตามเว็ปบอร์ด เพจหลักสโมสร ดูได้ครับว่าเสียงมันไปในทิศทางไหน และหนักเข้ามันเริ่มจะกลายเป็น วิวาทะของคนสองจังหวัดกันไปแล้ว นี่ไม่นับรวม FC ของนักบอล หรือ คู่รักของนักบอลที่จะออกอาการน้อยใจหรือให้เหตุผลแบบขาดๆเกินๆยามที่คนในพื้นที่ตั้งคำถามถึงทีม แน่นอนว่าทางออกนั้นยังอยู่อีกไกลและไม่แน่ใจว่าการจะเห็นแสงสว่างลิบๆที่ปลายอุโมงค์นั้นจะเห็นได้ง่ายๆรึเปล่า ในเมื่อทีมบุรีรัมย์ก็คงไม่ยากจะเสียแหล่งเพาะฟักชั้นดีไป เว้นแต่ว่า การอุบัติขึ้นมาของลีกเยาวชน นั่นอาจจะไม่ใช่แค่แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์แต่อาจหมายถึงการหายไปของอุโมงค์เลยทีเดียว
พอก่อนนะครับ ชักยืดเยื้อเรื้อรังไปกันใหญ่แล้ว ใครมีข้อมูลหรือเห็นต่างก็มาพูดมาคุยกันได้นะครับ ผิดถูกยังไงขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่