สวัสดีครับนี่เป็นกระทู้แรกของผมถ้าผิดพลาดยังไงต้องขออภัยด้วยนะครับ
ขอเกริ่นที่มาของทริปนี้สักนิด เริ่มจากการอยากนั่งรถไฟฟรีไปที่ไหนสักที่ก่อนที่จะสิ้นสุดการให้บริการรถไฟฟรีวันที่ 31 ก.ค. 58 นี้ ก็เลยคุยกับรุ่นพี่ที่สนิทกันว่าจะไปที่ไหนกันดี ตอนแรกตกลงกันจะไปกาญจนบุรีแต่เส้นทางปิดปรับปรุงชั่คราวเลยอดไปตามระเบียบ สรุปจบที่ไปวังเวียงแทน
ความคิดแรกในหัวคือทำไมใครๆถึงไปวังเวียง ???
เข้ามาอุดหนุนความทรงจำกันได้ที่
IG : BANK_SUKPRASERT
FB : Bank S. Sukprasert
เราไปขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพง ขบวน 133 ออกเวลา 20.45 ถึงหนองคาย ประมาณ 9 โมงนิดๆ
ไปถึงหัวลำโพงก็นำบัตรประชาชนไปรับตั๋วฟรีที่ช่องรับตั๋ว
สถานีปลายทางคือหนองคาย
เราใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพถึงหนองคาย 13 ชั่วโมงโดยประมาณ
Day 1 : เมื่อถึงสถานีหนองคายแล้วเรานั่ง 3 ล้อไปบขส.หนองคายคนละ 50 บาท จากนั้นต่อรถไปเวียงจันทร์ คนละ 55 บาท ก่อนข้ามไปฝั่งลาวจะต้องผ่านด่านทั้งหมด 2 ด่านคือด่านไทยและด่านลาว ต้องเสียค่าผ่านด่าน 1000 กีบ หรือประมาณ 5 บาท
พอถึงเวียงจันทร์แล้วก็นั่งรถตู้ไปวังเวียง ราคา 400 บาท (แอบแพงเพราะจะมี 3 ล้อ มาตื้อมากๆเดินหนีก็เดินตาม เลยตามเขาเพราะบอกว่าไม่เสียตังแต่คงคิดรวมกันไปแล้วแต่ใช้เวลาเดินทางถึงวังเวียง 3.30 ชม.คิดซะว่าซื้อเวลาละกัน)
และแล้วเราก็มาถึงวังเวียงใช้เวลาทั้งสิ้น 18 ชั่วโมง เมื่อยมากกกกกกกกกกกกก... ทริปนี้อยู่เรา วังเวียง 4 วัน 3 คืน อยู่บนรถไฟอีก 1 คืน
เราถึงวังเวียงประมาณบ่าย 3 โมงของอีกวัน พอถึงก็เดินหาที่พักกัน เดินถามอยู่ 3-4 ที่แต่ไม่ถูกใจ เลยเดินมาเจอ Grandview Guesthouse คืนละ 600 แต่ถ้าวิวอีกฝั่งจะราคา 800 บาท
นี่คือวิวอีกฝั่งของที่พัก
พอได้ที่พักเราก็อาบน้ำ แปรงฟันกันเพราะตลอดระยะเวลา 18 ชั่วโมงไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากล้างหน้าในห้องน้ำรถไฟ แล้วก็ออกไปเดินสำรวจรอบๆที่พักเดินไปเรื่อยๆ ก็ไปสะดุดกับที่พักนึงสวยมากคือเวียงธาราวิลลาเลยเดินเข้าไปหาพนักงานเพื่อขอถ่ายรูป แต่พนักงานบอกว่าเข้าไม่ได้เฉพาะแขกที่มาพักเท่านั้น ก็ผมเราก็อ้อนอยู่สักพักจนพนักงานใจอ่อนขึ้นมาแต่มีข้อแม้ว่าห้ามเลยกระท่อมหลังแรกและห้ามส่งเสียงดังเพราะจะรบกวนแขกที่มาพัก
ที่พักที่นี่เงียบสงบมากๆ จะได้ยินเสียงนก เสียงจั๊กจั่นร้องกันให้ระงม
ก่อนอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
Day 2 : เราเช่ามอเตอร์ไซค์ 40,000 กีบหรือประมาณ 160 บาท (ไม่รวมเติมน้ำมันอีก 10,000 กีบ หรือ 40 บาท) เพื่อขี่ไปบลูลากูน
คำแนะนำสำหรับการขี่มอเตอร์ไซค์ไปบลูลากูนสิ่งที่ต้องเตรียมไปคือ หมวก แว่นกันแดด ครีมกันแดด เสื้อคลุม ผ้าปิดจมูก เพราะทางที่นี่จะฝุ่นเยอะมากถึงมากโครตๆ ถนนจะเป็นดินแดงผสมกับหิน ตอนเราไปซ้อน 3 กันไป เจ้าของร้านเช่าบอกว่าซ้อน 3 ไม่ได้ถ้าเกิดอะไรกับรถต้องรับผิดชอบเอง แต่เราก็รั้นไปกันจนได้ ระหว่างทางนี่ทั้งฝุ่น ทั้งแดด ทั้งหิน ขับรถได้ความเร็วเฉลี่ยแค่ประมาณ 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง กว่าจะไปถึงบลูลากูนผ้าปิดจมูกแดงทั้งผืน ระยะทางจากที่พักไปประมาณ 7 กิโลเมตรแต่สภาพถนนทำให้คิดว่าประมาณ 70 กิโลเมตรเลย
เอ่อ !!! ลืมบอกทริปนี้เราไปกันทั้งหมด 3 คนเป็นผู้ร่วมชะตากรรมครั้งนี้
ถึงแล้ว !!! บลูลากูนที่เขาร่ำลือนักร่ำลือหนา สวยสมคำร่ำลือจริงๆ น้ำเย็นเจี๊ยบใสแจ๋ว ฟ้ามากสมชื่อบลูลากุนเลย สำหรับค่าเขาบลูลากูนจะ 10,000 กีบ หรือ 40 บาทต่อคน
สภาพเหมือนติดไวรัสเมอร์ส
วันนี้เป็นวันเสาร์ทั้งท่องเที่ยวจะเยอะมาก โดยเฉพาะชาวเกาหลีไม่ว่าจะโอปป้าโอปลุง
ค่าเช่าห่วงยางกับเสื้อชูชีพที่นี่จะราคาอย่างละ 10,000 กีบ
ที่บลูลากูนจะมีที่กระโดดน้ำสองชั้น สำหรับคนชอบเสียวมากเชิญด้านบน ชอบเสียวน้อยเชิญด้านล่าง
ขอเก็บไว้เป็นความทรงจำหน่อยไหนๆก็มาแล้ว
ขอลองกระโดนหน่อย เห็นตอนฝรั่งกระโดดกรี๊ดกันจัง แต่พอเรากระโดดทำไมเงียบสงัด
หลังจากกลับจากบลูลากูนเราก็ไปต่อกันที่ถ้ำจังกับสะพานส้ม ค่าเข้าที่นี่จะ 3,000 กีบ หรือ 15 บาท
นี่เป็นน้ำที่ไหลมาจากในถ้ำก่อนทางที่จะขึ้นไปถ้ำจัง คนเล่นเยอะเหมือนกัน แต่เราไปถึงกัน 4 โมงกว่าๆเลยไม่ได้เดินขึ้นไปถ้ำจัง เพราะต้องเดินขึ้นและเสียค่าขึ้นอีก 15,000 กีบ ก็เลยคิดว่าไหนๆก็มาแล้วไม่ขึ้นมันดีกว่า 5555555
Day 3 : เราซื้อ One Day Trip ล่องเรือเข้าถ้ำกับพายเรือคายัค ในราคา 90,000 กีบ หรือ 360 บาท นั่งรถเพื่อไปยังจุดล่องห่วงยางแต่รถจะเข้าไปไม่ถึงต้อง เดินเลาะไปตามหมู่บ้านและคันนาของชาวบ้านเพื่อจะไปล่องห่วงยางเข้าถ้ำ
ก่อนที่จะล่องห่วงยางเข้าถ้ำจะมีไฟฉายคาดหัวให้เพราะข้างในจะมืดมาก
บรรยากาศภายในถ้ำจะมืดๆ น้ำจะเย็นมากและจะมีเชือกให้สาวไปเรื่อยๆ
หลังจากล่องห่วงยางเสร็จก็จะพักทานข้าว จะเป็นข้าวผัดเปล่าๆกับบาบีคิวและขนมปัง
ทานข้าวเสร็จก็เดินกลับมายังรถไปนั่งไปยังจุดปล่อยเรือคายัค จะต้องพายเป็นระยะทางทั้งหมด 8 กิโลเมตร และจะมีจุดพักเมื่อถึง 4 กิโลเมตรแรกเป็นบาร์ริมน้ำ แถวๆนี้จะมีบาร์เต็มไปหมด
และแล้วก็หายสงสัยว่าทำไมใครๆถึงไปวังเวียง
ขากลับเราจองรถกลับอุดรธานีกับทางโรงแรมราคา 400 บาท เพื่อไปต่อเครื่อง ซึ่งเราจองเครื่องของ Thai Lion Air ไว้ เรามาถึงอุดรฯ 4 โมงเย็น แต่จองเครื่องไว้ 4 ทุ่ม ทำไงละครับนอนมันสนามบินนี่แหละ
ขอบคุณสำหรับการรับชมครับ
[CR] เมื่อวังเวียง. . .ไม่วังเวง(อีกต่อไป)
ขอเกริ่นที่มาของทริปนี้สักนิด เริ่มจากการอยากนั่งรถไฟฟรีไปที่ไหนสักที่ก่อนที่จะสิ้นสุดการให้บริการรถไฟฟรีวันที่ 31 ก.ค. 58 นี้ ก็เลยคุยกับรุ่นพี่ที่สนิทกันว่าจะไปที่ไหนกันดี ตอนแรกตกลงกันจะไปกาญจนบุรีแต่เส้นทางปิดปรับปรุงชั่คราวเลยอดไปตามระเบียบ สรุปจบที่ไปวังเวียงแทน
ความคิดแรกในหัวคือทำไมใครๆถึงไปวังเวียง ???
เข้ามาอุดหนุนความทรงจำกันได้ที่
IG : BANK_SUKPRASERT
FB : Bank S. Sukprasert
เราไปขึ้นรถไฟที่สถานีหัวลำโพง ขบวน 133 ออกเวลา 20.45 ถึงหนองคาย ประมาณ 9 โมงนิดๆ
ไปถึงหัวลำโพงก็นำบัตรประชาชนไปรับตั๋วฟรีที่ช่องรับตั๋ว
สถานีปลายทางคือหนองคาย
เราใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพถึงหนองคาย 13 ชั่วโมงโดยประมาณ
Day 1 : เมื่อถึงสถานีหนองคายแล้วเรานั่ง 3 ล้อไปบขส.หนองคายคนละ 50 บาท จากนั้นต่อรถไปเวียงจันทร์ คนละ 55 บาท ก่อนข้ามไปฝั่งลาวจะต้องผ่านด่านทั้งหมด 2 ด่านคือด่านไทยและด่านลาว ต้องเสียค่าผ่านด่าน 1000 กีบ หรือประมาณ 5 บาท
พอถึงเวียงจันทร์แล้วก็นั่งรถตู้ไปวังเวียง ราคา 400 บาท (แอบแพงเพราะจะมี 3 ล้อ มาตื้อมากๆเดินหนีก็เดินตาม เลยตามเขาเพราะบอกว่าไม่เสียตังแต่คงคิดรวมกันไปแล้วแต่ใช้เวลาเดินทางถึงวังเวียง 3.30 ชม.คิดซะว่าซื้อเวลาละกัน)
และแล้วเราก็มาถึงวังเวียงใช้เวลาทั้งสิ้น 18 ชั่วโมง เมื่อยมากกกกกกกกกกกกก... ทริปนี้อยู่เรา วังเวียง 4 วัน 3 คืน อยู่บนรถไฟอีก 1 คืน
เราถึงวังเวียงประมาณบ่าย 3 โมงของอีกวัน พอถึงก็เดินหาที่พักกัน เดินถามอยู่ 3-4 ที่แต่ไม่ถูกใจ เลยเดินมาเจอ Grandview Guesthouse คืนละ 600 แต่ถ้าวิวอีกฝั่งจะราคา 800 บาท
นี่คือวิวอีกฝั่งของที่พัก
พอได้ที่พักเราก็อาบน้ำ แปรงฟันกันเพราะตลอดระยะเวลา 18 ชั่วโมงไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากล้างหน้าในห้องน้ำรถไฟ แล้วก็ออกไปเดินสำรวจรอบๆที่พักเดินไปเรื่อยๆ ก็ไปสะดุดกับที่พักนึงสวยมากคือเวียงธาราวิลลาเลยเดินเข้าไปหาพนักงานเพื่อขอถ่ายรูป แต่พนักงานบอกว่าเข้าไม่ได้เฉพาะแขกที่มาพักเท่านั้น ก็ผมเราก็อ้อนอยู่สักพักจนพนักงานใจอ่อนขึ้นมาแต่มีข้อแม้ว่าห้ามเลยกระท่อมหลังแรกและห้ามส่งเสียงดังเพราะจะรบกวนแขกที่มาพัก
ที่พักที่นี่เงียบสงบมากๆ จะได้ยินเสียงนก เสียงจั๊กจั่นร้องกันให้ระงม
ก่อนอาทิตย์จะลับขอบฟ้า
Day 2 : เราเช่ามอเตอร์ไซค์ 40,000 กีบหรือประมาณ 160 บาท (ไม่รวมเติมน้ำมันอีก 10,000 กีบ หรือ 40 บาท) เพื่อขี่ไปบลูลากูน
คำแนะนำสำหรับการขี่มอเตอร์ไซค์ไปบลูลากูนสิ่งที่ต้องเตรียมไปคือ หมวก แว่นกันแดด ครีมกันแดด เสื้อคลุม ผ้าปิดจมูก เพราะทางที่นี่จะฝุ่นเยอะมากถึงมากโครตๆ ถนนจะเป็นดินแดงผสมกับหิน ตอนเราไปซ้อน 3 กันไป เจ้าของร้านเช่าบอกว่าซ้อน 3 ไม่ได้ถ้าเกิดอะไรกับรถต้องรับผิดชอบเอง แต่เราก็รั้นไปกันจนได้ ระหว่างทางนี่ทั้งฝุ่น ทั้งแดด ทั้งหิน ขับรถได้ความเร็วเฉลี่ยแค่ประมาณ 10 กิโลเมตร/ชั่วโมง กว่าจะไปถึงบลูลากูนผ้าปิดจมูกแดงทั้งผืน ระยะทางจากที่พักไปประมาณ 7 กิโลเมตรแต่สภาพถนนทำให้คิดว่าประมาณ 70 กิโลเมตรเลย
เอ่อ !!! ลืมบอกทริปนี้เราไปกันทั้งหมด 3 คนเป็นผู้ร่วมชะตากรรมครั้งนี้
ถึงแล้ว !!! บลูลากูนที่เขาร่ำลือนักร่ำลือหนา สวยสมคำร่ำลือจริงๆ น้ำเย็นเจี๊ยบใสแจ๋ว ฟ้ามากสมชื่อบลูลากุนเลย สำหรับค่าเขาบลูลากูนจะ 10,000 กีบ หรือ 40 บาทต่อคน
สภาพเหมือนติดไวรัสเมอร์ส
วันนี้เป็นวันเสาร์ทั้งท่องเที่ยวจะเยอะมาก โดยเฉพาะชาวเกาหลีไม่ว่าจะโอปป้าโอปลุง
ค่าเช่าห่วงยางกับเสื้อชูชีพที่นี่จะราคาอย่างละ 10,000 กีบ
ที่บลูลากูนจะมีที่กระโดดน้ำสองชั้น สำหรับคนชอบเสียวมากเชิญด้านบน ชอบเสียวน้อยเชิญด้านล่าง
ขอเก็บไว้เป็นความทรงจำหน่อยไหนๆก็มาแล้ว
ขอลองกระโดนหน่อย เห็นตอนฝรั่งกระโดดกรี๊ดกันจัง แต่พอเรากระโดดทำไมเงียบสงัด
หลังจากกลับจากบลูลากูนเราก็ไปต่อกันที่ถ้ำจังกับสะพานส้ม ค่าเข้าที่นี่จะ 3,000 กีบ หรือ 15 บาท
นี่เป็นน้ำที่ไหลมาจากในถ้ำก่อนทางที่จะขึ้นไปถ้ำจัง คนเล่นเยอะเหมือนกัน แต่เราไปถึงกัน 4 โมงกว่าๆเลยไม่ได้เดินขึ้นไปถ้ำจัง เพราะต้องเดินขึ้นและเสียค่าขึ้นอีก 15,000 กีบ ก็เลยคิดว่าไหนๆก็มาแล้วไม่ขึ้นมันดีกว่า 5555555
Day 3 : เราซื้อ One Day Trip ล่องเรือเข้าถ้ำกับพายเรือคายัค ในราคา 90,000 กีบ หรือ 360 บาท นั่งรถเพื่อไปยังจุดล่องห่วงยางแต่รถจะเข้าไปไม่ถึงต้อง เดินเลาะไปตามหมู่บ้านและคันนาของชาวบ้านเพื่อจะไปล่องห่วงยางเข้าถ้ำ
ก่อนที่จะล่องห่วงยางเข้าถ้ำจะมีไฟฉายคาดหัวให้เพราะข้างในจะมืดมาก
บรรยากาศภายในถ้ำจะมืดๆ น้ำจะเย็นมากและจะมีเชือกให้สาวไปเรื่อยๆ
หลังจากล่องห่วงยางเสร็จก็จะพักทานข้าว จะเป็นข้าวผัดเปล่าๆกับบาบีคิวและขนมปัง
ทานข้าวเสร็จก็เดินกลับมายังรถไปนั่งไปยังจุดปล่อยเรือคายัค จะต้องพายเป็นระยะทางทั้งหมด 8 กิโลเมตร และจะมีจุดพักเมื่อถึง 4 กิโลเมตรแรกเป็นบาร์ริมน้ำ แถวๆนี้จะมีบาร์เต็มไปหมด
และแล้วก็หายสงสัยว่าทำไมใครๆถึงไปวังเวียง
ขากลับเราจองรถกลับอุดรธานีกับทางโรงแรมราคา 400 บาท เพื่อไปต่อเครื่อง ซึ่งเราจองเครื่องของ Thai Lion Air ไว้ เรามาถึงอุดรฯ 4 โมงเย็น แต่จองเครื่องไว้ 4 ทุ่ม ทำไงละครับนอนมันสนามบินนี่แหละ
ขอบคุณสำหรับการรับชมครับ
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น