"纪念花木兰;要学秦良玉" "จี้เนี่ยนฮัวมู่หลาน เย่าเสวียฉินเหลียงอวี้"
หากฮัวมู่หลานยังเป็นที่ระลึกจดจำ ย่อมสมควรศึกษาเรื่องราวของฉินเหลียงอวี้
นี่เป็นวาทะของเฝิงอวี้เสียง ขุนศึกผู้รักชาติของจีนในยุคขุนศึก หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองจากระบอบกษัตริย์ ไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ กล่าวถึง "จอมทัพหญิง" ในตำนานของจีนสองคน
คือ ฮัวมู่หลาน กับ ฉินเหลียงอวี้
ฉินเหลียงอวี้
มีชีวิตอยู่ราว ค.ศ.1574 - 1648 เป็นชาวเมืองจงโจว มณฑลเสฉวน ปัจจุบันคืออำเภอจงเสี้ยน
นครฉงชิ่ง นางกับผู้เป็นสามีคือ "หม่าเชียนเฉิง" พร้อมด้วยพี่ชายของนางคือ "ฉินปังผิง" กับน้องชายคือ "ฉินหมินผิง"
และบุตรชายคือ "หม่าเสียงหลิน" ต่างรับราชการเป็นนายทหารในช่วงปลายราชวงศ์หมิง ได้สร้างวีรกรรมในสนามรบมามากมาย
ทั้งในการปราบปรามความไม่สงบทางใต้ การสู้รบกับแมนจูที่เหลียวตงทั้งยังเคยนำทัพปกป้องเมืองหลวงในช่วงที่กองทัพของ
หวงไท่จี๋แห่งแมนจูยกทัพบุกประชิดปักกิ่งในปี ค.ศ.1644 จางเซี่ยนจงลุกฮือก่อกบฎต่อราชวงศ์หมิง นำทัพโจมตีเสฉวน เขา
พยายามเกลี้ยกล่อมให้ฉินเหลียงอวี้ยอมจำนนแก่ตน
ฉินเหลียงอวี้ตอบกลับจนกลายเป็นวาทะอันโด่งดังว่า
" 我兄弟二人都战死沙场,我一个妇人,受国恩二十年。到现在这种地步,也敢与贼势不两立"
(พี่น้องของข้าทั้งสองคน ต่างพลีชีพในสมรภูมิกลางทะเลทรายกันดาร เพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง ตัวข้าเองนั้น ก็ตะลุยในสนามรบ
สร้างความชอบแก่แผ่นดินมากว่า 20 ปี ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะให้ข้ายอมจำนนกับพวกโจรกบฏหรือ?)
จางเซี่ยนจงเมื่อเห็นว่านางยืนกรานต่อสู้จนถึงที่สุด ทั้งยังจัดวางกำลังรักษาการณ์อย่างเข้มแข็ง ก้เลยไม่กล้าบุก
ตีอย่างผลีผลาม ได้แต่หลีกทางไปโจมตีที่อื่นต่อไปฉินเหลียงอวี้ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1646 หลังจากที่จางเซี่ยนจง
ถูกทหารแมนจูฆ่าตาย ราชวงศ์หมิงถูกหลี่จื้อเฉิงโค่นล้มไป ด้วยจิตใจอันเศร้ารันทดที่มิอาจปกป้องบ้านเมือง
ที่ตนรักได้ ฉินเหลียงอวี๋ ถึงแก่กรรมด้วยวัย 75 ปี ในปี 1648
วีรสตรีหญิง ฉินเหลียงอวี๋
หากฮัวมู่หลานยังเป็นที่ระลึกจดจำ ย่อมสมควรศึกษาเรื่องราวของฉินเหลียงอวี้
นี่เป็นวาทะของเฝิงอวี้เสียง ขุนศึกผู้รักชาติของจีนในยุคขุนศึก หลังการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองจากระบอบกษัตริย์ ไปสู่ระบอบสาธารณรัฐ กล่าวถึง "จอมทัพหญิง" ในตำนานของจีนสองคน
คือ ฮัวมู่หลาน กับ ฉินเหลียงอวี้
ฉินเหลียงอวี้
มีชีวิตอยู่ราว ค.ศ.1574 - 1648 เป็นชาวเมืองจงโจว มณฑลเสฉวน ปัจจุบันคืออำเภอจงเสี้ยน
นครฉงชิ่ง นางกับผู้เป็นสามีคือ "หม่าเชียนเฉิง" พร้อมด้วยพี่ชายของนางคือ "ฉินปังผิง" กับน้องชายคือ "ฉินหมินผิง"
และบุตรชายคือ "หม่าเสียงหลิน" ต่างรับราชการเป็นนายทหารในช่วงปลายราชวงศ์หมิง ได้สร้างวีรกรรมในสนามรบมามากมาย
ทั้งในการปราบปรามความไม่สงบทางใต้ การสู้รบกับแมนจูที่เหลียวตงทั้งยังเคยนำทัพปกป้องเมืองหลวงในช่วงที่กองทัพของ
หวงไท่จี๋แห่งแมนจูยกทัพบุกประชิดปักกิ่งในปี ค.ศ.1644 จางเซี่ยนจงลุกฮือก่อกบฎต่อราชวงศ์หมิง นำทัพโจมตีเสฉวน เขา
พยายามเกลี้ยกล่อมให้ฉินเหลียงอวี้ยอมจำนนแก่ตน
ฉินเหลียงอวี้ตอบกลับจนกลายเป็นวาทะอันโด่งดังว่า
" 我兄弟二人都战死沙场,我一个妇人,受国恩二十年。到现在这种地步,也敢与贼势不两立"
(พี่น้องของข้าทั้งสองคน ต่างพลีชีพในสมรภูมิกลางทะเลทรายกันดาร เพื่อปกป้องชาติบ้านเมือง ตัวข้าเองนั้น ก็ตะลุยในสนามรบ
สร้างความชอบแก่แผ่นดินมากว่า 20 ปี ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะให้ข้ายอมจำนนกับพวกโจรกบฏหรือ?)
จางเซี่ยนจงเมื่อเห็นว่านางยืนกรานต่อสู้จนถึงที่สุด ทั้งยังจัดวางกำลังรักษาการณ์อย่างเข้มแข็ง ก้เลยไม่กล้าบุก
ตีอย่างผลีผลาม ได้แต่หลีกทางไปโจมตีที่อื่นต่อไปฉินเหลียงอวี้ถึงแก่กรรมในปี ค.ศ.1646 หลังจากที่จางเซี่ยนจง
ถูกทหารแมนจูฆ่าตาย ราชวงศ์หมิงถูกหลี่จื้อเฉิงโค่นล้มไป ด้วยจิตใจอันเศร้ารันทดที่มิอาจปกป้องบ้านเมือง
ที่ตนรักได้ ฉินเหลียงอวี๋ ถึงแก่กรรมด้วยวัย 75 ปี ในปี 1648