ยาวไปนิด .. แต่คุณจะได้เปิดความคิดดีๆ
เมื่อวันก่อน เรามีเวลาว่างมากพอจากงานที่ทำอยู่ประจำ จึงเปิดเว็บไซต์ต่างๆมากมายและหาดูหนัง หรือละครดีๆที่น่าสนใจ
รวมถึง...การ์ตูน ที่สมัยเด็กๆเคยดู พอได้ย้อนกลับมาดูอีกครั้ง ทำให้รู้สึกคิดถึงตัวเองในตอนนั้น และอยากจะแชร์ความรู้สึกในตอนนี้...
หนึ่งในการ์ตูนที่เราดู และคิดว่าทุกคนคงรู้จักกันดี นั่นคือ "โดราเอม่อน"
เจ้าหุ่นยนต์แมวสีฟ้า ตัวอ้วนกลม ที่หน้าท้องมีกระเป๋าวิเศษมากมายเพื่อนำมาช่วยโนบิ โนบิตะ เด็กชายซึ่งถูกรังแกอยู่เป็นประจำ...
ในขณะที่ search ว่า โดเรม่อน ตอนจบ ก็ได้เจอ Plot เรื่องหลายรูปแบบ (ซึ่งจริงๆแล้ว ตอนจบโดเรม่อน จากผู้เขียนจริงๆนั้นไม่มี ที่นำมาเล่านี้เป็นเพียงตอนจบของ fanmade หรือจากที่ใดๆก็ตามค่ะ)
แต่ที่ประทับใจก็คือ ตอนที่โดเรม่อนเหมือนจะมีปัญหากับระบบเครื่องกล ประมาณว่าแบตเตอรี่หมด ซึ่งทางแก้มี 2 ทาง นั่นคือนำโดเรม่อนส่งไปในโลกอนาคตเพื่อส่งช่างซ่อม แต่ความจำของโดเรม่อนจะไม่กลับมาอีก และอีกทางคือ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ รอให้โลกเรามีวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สามารถนำมาช่วยโดเรม่อนได้ ... โนบิตะเลือกทางหลัง และสุดท้ายคือตัวเขานั่นเองที่เป็นคนซ่อมแซมโดเรม่อนให้กลับมาได้เหมือนเดิม...
ถึงตรงนี้ คนอ่านคงจะงงว่า เราเล่าทำไม...
แต่หลังจากดูการ์ตูนเรื่องนี้แล้ว มันทำให้เรากลับมานั่งคิดต่อ ... เหตุผลหนึ่งที่เด็กๆหรือวัยรุ่นต่างติดใจตัวการ์ตูนโดเรม่อนก็เพราะ ของวิเศษที่มีหลากหลายในแต่ละตอนซึ่งนำเสนอในรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน ... จริงๆเราอาจจะลืมไปว่า แม้ชีวิตจริงเราไม่มีโดเรม่อน แต่.. เราทุกคนสามารถเป็นโดเรม่อนได้
โดเรม่อนมีกระเป๋าวิเศษหน้าท้อง ... เราก็มีได้ แม้มันอาจจะไม่ใช่ Time machine ที่ทำให้ย้อนเวลา หรือประตูที่ไปไหนก็ได้ แต่สิ่งที่เรามีนั่นคือคุณสมบัติสุดท้ายที่โนบิตะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้โดเรม่อนกลับมา ของวิเศษนั่นคือ “ความเพียร พยายาม” ของสิ่งนี้มีอยู่กับทุกคน ขึ้นอยู่กลับว่าใครจะเอามันมาใช้ได้เร็ว หรือช้า หรือบางคนอาจไม่หยิบมันออกมาใช้เลย
ดั่งที่เขาว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น “ ในขณะที่เดียวกันก็มีคำกล่าวมาล้อว่า “ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น” คือพยายามต่อไปแค่ไหน อย่างไรก็ไม่สำเร็จ แต่… อย่าลืมว่า ทุกความสำเร็จล้วนเกิดจากความพยายาม ทุกครั้งที่เราได้ลองพยายามทำอะไรแล้ว ไม่สำเร็จ สำหรับเรา เราคิดว่ามันสำเร็จไปหนึ่งขั้น เพราะเรากำลังค้นพบวิธีที่ผิด และครั้งต่อๆไป ก็จะทำวิธีอื่น ที่จะถูกต้อง ให้ได้
ถึงตรงนี้ เราคิดว่าการที่เราไม่มีของวิเศษแบบโดเรม่อนนั้นดีด้วยซ้ำ ดีอย่างไรหรือ ท่านลองคิดดู…
การที่เราไม่มี Time machine ให้ย้อนเวลานั่นจะสอนให้เรารู้จักคุณค่าของเวลา รู้ว่าเราจะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไม่ได้ ทุกคนเกิดมาเพื่อมีจุดหมาย และทะยานไปให้ถึง และสอนให้เรารู้จักคิดอย่างมีสติก่อนที่จะทำสิ่งใด เพราะเวลาไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้
การที่เราไม่มี ประตูไปที่ไหนก็ได้ นั่นจะสอนให้เรารู้จักอดทนรอ รอเวลาไหนน่ะหรอ .. คนกรุงเทพคงจะรู้ดี เวลารถติดยามสายๆหรือหลังเลิกงาน เพราะเราไม่สามารถไปได้ทุกที่ที่เราอยากไป การที่จะอยากไปไหน ต้องอดทนรอ รอให้เหมาะกับเวลา เหมาะกับสถานการณ์ และเหมาะกับบุคคล
การที่เราไม่มีวุ้นแปลภาษา (วุ้นแปลภาษาจะทำให้สามารถฟังคนที่พูดภาษาอื่นรู้เรื่อง รวมทั้งสามารถสื่อสารกับคนๆ นั้นได้ด้วย )นั่นสอนให้เรารู้ว่าการที่เราจะพูดคุยกับใคร ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่น การพูดกับชาวต่างชาติ เราต้องฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน จึงจะเข้าใจภาษา วัฒนธรรม และ เข้าใจคน ได้ด้วย
… เล่าถึงตรงนี้ ก็หวังว่าความคิดของเราเพียงน้อยนิด จะจุดประกายให้ใครก็ตามเริ่มอยากจะเอาของวิเศษของตัวเองมาใช้ มันไม่ใช่แค่เพียง “ความพยายาม” หรอก แต่ละคนมีของวิเศษอีกมากมาย ที่รอคุณนำมันออกมาใช้ … หามันให้เจอ และใช้มันในทางที่ถูกนะคะ : )
เชื่อไหมว่า คนเรามีของวิเศษ(กว่า)เหมือนโดราเอม่อน ? :) แอบ spoil ตอนจบโดเรม่อน
เมื่อวันก่อน เรามีเวลาว่างมากพอจากงานที่ทำอยู่ประจำ จึงเปิดเว็บไซต์ต่างๆมากมายและหาดูหนัง หรือละครดีๆที่น่าสนใจ
รวมถึง...การ์ตูน ที่สมัยเด็กๆเคยดู พอได้ย้อนกลับมาดูอีกครั้ง ทำให้รู้สึกคิดถึงตัวเองในตอนนั้น และอยากจะแชร์ความรู้สึกในตอนนี้...
หนึ่งในการ์ตูนที่เราดู และคิดว่าทุกคนคงรู้จักกันดี นั่นคือ "โดราเอม่อน"
เจ้าหุ่นยนต์แมวสีฟ้า ตัวอ้วนกลม ที่หน้าท้องมีกระเป๋าวิเศษมากมายเพื่อนำมาช่วยโนบิ โนบิตะ เด็กชายซึ่งถูกรังแกอยู่เป็นประจำ...
ในขณะที่ search ว่า โดเรม่อน ตอนจบ ก็ได้เจอ Plot เรื่องหลายรูปแบบ (ซึ่งจริงๆแล้ว ตอนจบโดเรม่อน จากผู้เขียนจริงๆนั้นไม่มี ที่นำมาเล่านี้เป็นเพียงตอนจบของ fanmade หรือจากที่ใดๆก็ตามค่ะ)
แต่ที่ประทับใจก็คือ ตอนที่โดเรม่อนเหมือนจะมีปัญหากับระบบเครื่องกล ประมาณว่าแบตเตอรี่หมด ซึ่งทางแก้มี 2 ทาง นั่นคือนำโดเรม่อนส่งไปในโลกอนาคตเพื่อส่งช่างซ่อม แต่ความจำของโดเรม่อนจะไม่กลับมาอีก และอีกทางคือ ปล่อยให้เป็นแบบนี้ รอให้โลกเรามีวิวัฒนาการทางเทคโนโลยีที่สามารถนำมาช่วยโดเรม่อนได้ ... โนบิตะเลือกทางหลัง และสุดท้ายคือตัวเขานั่นเองที่เป็นคนซ่อมแซมโดเรม่อนให้กลับมาได้เหมือนเดิม...
ถึงตรงนี้ คนอ่านคงจะงงว่า เราเล่าทำไม...
แต่หลังจากดูการ์ตูนเรื่องนี้แล้ว มันทำให้เรากลับมานั่งคิดต่อ ... เหตุผลหนึ่งที่เด็กๆหรือวัยรุ่นต่างติดใจตัวการ์ตูนโดเรม่อนก็เพราะ ของวิเศษที่มีหลากหลายในแต่ละตอนซึ่งนำเสนอในรูปแบบที่ไม่ซ้ำกัน ... จริงๆเราอาจจะลืมไปว่า แม้ชีวิตจริงเราไม่มีโดเรม่อน แต่.. เราทุกคนสามารถเป็นโดเรม่อนได้
โดเรม่อนมีกระเป๋าวิเศษหน้าท้อง ... เราก็มีได้ แม้มันอาจจะไม่ใช่ Time machine ที่ทำให้ย้อนเวลา หรือประตูที่ไปไหนก็ได้ แต่สิ่งที่เรามีนั่นคือคุณสมบัติสุดท้ายที่โนบิตะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้โดเรม่อนกลับมา ของวิเศษนั่นคือ “ความเพียร พยายาม” ของสิ่งนี้มีอยู่กับทุกคน ขึ้นอยู่กลับว่าใครจะเอามันมาใช้ได้เร็ว หรือช้า หรือบางคนอาจไม่หยิบมันออกมาใช้เลย
ดั่งที่เขาว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จย่อมอยู่ที่นั่น “ ในขณะที่เดียวกันก็มีคำกล่าวมาล้อว่า “ ความพยายามอยู่ที่ไหน ความพยายามอยู่ที่นั่น” คือพยายามต่อไปแค่ไหน อย่างไรก็ไม่สำเร็จ แต่… อย่าลืมว่า ทุกความสำเร็จล้วนเกิดจากความพยายาม ทุกครั้งที่เราได้ลองพยายามทำอะไรแล้ว ไม่สำเร็จ สำหรับเรา เราคิดว่ามันสำเร็จไปหนึ่งขั้น เพราะเรากำลังค้นพบวิธีที่ผิด และครั้งต่อๆไป ก็จะทำวิธีอื่น ที่จะถูกต้อง ให้ได้
ถึงตรงนี้ เราคิดว่าการที่เราไม่มีของวิเศษแบบโดเรม่อนนั้นดีด้วยซ้ำ ดีอย่างไรหรือ ท่านลองคิดดู…
การที่เราไม่มี Time machine ให้ย้อนเวลานั่นจะสอนให้เรารู้จักคุณค่าของเวลา รู้ว่าเราจะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยไม่ได้ ทุกคนเกิดมาเพื่อมีจุดหมาย และทะยานไปให้ถึง และสอนให้เรารู้จักคิดอย่างมีสติก่อนที่จะทำสิ่งใด เพราะเวลาไม่สามารถย้อนกลับคืนมาได้
การที่เราไม่มี ประตูไปที่ไหนก็ได้ นั่นจะสอนให้เรารู้จักอดทนรอ รอเวลาไหนน่ะหรอ .. คนกรุงเทพคงจะรู้ดี เวลารถติดยามสายๆหรือหลังเลิกงาน เพราะเราไม่สามารถไปได้ทุกที่ที่เราอยากไป การที่จะอยากไปไหน ต้องอดทนรอ รอให้เหมาะกับเวลา เหมาะกับสถานการณ์ และเหมาะกับบุคคล
การที่เราไม่มีวุ้นแปลภาษา (วุ้นแปลภาษาจะทำให้สามารถฟังคนที่พูดภาษาอื่นรู้เรื่อง รวมทั้งสามารถสื่อสารกับคนๆ นั้นได้ด้วย )นั่นสอนให้เรารู้ว่าการที่เราจะพูดคุยกับใคร ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่น การพูดกับชาวต่างชาติ เราต้องฝึกฝน ฝึกฝน และฝึกฝน จึงจะเข้าใจภาษา วัฒนธรรม และ เข้าใจคน ได้ด้วย
… เล่าถึงตรงนี้ ก็หวังว่าความคิดของเราเพียงน้อยนิด จะจุดประกายให้ใครก็ตามเริ่มอยากจะเอาของวิเศษของตัวเองมาใช้ มันไม่ใช่แค่เพียง “ความพยายาม” หรอก แต่ละคนมีของวิเศษอีกมากมาย ที่รอคุณนำมันออกมาใช้ … หามันให้เจอ และใช้มันในทางที่ถูกนะคะ : )