วั ง เ วี ย ง ทริปผจญภัย (เล็กๆ) ของคนว่ายน้ำไม่เป็น

สวัสดีค่ะ เมื่อช่วงวันหยุดวันวิสาขบูชาที่ผ่านมาเราไปเที่ยวที่วังเวียงมา ก็เลยอยากจะมาแชร์ประสบการณ์ว่าคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นแล้วก็ลอยตัวไม่ได้อย่างเราไปทำอะไรมาบ้างที่วังเวียง เมืองที่มีชื่อเสียงเรื่องกิจกรรมทางน้ำซะเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะล่องห่วงยางหรือทูบปิ้งที่น่าจะเป็นครั้งแรกแล้วก็ครั้งเดียวในชีวิตเรา

แต่ก่อนอื่นเราต้องออกตัวก่อนว่ารีวิวนี้รูปอาจจะไม่เยอะและคงไม่มีรายละเอียดเรื่องค่าใช้จ่าย เพราะตอนแรกเราคิดว่าจะไม่เขียนรีวิวและกิจกรรมส่วนใหญ่จะต้องเปียกน้ำก็เลยไม่ค่อยได้หยิบกล้องขึ้นมาเท่าไหร่ แต่พอคิดๆ ดูแล้ว ถ้ารีวิวทิ้งไว้และได้กลับมาอ่านอีกครั้งก็คงจะทำให้ยิ้มได้ เพราะทริปนี้เป็นหนึ่งในทริปที่ตื่นเต้นที่สุดในชีวิต


ทริปนี้ผิดแผนตั้งแต่ยังไม่ได้ออกเดินทาง

งานที่คิดว่าน่าจะเคลียร์ได้ก็มามีปัญหาตอนใกล้เลิกงาน พอจะรีบกลับไปเก็บกระเป๋าก็ดันเจอรถติดมาก เพราะเป็นศุกร์สิ้นเดือนแล้วก็วันหยุดยาว รถทัวร์ที่น่าจะมาถึงจุดที่เราขึ้นก่อนสี่ทุ่มก็มาเกือบเที่ยงคืน วันนั้นเป็นตอนจบของสุดแค้นแสนรักด้วย เซ็งมาก อดดูละครแล้วยังต้องมานั่งรอรถจนจะหลับอีก



ตามแผนเราจะต้องไปถึงบขส. อุดรธานีก่อนตีห้า แต่ในความเป็นจริงแล้วเราไปถึงตอน 7 โมงกว่า เราเข้าแถวซื้อตั๋วอุดรธานี – วังเวียงได้ไม่ถึง 5 นาทีก็มีเสียงตะโกนมาว่า ‘ตั๋วเต็ม’ แล้ว สุดท้ายเราก็เลยต้องเปลี่ยนแผนซื้อตั๋วไปเวียงจันทน์แทน ส่วนรถที่จะต่อไปวังเวียงค่อยว่าอีกกันที


รถไปเวียงจันทน์ของเราเป็นรอบเก้าโมงเช้า เราก็เลยมีเวลาไปหาอะไรกินที่หน้าบขส. มาถึงอุดรธานีทั้งทีก็ต้องไม่พลาดเมนูขึ้นชื่ออย่างไข่กระทะ ไข่กระทะร้อนๆ กับชานมอุ่นๆ ทำเรานั่งเพลินจนเกือบจะตกรถเลยทีเดียว


จากอุดรธานีไปถึงด่านสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (หนองคาย-เวียงจันทน์) จะใช้เวลาประมาณ 1.15 ชั่วโมง สำหรับขั้นตอนการผ่านแดนก็ง่ายๆ ใช้แค่พาสปอร์ตกับบัตรขาเข้า หลังจากยื่นเอกสารเสร็จแล้วก็ไปซื้อ One Way Ticket ช่วงนั้นพนักงานบนรถจะลงมาช่วยแนะนำเราด้วย


เนื่องจากมีคนจะต่อรถไปวังเวียงเยอะมาก พนักงานบนรถของบขส. เลยแนะนำรถเหมาให้ในราคาคนละ 350 บาท ก่อนที่จะถึงเวียงจันทน์เราก็เลยต้องเปลี่ยนเป็นรถมินิบัส แต่ปรากฎว่าจำนวนคนกับจำนวนที่นั่งไม่พอดีกัน มีคนไม่มีที่นั่งสองคน เราไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเกิดจากการนับจำนวนผิดหรือมีคนตั้งใจกันแน่



หลังจากที่ใช้เวลาเดินทางเกือบ 7 ชั่วโมงจนปอดกับไส้แทบมากองรวมกัน ราวๆ สี่โมงเย็นเราก็มาถึงวังเวียงจนได้ รถมินินัสจอดส่งเราที่ด้านหน้า Malany Villa ที่ฝั่งตรงข้ามจะมีร้านแลกเงินอยู่ เราสามารถเปลี่ยนเงินหลักพันให้เป็นเงินแสนได้ที่นี่เลย

ทริปนี้เราไม่ได้จองที่พักมาก่อน เพราะฉะนั้นภารกิจแรกที่ต้องทำก็คือหาที่ซุกหัวนอน เอ้ย ที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยซะก่อน เราเดินตามคนอื่นๆ ไปทางริมน้ำ แล้วก็สะดุดตากับป้ายด้านหน้า ‘เฮือนพักเวียงวิไล’ ที่ห้องพัดลมราคาแค่ 60,000 กีบหรือ 240 บาทเท่านั้น เรารีบตรงดิ่งเข้าไปที่เคาน์เตอร์ทันที แต่ห้องราคานี้ไม่มีแล้ว เพราะกำลังปรับปรุงอยู่

อ้ายเจ้าของเฮือนพักเสนอห้องแอร์ราคา 480 บาทมาให้ ก่อนจะพาเราไปดูห้อง ห้องกว้าง แล้วก็มีห้องน้ำในตัว แต่ตอนนั้นเราอยากได้ราคาถูกกว่านี้ก็เลยยังไม่ได้ตัดสินใจ


เป้าหมายต่อไปของเราคือ Popular View Guesthouse ที่อยู่ริมแม่น้ำซอง ตอนแรกที่เราถามราคาเจ้าของเกสต์เฮาส์บอกว่าห้องละ 600 บาท แล้วอยู่ดีๆ ก็ลดเหลือ 500 บาท เพราะว่าไม่มีน้ำ

ไม่มีน้ำ!

ตอนแรกเราคิดว่าตัวเองฟังผิดก็เลยถามซ้ำอีกรอบ ปรากฏว่าเย็นวันนั้นที่วังเวียงน้ำไม่ไหลทั้งเมือง เยี่ยมมากเลยจ้า มาถึงวันแรกก็น้ำไม่ไหล เรานั่งรถมาหนึ่งคืนกับอีกหนึ่งวันเต็มๆ ถ้าไม่ได้อาบน้ำอีก กลิ่นคงจะหอมชื่นใจ แล้วเจ้าของเกสต์เฮาส์ก็พูดง่ายมากว่าให้ไปอาบน้ำในแม่น้ำแทน

เฮ้ย! คือเราก็ไม่ได้เตรียมผ้าถุงไปตีโป่งซะด้วยสิ

เราเดินไปดูที่พักที่อยู่ริมน้ำด้วย แต่คิดว่าราคาน่าจะแพง สุดท้ายก็เลยเดินกลับมาที่เฮือนพักเวียงวิไล แต่ว่าเลือกห้องพัดลมคืนละ 360 บาทแทน ความแตกต่างของห้องแอร์ที่เราดูตอนแรกกับห้องพัดลมที่เราเลือกมีอยู่จุดเดียวจริงๆ คือ ไม่มีรีโมทแอร์กับทีวี แถมเรายังได้ห้องริมสุดที่เห็นวิวภูเขาด้วย คุ้มมาก

อ้อ จะบอกว่าที่นี่มีถังน้ำสำรองนะจ๊ะ คืนนั้นเรามีน้ำอาบแน่นอนแล้ว 99.99% (อีก 1% เผื่อใจว่าน้ำอาจจะหมดก่อน)



หลังจากเก็บกระเป๋าและล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยแล้ว เราก็ไปเดินเล่นที่ริมแม่น้ำซอง ซึ่งอยู่ห่างจากเฮือนพักเวียงวิไลไม่ถึง 5 นาที ใครมาวังเวียงก็ต้องมาถ่ายรูปตรงสะพานไม้ที่นี่ แต่มันก็สวยจริงๆ แม่น้ำ ภูเขา โอ้ย! ฟินสุดๆ ค่อยคุ้มกับที่นั่งรถมาทั้งวันหน่อย




แต่ตอนที่ยืนอยู่บนสะพานแล้วเห็นเรือคายัคจำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามาแต่ไกล เราขำมาก เห็นแล้วนึกถึงฉากในละครตอนที่กองทัพเรืออโยธยากำลังจะไปโจมตีข้าศึก


เรากลับมาที่เฮือนพักเวียงวิไลอีกครั้งเพื่อจอง One Day Tour สำหรับวันรุ่งขึ้นและตั๋วรถขากลับไปอุดรธานี ถ้าไม่อยากต่อรถหลายต่อเราแนะนำว่าให้จองตั๋วขากลับตั้งแต่วันแรกที่ไปถึง ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องนั่งรถไปเวียงจันทน์หรือหนองคายแทน


คืนแรกเราปิดท้ายที่ Sakura Bar ร้านเหล้าที่ใครๆ ก็พูดถึงเมื่อมาเที่ยววังเวียง ตอนที่เราไปประมานเกือบๆ 2 ทุ่ม ร้านยังโล่งอยู่ มีคนนั่งอยู่แค่ 3-4 โต๊ะเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ก็น่าจะเป็นคนไทยนี่แหละ แต่พอซัก 2 ทุ่มครึ่ง ร้านก็เริ่มแน่น บรรดานักดื่มเริ่มทยอยมาเหมือนนัดเวลากันไว้


นอกจากฝรั่งตาน้ำข้าวแล้ว เราจะเห็นคนเกาหลีที่วังเวียงเยอะมาก เราสงสัยก็เลยไปถามเพื่อนที่อยู่เกาหลีใต้ได้ความว่า มีซุปตาร์เกาหลีมาถ่ายรายการที่นี่ก็เลยมีคนตามมาเที่ยว คืนนั้นโต๊ะที่เรานั่งอยู่ติดกับโต๊ะ ‘เบียร์ปอง’ ก็เลยได้ดูการไฝว้กันของหนุ่มผมบลอนด์กับหนุ่มสาวชาวกิมจิซะเพลินไปเลย

กติกาของเบียร์ปองก็ง่ายๆ แบ่งออกเป็น 2 ทีม แต่ละทีมจะมีเบียร์ประมาณครึ่งแก้วอยู่ 5-6 ใบ แล้วผลัดกันโยนลูกปิงปองใส่แก้วของอีกฝ่าย ถ้งโยนลงแก้ว ฝ่ายที่ถูกโยนลงจะต้องดื่มเบียร์แก้วนั้นให้หมด

แต่ถ้าโยนไม่ลงแก้วแล้วลูกปิงปองตกพื้น ก่อนที่จะโยนรอบใหม่จะต้องล้างลูกปิงปองในกระป๋องน้ำเล็กๆ เสียก่อน ก็คิดดูแล้วกันว่าแต่ละเกมน้ำกระป๋องนั้นถูกจุ่มไปอีกรอบ สถิติการโยนลงน้อยกว่าไม่ลงแน่ๆ

แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่