FT ฉบับวันเสาร์ ลงบทสัมภาษณ์ เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตในต่างแดนแบบสบายๆ
กับอดีตขวัญใจเบอร์ 11 และ หนึ่งในกรรมการบริหารทีมยูเวนตุสชุดปัจจุบัน
สำหรับ บทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม ตามลิ้งค์นะคะ
http://www.ft.com/intl/cms/s/0/62be7a66-1c14-11e5-a130-2e7db721f996.html
น้าเน็ดรำลึกความหลัง เมื่อ อายุ 17
การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ในปี 1989 นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตชาวยุโรปตะวันออก หลายล้านคน
น้าเน็ดของเราในวัยรุ่น ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
ในวันที่กำแพงถูกทลายลง น้าเน็ดและ ชาวเช็คคนอื่นๆ ออกมาชุมนุมอย่างสงบบนถนน
ทุกคนถือกุญแจไว้ในมือ และเขย่า เพื่อส่งเสียง ไปยังผู้นำขณะนั้นว่า เวลาแห่งเสรีภาพ ในการแสดงออก กำลังมาถึงแล้ว
ในยุคที่ปกครองโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ โอกาสที่นักฟุตบอลชาวเช็คจะไปค้าแขงต่างประเทศเป็นเรื่องยากมาก
ด้วยข้อจำกัดที่ว่า นักเตะจะต้องมีอายุเกิน 32 ปี และ ลงเล่นให้กับทีมชาติมาแล้วระดับหนึ่ง
ซึ่งมีน้อยคนที่จะทำได้
แต่ในปี 1996 หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง น้าเน็ดก็ได้รับโอกาส ในการลงเล่นกับทีมดังในยุโรป
Zdeněk Zeman โคชชาวเช็คซึ่งคุมทีมลาซิโอ้อยู่ในตอนนั้น โทรมาชวนไปค้าแข้งที่กรุงโรม
น้าเน็ดในวัย 23 และไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศมาก่อนเลย ก็แอบกังวลอยู่ไม่น้อย
และรู้สึกว่าลีกอิตาลีในตอนนั้น หินพอดู
รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง สุดท้ายน้าเน็ดและภรรยาก็ตัดสินใจย้านครอบครัวมายังเมืองหลวงของอิตาลี
ทิ้งความทรงจำกับชีวิตภายใต้ระบบคอมมิวนิสต์ไว้เบื้องหลัง
ไม่น่าเชื่อว่า น้าเน็ดของเราอยู่อิตาลีมาจะครบ 20 ปี แล้วนะคะเนี่ย!
ฟังดูนานมากๆ แต่น้ายังดูหนุ่มไม่เปลี่ยนเลย
แล้วโรมก็ไม่ทำให้น้าเน็ดและอิวาน่าต้องผิดหวังนะคะ
สองสามีภรรยา เจอคัลเจอร์ช็อค เข้าอย่างจัง
ทั้งเรื่องระบบราชการของอิตาลี ที่เยอะขึ้นชื่อ และภรรยาก็กำลังตั้งครรภ์ลูกสาวคนแรก
แถมสองสามีภรรยายังพูดภาษาอิตาเลียนกันไม่ได้เลย
น้าเน็ดเคยสงสัยการตัดสินใจของตัวเองเหมือนกัน ว่าตัดสินใจมาอยู่ประเทศแบบไหนเนี่ย
แต่สุดท้าย ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนๆชาวอิตาเลียน อุปสรรคก็ผ่านไปด้วยดีค่ะ
น้าเน็ดบอกว่า ชาวเช็คบ้านเกิดและชาวอิตาเลียนนั้น ต่างกันมากเหมือนสองขั้ว
ในขณะที่ชาวเช็คจะค่อนข้างปิดตัวและขี้กังวล ชาวอิตาเลียนนั้นจะค่อนข้างเปิดเผย เหมือนท้องฟ้าที่แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
และในปี 2001 น้าเน็ดและครอบครัวก็ได้เวลาย้ายบ้านกันอีกครั้ง ไปยังตูริน
เมืองทางเหนือซึ่งน้าเน็ดบอกว่า ค่อนข้างสงบกว่าโรม และเข้ากับอุปนิสัยของชาวเช็คมากกว่า
น้าเน็ดเลือกบ้านที่อยู่นอกตัวเมืองออกไป ใกล้ป่าเขา
ซึ่งทำให้รู้สึกถึงความทรงจำสมัยเด็กๆ ที่เคยออกไปวิ่งเล่นเก็บผลไม้ป่ากับเพื่อนในเมืองSkalná
แต่ก็ไม่วายมีคัลเจอร์ช็อคภาคสองจนได้
วันหนึ่ง น้าเน็ดได้รับโทรศัพท์จากอิวาน่า ซึ่งกำลังตกใจมาก
บอกว่ามีชายแปลกหน้าคนนึง เดินเข้ามาทางประตูหลังบ้าน เข้ามาในครัว
แนะนำตัวเอง แล้วก็ไม่ยอมออกไปไหน
ชายแปลกหน้าคนนั้นคือ Umberto Agnelli ประธานสโมสรยูเวนตุสขณะนั้น
(และเป็นพ่อของ Andrea Agnelli ประธานสโมสรคนปัจจุบันค่ะ) และมีบ้านอยู่ละแวกเดียวกัน
น้าเน็ดปลอบภรรยาและบอกให้เตรียมกาแฟต้อนรับแขกคนนั้น
" เขาชอบเดินเล่นในป่า และบางทีก็โผล่มาทักทายแบบไม่บอกล่วงหน้า
เขามองว่าเราเป็นส่วนนึงครอบครัว เขาช่วยเหลือผมอย่างมาก โดยเฉพาะปีแรกๆที่ผมอยู่ตูริน"
ชีวติดี๊...ดี วีถีอิตาเลียนสโลว์ไลฟ์ กับ Pavel Nedved
FT ฉบับวันเสาร์ ลงบทสัมภาษณ์ เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตในต่างแดนแบบสบายๆ
กับอดีตขวัญใจเบอร์ 11 และ หนึ่งในกรรมการบริหารทีมยูเวนตุสชุดปัจจุบัน
สำหรับ บทสัมภาษณ์ฉบับเต็ม ตามลิ้งค์นะคะ
http://www.ft.com/intl/cms/s/0/62be7a66-1c14-11e5-a130-2e7db721f996.html
น้าเน็ดรำลึกความหลัง เมื่อ อายุ 17
การล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ในปี 1989 นำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตชาวยุโรปตะวันออก หลายล้านคน
น้าเน็ดของเราในวัยรุ่น ก็เป็นหนึ่งในนั้นค่ะ
ในวันที่กำแพงถูกทลายลง น้าเน็ดและ ชาวเช็คคนอื่นๆ ออกมาชุมนุมอย่างสงบบนถนน
ทุกคนถือกุญแจไว้ในมือ และเขย่า เพื่อส่งเสียง ไปยังผู้นำขณะนั้นว่า เวลาแห่งเสรีภาพ ในการแสดงออก กำลังมาถึงแล้ว
ในยุคที่ปกครองโดยรัฐบาลคอมมิวนิสต์ โอกาสที่นักฟุตบอลชาวเช็คจะไปค้าแขงต่างประเทศเป็นเรื่องยากมาก
ด้วยข้อจำกัดที่ว่า นักเตะจะต้องมีอายุเกิน 32 ปี และ ลงเล่นให้กับทีมชาติมาแล้วระดับหนึ่ง
ซึ่งมีน้อยคนที่จะทำได้
แต่ในปี 1996 หลังการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง น้าเน็ดก็ได้รับโอกาส ในการลงเล่นกับทีมดังในยุโรป
Zdeněk Zeman โคชชาวเช็คซึ่งคุมทีมลาซิโอ้อยู่ในตอนนั้น โทรมาชวนไปค้าแข้งที่กรุงโรม
น้าเน็ดในวัย 23 และไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศมาก่อนเลย ก็แอบกังวลอยู่ไม่น้อย
และรู้สึกว่าลีกอิตาลีในตอนนั้น หินพอดู
รู้ว่าเสี่ยง แต่คงต้องขอลอง สุดท้ายน้าเน็ดและภรรยาก็ตัดสินใจย้านครอบครัวมายังเมืองหลวงของอิตาลี
ทิ้งความทรงจำกับชีวิตภายใต้ระบบคอมมิวนิสต์ไว้เบื้องหลัง
ไม่น่าเชื่อว่า น้าเน็ดของเราอยู่อิตาลีมาจะครบ 20 ปี แล้วนะคะเนี่ย!
ฟังดูนานมากๆ แต่น้ายังดูหนุ่มไม่เปลี่ยนเลย
แล้วโรมก็ไม่ทำให้น้าเน็ดและอิวาน่าต้องผิดหวังนะคะ
สองสามีภรรยา เจอคัลเจอร์ช็อค เข้าอย่างจัง
ทั้งเรื่องระบบราชการของอิตาลี ที่เยอะขึ้นชื่อ และภรรยาก็กำลังตั้งครรภ์ลูกสาวคนแรก
แถมสองสามีภรรยายังพูดภาษาอิตาเลียนกันไม่ได้เลย
น้าเน็ดเคยสงสัยการตัดสินใจของตัวเองเหมือนกัน ว่าตัดสินใจมาอยู่ประเทศแบบไหนเนี่ย
แต่สุดท้าย ด้วยความช่วยเหลือของเพื่อนๆชาวอิตาเลียน อุปสรรคก็ผ่านไปด้วยดีค่ะ
น้าเน็ดบอกว่า ชาวเช็คบ้านเกิดและชาวอิตาเลียนนั้น ต่างกันมากเหมือนสองขั้ว
ในขณะที่ชาวเช็คจะค่อนข้างปิดตัวและขี้กังวล ชาวอิตาเลียนนั้นจะค่อนข้างเปิดเผย เหมือนท้องฟ้าที่แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา
และในปี 2001 น้าเน็ดและครอบครัวก็ได้เวลาย้ายบ้านกันอีกครั้ง ไปยังตูริน
เมืองทางเหนือซึ่งน้าเน็ดบอกว่า ค่อนข้างสงบกว่าโรม และเข้ากับอุปนิสัยของชาวเช็คมากกว่า
น้าเน็ดเลือกบ้านที่อยู่นอกตัวเมืองออกไป ใกล้ป่าเขา
ซึ่งทำให้รู้สึกถึงความทรงจำสมัยเด็กๆ ที่เคยออกไปวิ่งเล่นเก็บผลไม้ป่ากับเพื่อนในเมืองSkalná
แต่ก็ไม่วายมีคัลเจอร์ช็อคภาคสองจนได้
วันหนึ่ง น้าเน็ดได้รับโทรศัพท์จากอิวาน่า ซึ่งกำลังตกใจมาก
บอกว่ามีชายแปลกหน้าคนนึง เดินเข้ามาทางประตูหลังบ้าน เข้ามาในครัว
แนะนำตัวเอง แล้วก็ไม่ยอมออกไปไหน
ชายแปลกหน้าคนนั้นคือ Umberto Agnelli ประธานสโมสรยูเวนตุสขณะนั้น
(และเป็นพ่อของ Andrea Agnelli ประธานสโมสรคนปัจจุบันค่ะ) และมีบ้านอยู่ละแวกเดียวกัน
น้าเน็ดปลอบภรรยาและบอกให้เตรียมกาแฟต้อนรับแขกคนนั้น
" เขาชอบเดินเล่นในป่า และบางทีก็โผล่มาทักทายแบบไม่บอกล่วงหน้า
เขามองว่าเราเป็นส่วนนึงครอบครัว เขาช่วยเหลือผมอย่างมาก โดยเฉพาะปีแรกๆที่ผมอยู่ตูริน"